ศาลอาญาคดีทุจริตฯ รับฟ้อง 4 อดีต ป.ป.ช. เป็นจำเลย ไม่เปิดเผยข้อมูลคดีนาฬิกาบิ๊กป้อม

งานเข้า! ศาลอาญาคดีทุจริตฯรับฟ้อง 4 อดีต ปปช. วัชรพล-สุภา-วิทยา-ณัฐจักร ตกเป็นจำเลยคดีปฏิบัติหน้าที่มิชอบขัดคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลคดีนาฬิกาบิ๊กป้อม

10 กันยายน 2568 -ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 จังหวัดสระบุรี ศาลอ่านคำสั่งในคดีหมายเลขดำที่ อท.95/2567 ที่นายวีระ สมความคิดยื่นฟ้อง นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการ ปปช. กับพวกรวม 12 คน ประกอบด้วย นายวรวิทย์ สุขบุญ จำเลยที่ 2,พลตำรวจเอก ดร.วัชรพล ประสารราชกิจ จำเลยที่ 3 นายปรีชา เลิศกมลมาศ จำเลยที่ 4,พลตำรวจเอก สถาพร หลาวทอง จำเลยที่ 5 ,นายณรงค์ รัฐอมฤต จำเลยที่ 6,นางสาวสุภา ปิยะจิตติ จำเลยที่ 7,นายวิทยา อาคมพิทักษ์ จำเลยที่8,นางสุวณา สุวรรณจูฑะ จำเลยที่ 9,พลเอก บุณยวัจน์ เครือหงส์ จำเลยที่ 10 ,นายณัฐจักร ปัทมสิงห์ ณ อยุธยาจำเลยที่ 11 และนายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข จำเลยที่ 12 ซึ่งทั้งหมดเป็นคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ คณะกรรมการ ป.ป.ช.ขณะเกิดเหตุ

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นประธานเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชั่น จำเลยที่ 1 เป็นเลขาธิการ ปปช.ตั้งแต่ปี 2564ถึงปัจจุบัน จำเลยที่ 2 เป็น เลขาธิการ ปปช. ตั้งแต่วันที่ ปี2560-64 ขณะเกิดเหตุเดือน ต.ค.2562 จำเลยที่ 2 เป็นเลขาธิการ และหลังจากศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาถึงที่สุด ในปี 2566 จำเลยที่ 1 เป็นเลขาธิการจำเลยที่ 3-12 เป็น ปปช.

โจทก์มีหนังสือถึงจำเลยที่ 3-10 ขอให้ไต่สวนพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ กรณีจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ โดยไม่แสดงว่ามีนาฬิกาข้อมือราคาแพงจำนวนมาก และแหวนประดับมีค่าหลายรายการ แต่จำเลยที่3-10มีมติไม่รับเรื่องดังกล่าวไว้ไต่สวน โจทก์ขอข้อมูลข่าวสารของราชการเกี่ยวกับสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าว 3 รายการคือ 1.รายงานการแสวงหาข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานเอกสารทั้งหมด 2.ความเห็นของพนักงานเจ้าหน้าที่ปปช.ทุกคนที่รับผิดชอบในเรื่องกล่าวหาดังกล่าว 3.รายการประชุมของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว

จำเลยที่ 3-10 ในฐานะคณะกรรมการ ปปช.ขณะนั้น พิจารณาแล้วมีมติไม่ให้เปิดเผยรายงานการประชุมบันทึกเสนอรายงานผลการตรวจสอบและเอกสารประกอบที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากเห็นว่าเป็นความเห็น หรือคำแนะนำภายในหน่วยงานของรัฐในการดำเนินการเรื่องใดเรื่องหนึ่งอันเป็นข้อมูลข่าวสารตาม พรบ.ข้อมูลข่าวสาวสารของราชการ พ.ศ. 2540 มาตรา 15 วรรค 1(3) ทั้งยังอยู่ระหว่างการดำเนินการตรวจสอบเรื่องกล่าวหาพลเอกประวิตร ว่าเป็นเจ้าพนักงานของรัฐรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้ เรื่องกล่าวหาว่ามีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ ซึ่งต้องห้ามไม่ให้เปิดเผยตามมาตรา 36 แห่ง พรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 จึงเป็นข้อมูลข่าวสาวสารที่เจ้าที่ของรัฐอาจมีคำสั่งมีให้เปิดเผยได้ตาม พรบ.ข้อมูลข่าวสารฯ

