'ดร.ปณิธาน' ประเมิน 1 เดือน กัมพูชาโจมตีไทย เข้าสู่สงคราม Hybrid Warfare - Proxy War

27ส.ค.2568 - รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงและการต่างประเทศ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ครบ 1เดือน กัมพูชาโจมตีไทย ว่า

กัมพูชารบไทยครบ 1 เดือน: Getting not to yes! (ตอนที่ 1/3)*

1. ไทยอยู่ในสภาวะสงคราม แต่หลายคนไม่ยอมรับ - "We are at war, but some don't admit it"
นับตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม 2568 เป็นเวลากว่า 1 เดือนมาแล้วที่กัมพูชาและไทยได้เข้าสู่ ”สงครามผสมแบบรอบด้าน“ อย่างชัดเจนโดยที่หลายคนไม่ได้คาดคิดมาก่อน สงครามดังกล่าวเป็นรูปแบบหนึ่งของสงครามระหว่างประเทศที่เรียกกันว่า “สงครามแบบเบ็ดเสร็จ” (Total War) หรือ ”สงครามรูปแบบผสม“ (Hybrid Warfare) ที่มักเรียกกันในปัจจุบัน ซึ่งแตกต่างเป็นอย่างมากจากสงครามคอมมิวนิสต์ สงครามกองโจร สงครามกลางเมืองในอินโดจีนหรือการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในกัมพูชาที่มักคุ้นกันกว่า 50 ปีที่ผ่านมา สังคมไทยบางส่วนไม่คิดว่าประเทศอยู่ในสภาวะสงครามแบบใหม่ดังกล่าว จึงไม่ได้มีการเตรียมการหรือทำอะไรเป็นพิเศษเพื่อรองรับสถานการณ์ใหม่นี้ตั้งแต่แรก ทำให้ไทยไม่สามารถสร้างความได้เปรียบในการต่อสู้ได้ตั้งแต่แรกมากนักและปัจจุบันก็ยังไม่สามารถทำให้เกิดสันติภาพได้อย่างที่ตั้งใจ
ปัจจัยอะไรที่กำหนดว่าเป็นสงครามระหว่างประเทศหรือสงครามแบบเบ็ดเสร็จนั้น ความขัดแย้งกัมพูชา-ไทยในครั้งนี้ ก็ครบถ้วนตามองค์ประกอบ เช่น

1.1) ทั้งสองประเทศใช้กำลังทหารจำนวนมากในการสู้รบ ทั้งประจำการและไม่ประจำการ โดยเฉพาะฝ่ายกัมพูชามี “ทหารบ้าน” หรือ “ทหารถิ่น” ที่เป็นชาวบ้านหรือเขมรแดงเก่าจำนวนมากและทั้งสองฝ่ายก็ได้ใช้อาวุธยุทโธปกรณ์มากมายหลายชนิด ทั้งเก่าและใหม่ ทั้งราคาถูกหรือหาซื้อได้ในเชิงพาณิชย์ เช่น กับระเบิด (ฝ่ายกัมพูชา) โดรน อุปกรณ์นำวิถี หรือที่ใช้เทคโลโลยีทหาร เช่น จรวดหลายลำกล้อง (ฝ่ายกัมพูชา) ปืนใหญ่ หรือเครื่องบินรบสมรรถนะสูงชี้เป้าด้วยดาวเทียม ที่จัดซื้อจัดหามาจากสหรัฐฯ จีน รัสเซีย และอีกหลายประเทศ โจมตีกันอย่างรุนแรง ทั้งบริเวณตามแนวชายแดนหลายจังหวัด ทั้งข้ามพรมแดนจนยึดพื้นที่ของกันและกันไว้ได้บางส่วน มีเชลยศึกเกิดขึ้นจำนวนหนึ่ง และมีการอพยพประชาชนออกจากพื้นที่สู้รบนับแสนคนและปัจจันก็ยังมีผู้อพยพพลัดถิ่นอยู่ในพื้นที่อีกด้วย

