'อ.ไชยันต์' เผย อวสานสถาบันพระมหากษัตริย์และกำเนิดสาธารณรัฐเนปาล ก่อนเกิดจราจล

12ก.ย.2568- ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เผยแพร่บทความ ผ่านเฟซบุ๊ก เรื่อง อวสานสถาบันพระมหากษัตริย์และกำเนิดสาธารณรัฐ : กรณีเนปาล มีเนื้อหาดังนี้

เส้นทางสู่อวสานสถาบันพระมหากษัตริย์ของเนปาล เริ่มขึ้นจากความไร้เสถียรภาพทางการเมืองที่ยืดเยื้อยาวนานที่มีสาเหตุจากการแข่งขันกันมีอำนาจนำระหว่างสามฝ่าย นั่นคือ

หนึ่ง สถาบันพระมหากษัตริย์
สอง พรรคการเมืองที่ชื่อเนปาลีคองเกรสที่เป็นพรรคการเมืองใหญ่พรรคแรกที่ได้จัดตั้งรัฐบาลหลังเนปาลเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขในปี ค.ศ.1959
และสาม กลุ่มคอมมิวนิสต์แนวเหมาอิสต์

ในช่วงสองทศวรรษแรกหลังเนปาลเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข พรรคเนปาลีคองเกรสครองการเป็นรัฐบาลได้โดยส่วนใหญ่ จะมีบางช่วงสั้นๆ ที่ พรรคคอมมิวนิสต์เนปาลแนวมาร์กซ-เลนินได้เป็นรัฐบาล นั่นคือ ได้เป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยอยู่แปดเดือน

การที่พรรคคอมมิวนิสต์มาร์กซ-เลนินได้เป็นรัฐบาล หมายความว่า รัฐธรรมนูญเนปาลไม่ปิดกั้นการจัดตั้งพรรคการเมืองแนวคอมมิวนิสต์ตราบเท่าที่ไม่มีเป้าหมายล้มสถาบันพระมหากษัตริย์และต่อสู้ตามครรลองรัฐสภา

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าพรรคเนปาลีคองเกรสจะได้เป็นรัฐบาลในช่วงเวลาส่วนใหญ่ แต่ก็มีปัญหาความขัดแย้งแตกแยกในพรรคมากพอสมควร

ในช่วงทศวรรษ 1990 ได้เกิดกลุ่มกบฏเหมาอิสต์ที่เติบโตอย่างรวดเร็วทั้งในทางปริมาณและความเข้มแข็งจนสามารถฉีกตัวออกมาตั้งพรรคการเมืองของตนต่างหากในนามของพรรคคอมมิวนิสต์เนปาลสายเหมาอิสต์ในปี ค.ศ. 1994

โดยมีหลักการที่ว่า “การปลดแอกประชาชนที่แท้จริง จะต้องทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปที่การพัฒนาสงครามประชาชนที่จะนำมาซึ่งการปกครองประชาธิปไตยของประชาชนที่แท้จริง”

และพรรคได้หันหลังให้การต่อสู้ในวิถีทางรัฐสภาที่ผ่านการเลือกตั้ง ส่งผลให้พรรคกลายเป็นกลุ่มกบฏ และหันมาต่อสู้ด้วยกลยุทธ์การใช้กำลังความรุนแรงเพื่อนำการต่อสู้เพื่อคนยากจนในชนบทและสนับสนุนให้ล้มสถาบันพระมหากษัตริย์

และเมื่อถึงต้นศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด การต่อสู้ของพรรคคอมมิวนิสต์เหมาอิสต์ได้กลายเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อรัฐบาลและนำเนปาลเข้าสู่สภาวะสงครามกลางเมือง

ขณะเดียวกัน ความขัดแย้งในราชวงศ์ก็ได้สร้างปัญหาซ้ำเติมเข้าไปอีก นั่นคือ เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน ค.ศ 2001 ได้เกิดเหตุการณ์สังหารหมู่พระราชวงศ์แห่งเนปาลขึ้นภายในพระราชวังในกรุงกาฐมาณฑุ เป็นผลให้พระมหากษัตริย์พิเรนทรพีรพิกรมศาหเทวะและสมเด็จพระราชินีไอศวรรยาราชยลักษมีเทวีศาหะ เสด็จสวรรคต พร้อมด้วยสมาชิกพระราชวงศ์อีก 7 พระองค์ ซึ่งล้วนแต่เป็นสมาชิกองค์สำคัญในราชวงศ์เนปาลทั้งสิ้น เหตุการณ์นี้ทำให้ชาวโลกตื่นตะลึง และยังความเศร้าโศกโกลาหลให้แก่ชาวเนปาลอย่างมหันต์