โจทก์อุทธรณ์คำสั่งที่ไม่ให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารต่อคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาวสาร

ต่อมาคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดินและการบังคับใช้กฎหมายมีคำวินิจฉัยที่ สค 333/2562 ให้สำนักงาน ปปช.เปิดเผยข้อมูลข่าวสารทั้งสามรายการดังกล่าว โจทก์ไปขอรับข้อมูลข่าวสาร แต่จำเลยที่ 3-10มติให้ข้อมูลบางรายการ แต่ต้องปกปิด บางส่วน และข้อมูลบางรายการต้องขออนุญาตจากพยานเสียก่อน โจทก์ฟ้องสำนักงานปปช. และคณะกรรมการปปช.ต่อศาลปกครองชั้นต้น

ศาลปกครองกลางพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องทั้งสองเปิดเผยข้อมูลข่าวสารรายการที่ 1,2 เฉพาะความเห็นของเลขาธิการคณะกรรมการ ปปช.ที่เสนอประกอบการพิจารณาของจำเลยที่ 3-10 และรายการที่ 3 แก่โจทก์ตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาวสาขาสังคมการบริหารราชการแผ่นดินและการบังคับใช้กฎหมาย

ผู้ฟ้องคดีและผู้ถูกฟ้องทั้งสองไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น จึงอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด

ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องทั้งสองเปิดเผยข้อมูลข่าวสารทั้งสามรายการตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาสังคมการบริหารราชการแผ่นดินและการบังคับใช้กฎหมาย

แต่จำเลยที่ 1,3,7,8,9,11,12 ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด ระหว่างพิจารณาโจทก์ถอนฟ้องจำเลยที่ 4 ศาลอนุญาต และจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ

ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค ๑ ไต่สวนแล้วมีคำสั่งว่า พฤติการณ์ที่จำเลยที่ 3-10 พิจารณาหนังสือของโจทก์ที่ขอข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริง กรณีการกล่าวหา พลเอก ประวิตร จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบสามรายการดังกล่าวแล้วมีมติไม่ให้เปิดเผยเอกสารตามที่โจทก์ขอ

เนื่องจากเห็นว่าเป็นความเห็นหรือคำแนะนำภายในหน่วยงานของรัฐในการดำเนินการหนึ่งเรื่องใด ตาม พรบ.ข้อมูลข่าวสารของราชการฯและยังอยู่ระหว่างการดำเนินการตรวจสอบเรื่องกล่าวหาพลเอก ประวิตร ว่าเป็นเจ้าพนักงานของรัฐรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้ และเรื่องกล่าวหาว่า มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ ซึ่งต้องห้ามมิให้เปิดเผย ตามพรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561มาตรา6

จึงเป็นข้อมูลข่าวสารที่เจ้าหน้าที่ของรัฐอาจมีคำสั่งมิให้เปิดเผยได้ ตาม พรบ.ข้อมูลข่าวสารของราชการพ.ศ. 2540 มาตรา 15(6) เป็นกรณีที่จำเลยที่ 3-10 ประชุมพิจารณามีความเห็นแล้วลงมติตามที่ พรบ.ข้อมูลข่าวสารฯและ พรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ฯให้อำนาจจำเลยที่ 3-10 ใช้ดุลพินิจพิจารณาและลงมติได้

เมื่อโจทก์ไม่เห็นด้วยกับมติดังกล่าว พรบ.ข้อมูลข่าวสารฯ ให้สิทธิโจทก์ยื่นคำอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูอมูลข่าวสารได้ซึ่งโจทก์ยืนอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการดังกล่าว และคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารมีคำวินิจฉัยให้สำนักงานคณะกรรมการ ปปช.เปิดเผยข้อมูลข่าวสารตามที่โจทก์ขอ แต่จำเลยที่ 3-10 ในฐานะคณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติให้ข้อมูลบางรายการ แต่ต้องปิดบางส่วน หรือข้อมูลบางรายการต้องขออนุญาตจากพยานเสียก่อนแต่มิได้กำหนดวันที่จะให้ข้อมูลข่าวสารแก่โจทก์