สงครามกัมพูชา-ไทยครั้งนี้ ยังมีการสู้รบกันในโลกไซเบอร์สมัยใหม่ด้วย มีการโจมตีเครือข่ายออนไลน์ของระบบราชการ มีการปล่อยข่าวลวงข่าวปลอมไม่เว้นแต่ละวัน ที่สำคัญมีการปล่อยคลิปลับการสนทนาระหว่างนายกรัฐมนตรีของไทยกับนายฮุน เซ็น ประธานองคมนตรีและประธานพฤฒสภาของกัมพูชา ส่งผลให้นรม.ของไทยต้องคดีและต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวเพื่อรอคำพิพากษาของศาล มีการโจมตีกล่าวหากันในสังคมออนไลน์ระหว่างประชาชนบางกลุ่มในสองประเทศอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังมีการปิดด่านตลอดแนวชายแดน มีการลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตและระงับกิจกรรมต่าง ๆ ข้ามพรมแดนหลายชนิดลงชั่วคราว ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและต่อประชาชนทั้งสองฝ่ายเป็นอันมาก ก่อนที่จะมีการพักรบชั่วคราวในวันที่ 29 กรกฎาคม และมีข้อตกลงหยุดยิงอย่างเป็นทางการในวันที่ 7 สิงหาคม รวม 13 ข้อ ล่าสุดยังมีการตกลงกันเพิ่มอีก 2 ข้อคือ การกู้ทุ่นระเบิดและการปราบปราบอาชญากรรมข้ามชาติในการประชุมระดับ RBC แต่ "สันติภาพบนแผ่นกระดาษ" นี้ ก็ยังไม่ทำให้เกิดสันติภาพอย่างแท้จริงระหว่างสองประเทศในปัจจุบัน

1.2) สงครามครั้งนี้มีทหารและประชาชนของทั้งสองประเทศเสียชีวิตกว่าสองพันคน (ตามการประเมินขั้นต้นของสหรัฐฯ และหลายฝ่าย) โดยเฉพาะฝ่ายกัมพูชาที่ได้สูญเสียทหารไปเป็นจำนวนมาก ซึ่งตัวเลขความสูญเสียในระดับนี้สามารถจัดได้แล้วว่าเป็นสงครามระหว่างประเทศอย่างเป็นทางการ แม้ว่าจะไม่ได้มีการประกาศสงครามกันก็ตาม เหตุเพราะมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 1,000 คน ด้วยการกระทำของกองกำลังทหารแห่งชาติข้ามพรมแดน ตามนิยามของสงครามระหว่างประเทศที่ใช้กันโดยทั่วไป

1.3) สหประชาชาติ โดยคณะมนตรีความมั่นคง (UNSC) ก็ได้เรียกประชุมฉุกเฉินในวันที่ 25 กรกฎาคมภายใต้หัวข้อ "ภัยคุกคามต่อสันติภาพและความมั่นคงของนานาชาติ" ซึ่งก็นับได้ว่าเป็นหัวข้อที่ชัดเจนว่าเป็นสถานะการสงคราม แตกต่างจากหัวข้ออื่น ๆ เมื่อปี 2554 หรือ 2551 โดยในครั้งนี้ได้ระบุให้ทั้งไทยและกัมพูชาเข้าร่วมประชุมตามข้อบังคับ ซึ่งไทยก็ได้ชี้แจงว่าถูกกัมพูชารุกรานและละเมิดอธิปไตย ทำให้มีทหารและพลเรือนของไทยบาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก (ปัจจุบันรวมแล้วเกือบ 300 คน) จึงจำเป็นต้องป้องกันตัวเองตามมาตราที่ 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติ การชี้แจงที่ชัดเจนและแข็งขันเป็นครั้งแรกนี้ ทำให้ UNSC ไม่มีข้อมติที่ชัดเจนที่เป็นโทษกับไทยหรือเป็นคุณกับกัมพูชาตามที่รัฐบาลกัมพูชาได้คาดหวังไว้