สำนักพระราชวังได้ประกาศสาเหตุของโศกนาฏกรรมว่า เกิดจากอุบัติเหตุพระแสงปืนลั่นโดยมกุฏราชกุมารดิเพนทรา เป็นผู้ทำพระแสงปืนลั่นในขณะที่สมาชิกพระราชวงศ์กำลังร่วมเสวยพระกระยาหารค่ำ ก่อนที่องค์มกุฎราชกฏราชกุมารจะทำพระแสงปืนลั่นถูกพระองค์เอง ในขณะที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสำนักพระราชวังและแหล่งข่าวหลายกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่าโศกนาฏกรรมครั้งนี้เกิดจากการที่องค์มกุฏราชกุมารทรงบันดาลโทสะในขณะทรงวิวาทกับพระราชมารดาเรื่องการที่องค์มกุฎราชกุมาร ทรงต้องการจะอภิเษกกับสตรีจากตระกูลรานา (Rana: ราชวงศ์ที่ปกครองเนปาลก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง) และแหล่งข่าวอีกหลายกระแส ตั้งข้อสงสัยว่าองค์มกุฎราชกุมารทรงตกอยู่ในพระอาการมึนเมาจากน้ำจัณฑ์ (สุรา) และยาเสพติด และมกุฏราชกุมารสิ้นพระชนม์ไปด้วยจากบาดแผลที่เกิดขึ้นจากการกระทำของพระองค์เอง

พระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่คือ เจ้าชายชญาเนนทระ พระอนุชาของพระมหากษัตริย์พิเรนทราพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่พยายามปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างเต็มที่ โดยพยายามเข้าไปควบคุมรัฐบาลด้วยพระองค์เอง โดยอ้างสาเหตุจากความล้มเหลวของพรรคการเมืองทั้งหลาย โดยในปี ค.ศ. 2002 หลังจากที่พระองค์ยุบสภา และสนับสนุนอย่างชัดเจนให้นายเชอ บาฮาดูร์ ดิวบาที่ชนะการเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี

ต่อมาในปลายปี ค.ศ. 2002 พระองค์ทรงปลดนายดิวบา และเข้าไปมีอำนาจอิทธิพลในรัฐบาลด้วยพระองค์โดยตรงอย่างเต็มที่เป็นครั้งแรก

และในช่วงระหว่าง ค.ศ. 2002-2005 พระองค์ทรงเลือกและปลดนายกรัฐมนตรีถึงสามคนด้วยสาเหตุที่พวกเขาไม่สามารถจัดการเลือกตั้งและนำตัวพวกกบฏมาร่วมเจรจาได้

ในที่สุด พระองค์ตัดสินใจยึดอำนาจในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ค.ศ. 2005 และสัญญาว่าจะนำประเทศกลับคืนสู่สภาวะปกติมีความสงบเรียบร้อยและมีประชาธิปไตยที่เข้มแข็งภายในไม่เกินสามปี ส่งผลให้เกิดความไม่พอใจจากพรรคการเมืองต่างๆ

ในช่วงที่พระองค์ปกครองประเทศ ได้มีการควบคุมปราบปรามผู้เห็นต่าง และพระองค์ได้ออกข้อบังคับอย่างเคร่งครัดควบคุมเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เสรีภาพสื่อมวลชน ฯลฯ

ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2006 พันธมิตรพรรคการเมืองเจ็ดพรรครวมทั้งพรรคเหมาอิสต์ได้ลงใต้ดินทำการประท้วงต่อต้านการปกครองของพระมหากษัตริย์ชญาเนนทระ รัฐบาลได้ออกมาตรการควบคุมในระดับเบา แต่ประกาศเคอร์ฟิวเพื่อควบคุมไม่ให้สถานการณ์เลวร้ายลง และในการบังคับใช้กฎหมายเคอร์ฟิว

รัฐบาลได้ใช้กระสุนจริงและแก๊สน้ำตา ต่อมาในวันที่ 21 เมษายน มีผู้ประท้วง 23 คนเสียชีวิต
พระมหากษัตริย์ชญาเนนทระประกาศว่าพระองค์จะยอมให้อำนาจบริหารแก่นายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่มาจากการเลือกของพรรคการเมืองต่าง ๆ เพื่อดูแลการกลับคืนสู่ประชาธิปไตย หัวหน้าพรรคการเมืองทั้งเจ็ดปฏิเสธข้อเสนอและเรียกร้องให้พระองค์ตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาเพื่อกำหนดบทบาทในการเมืองของพระมหากษัตริย์

และภายใต้คำแนะนำของรัฐบาลอินเดียในขณะนั้น เห็นว่าพรรคการเมืองต่างๆของเนปาลควรจะตกลงให้มีสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ต่อไปในรัฐธรรมนูญที่จะร่างขึ้นมาใหม่
แต่พรรคการเมืองต่างๆไม่เห็นด้วยกับคำแนะนำดังกล่าวของรัฐบาลอินเดีย

และหลังจากที่นายคิริชา ประสาท โกอิราลาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีรัฐบาลรักษาการ เขาได้หารือและหาข้อตกลงเกี่ยวกับสถานะจุดยืนของพระมหากษัตริย์ นายโกอิราลามีความเชื่ออย่างยิ่งว่า ตราบเท่าที่พระมหากษัตริย์ชญาเนนทระยังอยู่ในโครงสร้างอำนาจ ย่อมจะเป็นภัยอันตรายต่อประชาธิปไตยของเนปาล