เมื่อโจทก์ขอให้คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการบังคับสำนักงาน ปปช. โดยจำเลยที่ 2 ปฏิบัติตามคำวินิจนิจฉัยของคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ ซึ่งผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการมีหนังสือแจ้งโจทก์ว่า สำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการมีหนังสือแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการปปช.ปฏิบัติตามคำวินิจฉัย และหากโจทก์ยังไม่ได้รับข้อมูลข่าวสารครบถ้วน โจทก์สามารถใช้สิทธิฟ้องต่อศาลปกครอง

ต่อมาโจทก์ฟ้องต่อศาลปกครองแล้ว

กระบวนการพิจารณาของจำเลยที่ 3-10 ในการประชุม พิจารณา มีความเห็นและลงมติเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารที่โจทก์ขอ หรือการประชุมพิจารณา มีความเห็นและลงมติเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้น ก่อนศาลปกครองสูงสุดสุดมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 21 เม.ย.2566 เป็นวิธีการที่จำเลยที่ 3-10 ใช้ดุลพินิจพิจารณามีความเห็น และลงมติเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดินและการบังคับใช้กฎหมาย ตาม พรบ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540 หรือต้องดำเนินการตาม พรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ฯ

ซึ่งจำเลยที่ 3-10เห็นว่าเป็นกฎหมายเฉพาะและยังไม่มีข้อยุติในขณะนั้น ทำให้จำเลยที่ 3,5-10ใช้ดุลพินิจพิจารณาไปตามที่ พรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ บัญญัติไว้ก่อนศาลปกครองสูงสูงสุดจะมีคำวินิจฉัยในประเด็นที่โจทก์และจำเลยที่3-10โต้แย้งและมีความเห็นไม่ตรงกันดังกล่าว

ดังนั้น การที่จำเลยที่ 3,5-10 ใช้ดุลพินิจพิจารณาและมีมติเกี่ยวกับคำขอให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารของโจทก์ โดยเห็นว่าต้องปฏิบัติตาม พรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ฯบัญญัติไว้ ยังฟังไม่ได้ว่าเป็นการปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตที่โจทก์ฟ้องจำเลยในช่วงเวลาก่อนศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาจึงไม่มีมูล สำหรับจำเลยที่ 2 ในธานะเลขาธิการคณะกรรมการปปช. นั้น พรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 148,151 กำหนดให้เลขาธิการรับผิดชอบปฏิบัติงานโดยขึ้นตรงต่อคณะกรรมการปปช. และต้องปฏิบัติงานตามมติคณะกรรมการ ปปช.การดำเนินการใด ๆ เกี่ยวกับเรื่องข้อมูลข่าวสารที่โจทก์ขอ จำเลยที่ 2ต้องปฏิบัติตามมติของคณะกรรมการ ปปช.ข้อเท็จริงจากการไต่สวนฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่2กระทำไปโดยลำพัง แต่ฟังได้ว่าปฏิบัติตามมติของคณะกรรมการ ปปช.เกี่ยว การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงมิใช่เป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ดังนั้น ที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่๒2,3,5-10ว่ากระทำความผิดในช่วงเวลาก่อนศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาจึงไม่มีมูล

แต่หลังจากศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 21 เม.ย.2566 คำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดย่อมผูกพันสำนักงานคณะกรรมการ ปปช.คณะกรรมการ ปปช.

ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนได้ความว่า จำเลย1,3,7,8,9,11,12 ยังมิได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดที่พิพากษาให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารทั้งสามรายการ ตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารภายใน 15วันนับแต่วันที่ศาลปกครองสูงสุดมีพิพากษา

โดยจำเลยที่ 1,3,7,8,9,11,12 ต้องปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามรัฐธรรรมนูญและกฎหมาย ตามที่รัฐธรรมนูญมาตรา 215 บัญญัติไว้ ได้ความจากมติการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.ครั้งลงวันที่ 25 เม.ย.2566 ว่าที่ประชุมรับทราบคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด

แต่จำเลยที่3,7,8,9 และที่ 11 ซึ่งเป็นคณะกรรมการ ป.ป.ช.ฝ่ายเสียงข้างมีมติให้มีหนังสือชี้แจงหรือขอพิจารณาคดีใหม่ต่อศาลปกครองสูงสุด พร้อมกับขอทุเลาการบังคับคดีตามคำพิพากษา และมี หนังสือขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตาม พรป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 ส่วนจำเลยที่ 12 ฝ่ายเสียงข้างน้อยเห็นควรดำเนินการตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดและในการประชุมครั้งที่ 127 /2566ลงวันที่ 4 ธ.ค.2566

จำเลยที่ 3,7,8 ฝ่ายเสียงข้างมากมีมติให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสาร แต่ให้ปกปิดข้อมูลส่วนบุคคลหรือข้อมูลที่เป็นรายละเอียดของผู้กล่าวหา ผู้แจ้งเบาะแส และพยาน โดยจำเลยที่ 9 เเละ12 ฝ่ายเสียงข้างน้อยเห็นควรให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด

พฤติการณ์การกระทำของจำเลยที่ 3,7,8,11 ที่ลงมติไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา ของศาลปกครองสูงสุดดังกล่าว จึงมีมูลว่าเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมายเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157ประกอบมาตรา 83 ส่วนจำเลยที่ 9,12 มีความเห็นและลงมติให้ปฏิบัติตามคำพิพากพากษาศาลปกครองสูงสุด การกระทำของจำเลยที่ 9,12จึงไม่มีมูลเป็นความผิดตามฟ้อง

ส่วนจำเลยที่ 1 เป็นเลขาธิการสำนักงาน ปปช.ซึ่ง พรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯมาตรา 148, 151กำหนดให้เลขาธิการรับผิดชอบปฏิบัติงานโดยขึ้นตรงต่อและต้องปฏิบัติงานตามมติคณะกรรมการ ปปช.ซึ่งข้อเท็จจจริงจากการไต่สวนฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำไปโดยลำพัง แต่ฟังได้ว่า ปฏิบัติตตามมติของคณะกรรมการ ปปช.

การกระทำของจำเลยที่1 จึงมิใช่เป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา157 จึงให้ประทับฟ้องจำเลยที่ 3,7,8,11 ไว้พิจารณา ยกฟ้องจำเลยที่ 1,2,5,6,9,10,12

ศาลนัดพร้อมเพื่อสอบคำให้การและกำหนดวันนัดพิจารณา ในวันที่ 28 ตุลาคม 2568 เวลา 09.00 น.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ดีเอสไอเผยคืบหน้าคดีคุกวีไอพี อธิบดีราชทัณฑ์ ยันขรก.ทุจริตต้องถูกลงโทษ

"ดีเอสไอ" เร่งสอบเส้นทางเงินผู้ต้องขังชาวจีน พร้อมเรียกเจ้าหน้าที่และอดีต ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ให้ปากคำครบทุกฝ่าย

ป.ป.ช. สอบคุกวีไอพี ไล่เช็กกล้อง-เส้นทางนำคนนอกเข้าเรือนจำ

ป.ป.ช.ลุยตรวจเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เปิดปฏิบัติการเชิงรุกสอบสิทธิพิเศษ “ผู้ต้องขังจีนเทา” ไล่เช็กกล้อง-เส้นทางนำคนนอกเข้าเรือนจำ จ่อรายงานบอร์ดป.ป.ช.พิจารณาต่อ

ปิดฉากมหากาพย์ก่อสร้างตึกสูงซอยร่วมฤดี!ศาลปกครองสูงสุดยืนไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณา

ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งยืนตามคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้นที่ไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณาคดีบริษัท ลาภประทาน จำกัดฟ้องเรียกค่าเสียหาย กทม.ละเมิดไม่ตรวจสอบความกว้างของเขตทางในซอยร่วมฤดี

มาแล้ว 'ศรีสุวรรณ' ยื่น ป.ป.ช. สอบอดีต ผบ.คุกพิเศษกรุงเทพกับพวก เอื้อนักโทษจีนเทา

นายศรีสุวรรณ จรรยา องค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน ยื่นคำร้องต่อ ป.ป.ช. เพื่อขอให้ไต่สวนและวินิจฉัยชี้มูลความผิด อดีต ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯกับพวก หลังถูกย้ายให้ไปเป็นผู้ตรวจฯ หลังตรวจพบมีการนำหญิงสาวมาบริการนักโทษจี