แต่ที่สำคัญ สงครามครั้งนี้มีหลายประเทศได้เข้ามาแทรกแซงหรือเกี่ยวข้องในการกำหนดทิศทางของความขัดแย้ง รวมทั้งกดดันให้มีการยุติการรบ มีการลงนามในข้อตกลงหยุดยิงอย่างเร่งรีบและไม่รัดกุม ซึ่งหมดนี้ ไม่ได้ช่วยให้ไทยได้เปรียบอะไรมากนักเมื่อเทียบกับกัมพูชา ตัวอย่างเช่น มาเลเซียในฐานะประธานอาเซียนและนรม.อันวาร์ อิบราฮิมด้วยตนเอง ได้เร่งรัดให้ไทยยอมรับข้อตกลงอย่างน่าเคลือบแคลงใจ สหรัฐอเมริกาโดยประธานาธิบดีทรัมป์และรัฐมนตรีต่างประเทศมาร์โก รูบิโอ ก็ได้เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องอย่างรวดเร็วโดยไม่ได้เป็นคุณกับไทยมากนัก แต่มุ่งเน้นที่จะลดบทบาทของจีนในกัมพูชาลงให้ได้ รวมทั้งปธน.ทรัมป์นั้น ก็ต้องการรางวัลสันติภาพเป็นการส่วนตัว สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยนายหวังอี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ก็ต้องการเข้ามาปกป้องกัมพูชาตั้งแต่แรกในฐานะที่กัมพูชาเป็นบริวารหรือหลังบ้านที่ไม่ทิ้งกัน แต่ในขณะเดียวกัน จีนก็ยังต้องการรักษาความสัมพันธ์ปกติไว้กับไทยด้วย ส่วนฝรั่งเศส โดยประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง นั้น แม้ว่าจะไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรง แต่ก็ต้องการปกป้องมรดกทางอาณานิคมและผลประโยชน์ของตนในภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะการสนับสนุนสหรัฐฯ เพื่อต่อต้านจีนและต้องการผลประโยชน์ด้านการลงทุนและพลังงานจากกัมพูชา

อาเซียนในฐานะผู้สังเกตการณ์ 8 ประเทศ (Interim Observer Team - IOT) และเป็นแกนกลางในการแก้ปัญหานั้น สมาชิกแต่ละชาติต่างก็ต้องการปกป้องผลประโยชน์ของตนเองในกัมพูชา จึงไม่ได้ประจานหรือประณามหรือกดดันกัมพูชาอย่างชัดเจนในการกระทำอันป่าเถื่อนที่ได้สังหารประชาชนชาวไทย และกล่าวได้ว่าอาเซียนภายใต้การนำของประธาน นายอันวาร์ อิบราฮิม นรม.มาเลเซีย มีส่วนในการลดทอนความเป็นเอกภาพและสันติภาพขององค์การอาเซียนที่เป็นแกนหลักของความร่วมมือด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคมของภูมิภาคด้วย แต่ก็ยังดีที่ว่าเมื่อคณะ IOT ได้เข้าตรวจสอบสถานการณ์จริงในพื้นที่แล้ว โดยเฉพาะจากฝั่งชายแดนไทย ความเป็นจริงก็ปรากฏชัดขึ้น ยากที่จะปฏิเสธหรือเพิกเฉยแบบที่ผ่านมาได้ และเช่นเดียวกันกับกลุ่มผู้ช่วยทูตทหาร คณะทูตานุทูต คณะของประเทศภาคีสนธิสัญญาห้ามใช้ทุ่นระเบิด Ottawa ก็ได้มีส่วนช่วยกดดันให้กัมพูชาปรับท่าทีให้ดีขึ้นต่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง

ทั้งหมดนี้ สะท้อนการแข่งขันแย่งชิงความได้เปรียบในด้านภูมิยุทธศาสตร์ของโลกและของภูมิภาคที่เข้มข้นขึ้นมากในปัจจุบัน รวมทั้งการปกป้องผลประโยชน์ของตนเองของแต่ละประเทศในกัมพูชาได้เป็นอย่างดี รวมทั้งเตือนให้ไทยได้ตระหนักว่าในเวทีการเมืองระหว่างประเทศนั้น อย่าไปเรียกร้องความจริงใจจากใคร อย่าไปคิดว่าชาติไหนจะมาช่วยไทยโดยไม่หวังต่างตอบแทน และที่สำคัญคืออย่าไปคิดว่าไทยยังเป็นที่รักที่ใคร่ของชาติใดเป็นพิเศษอีกต่อไป ถึงแม้ว่าเรายังมีมิตรมากกว่าศัตรูเมื่อเทียบกับหลายประเทศก็ตาม และสงครามกัมพูชา-ไทยในครั้งนี้ ได้กลายเป็น "สงครามตัวแทน" หรือ Proxy War ไปแล้วโดยปริยาย

* กรุณาติดตามตอนที่ 2/3
2. ไทยอยู่ในสภาวะอ่อนแอเกินกว่าที่จะเดินไปสู่สันติภาพที่แท้จริง - "We are at war with ourselves - Too weak to win the peace" ได้ในโพสต์ต่อไปครับ

 

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

สหรัฐระงับดีลภาษี บีบไทยกลับสู่โต๊ะเจรจาเขมร‘อนุทิน’ยันกัมพูชาต้องขอโทษก่อน

ล่าอาณานิคมยุคใหม่ สหรัฐระงับการเจรจาภาษีการค้ากับไทยชั่วคราว จนกว่าฝ่ายไทยให้คำมั่นว่าจะกลับเข้าสู่โต๊ะเจรจาไทย-กัมพูชา กระทรวงการต่างประเทศผิดหวัง

'อนุทิน' เปิด 11 ข้อ คุย 'ทรัมป์-อันวาร์' ซัดกัมพูชาฉีกปฏิญญาสันติภาพ ต้องขอโทษคนไทย

นายกฯอนุทิน เผย ‘อันวาร์-ทรัมป์’ ยกหูคุยสถานการณ์ไทย-กัมพูชา ร่ายยาว 11 ข้อชี้แจง จี้ ‘เขมร’ ออกแถลงการณ์ขอโทษคนไทยทำทหารเหยียบทุ่นระเบิด ซัดละเมิดเงื่อนไขมีสันติภาพลำบาก ขอสหรัฐฯปรับลดภาษีลงอีก

'หมอตุลย์' หนุน 'อนุทิน' จัดการกัมพูชาจนกว่าจะศิโรราบ ค้าน 'อันวาร์' ให้เจรจากันอีกครั้ง

นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เผยแพร่จดหมายเปิดผนึก มีใจความว่า

'เท้ง' ดึงสติ 'อนุทิน' อย่าโหนกระแสชาตินิยม ปมปัญหาชายแดน หวั่นทำไทยเสียเปรียบ

'เท้ง' ดึงสติ 'อนุทิน' อย่าเอาแต่คะแนนเสียง ปมบริหารจัดการปัญหาชายแดน หวั่นทำไทยเสียเปรียบ บอกโลกกำลังล้อมเขมร แทนที่จะปราบสแกมเมอร์ กลับฉีกสันติภาพ โหนกระแสชาตินิยม ไม่จัดการเรื่องนี้อย่างจริงจัง แนะต่อสายตรงผู้นำมาเลเซีย -ปธน.สหรัฐ

เพจดัง แนะไทยกระตุ้น 'ทรัมป์' รับผิดชอบ กดดันกัมพูชา คนไทยต้องมีสติ หาพวกมาจัดการคนบ้า

เพจเฟซบุ๊ก thaiarmedforce.com โพสต์ข้อความว่า ผลการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติมีนัยยะที่ชัดเจน โดยเฉพาะข้อสุดท้ายคือ อนุญาตให้กองทัพใช้กำลังได้ตามกฎการปะทะหรือ Rule of Engagement