ในวันที่ 10 มิถุนายน ค.ศ. 2006 รัฐสภาเนปาลได้ยกเลิกอำนาจที่สำคัญ ๆ ของพระมหากษัตริย์ รวมทั้งอำนาจในการยับยั้งกฎหมาย ทำให้บทบาทของพระมหากษัตริย์ในฐานะที่ทำงานร่วมกับรัฐสภาได้สิ้นสุดลง (King in Parliament) และลดทอนพระมหากษัตริย์เป็นเพียงตรายาง แต่ให้พระองค์ยังทรงทำหน้าที่ประมุขของรัฐในการต้อนรับอาคันตุกะและทูตานุทูตต่อไปได้ และรัฐสภาได้โอนอำนาจที่พระมหากษัตริย์เคยมีไปที่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ส่งผลให้อำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีมาตลอด 239 ปีมีอันต้องสิ้นสุดลง

ต่อมาในปี ค.ศ. 2007 นายกรัฐมนตรีนายโกอิราลาได้กล่าวว่า เขาเห็นว่า พระมหากษัตริย์ชญาเนนทระควรจะสละราชสมบัติเพื่อให้พระราชนัดดาของพระองค์ เจ้าชายหริทเยนทระขึ้นครองราชย์ ซึ่งขณะนั้นมีพระชนมายุได้ 5 พรรษา

ต่อมาวันที่ 23 สิงหาคม ค.ศ. 2007 รัฐบาลในช่วงเปลี่ยนผ่านของเนปาลได้ยึดทรัพย์สินทั้งหมดของพระมหากษัตริย์ชญาเนนทระที่สืบจากพระเชษฐาของพระองค์ให้เป็นสมบัติของชาติ รวมทั้งพระราชวัง (Narayanhiti Palace) แต่ไม่ได้ยึดทรัพย์สินที่กษัตริย์ชญาเนนทระครอบครองก่อนขึ้นครองราชย์

ต่อมาในวันที่ 24 ธันวาคม ค.ศ. 2007 รัฐสภารักษาการได้ลงมติว่า อาจจะมีการให้สถาบันพระมหากษัตริย์ยุติลงชั่วคราวในปี ค.ศ. 2008 อันเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงสันติภาพกับพวกกบฏเหมาอิสต์ ซึ่งข้อเสนอดังกล่าวนี้คือร่างกฎหมายแก้ไขรัฐธรรมนูญที่จะเปลี่ยนเนปาลให้เป็นสาธารณรัฐนั่นเอง

ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2008 พระมหากษัตริย์ชญาเนนทระให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศว่า “การตัดสินดังกล่าวไม่ได้สะท้อนคนส่วนใหญ่ของประเทศ มันไม่เป็นประชาธิปไตย ประชาชนควรมีสิทธิ์ที่จะตัดสินเกี่ยวกับความเป็นไปของสถาบันพระมหากษัตริย์”

ในวันที่ 28 พฤษภาคม ค.ศ. 2008 สภาร่างรัฐธรรมนูญประกาศอย่างเป็นทางการว่าในรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขจะไม่มีสถาบันพระมหากษัตริย์อีกต่อไป และเนปาลจะเปลี่ยนไปเป็นสาธารณรัฐ

แม้การตัดสินดังกล่าวเกิดขึ้นโดยไม่มีการทำประชามติ กษัตริย์ชญาเนนทระก็ยอมรับการตัดสินดังกล่าว และขอให้รัฐบาลจัดที่พักอาศัยให้พระองค์และพระบรมวงศานุวงศ์ และรัฐบาลได้จัดให้พระองค์พำนักอยู่ที่วังแห่งหนึ่ง (Nirmal Niwas Palace)

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'เขมร' หน้ามืด! ส่อเค้าสงครามกลางเมือง ซ้ำรอย 'ยูเครน'

นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และอดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ยูเครน​ 2​

'อ.ไชยันต์' ยกจรรยาบรรณการเมือง7ข้อของอังกฤษ เป็นแนวทางวินิจฉัยจริยธรรมของนายกฯได้

ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์ภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า

แฉ 'สส.พรรคส้ม' ลอกวาทะ ‘ความจริงที่ถูกฆ่าเมื่อเกิดสงคราม' จี้แจงมาให้ได้คืออะไรบ้าง

ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์ภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก หัวข้อ ความจริงที่ถูกฆ่า เมื่อเกิดสงคราม”: คืออะไรบ้างครับ ? แจงมาให้ได้ ! มีเนื้อหาดังนี้

'อ.ไชยันต์' ร้องปอท.เอาผิดเพจ 'สมศักดิ์ เจียมฯ' ใส่ร้ายเป็น IO ของทหาร ขู่ฟ้องคนทำผังด้วย

ศ.ดร. ไชยันต์ ไชยพร อดีตอาจารย์ประจำภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า

ชิง2เก้าอี้ตุลาการศาลรธน. สว.สีน้ำเงินตัวปิดเกม

หลังที่ประชุมวุฒิสภาไม่ให้ความเห็นชอบ ศ.ดร.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และชาตรี อรรจนานันท์ อดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ เข้าไปเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เพราะคะแนนเสียงโหวตเห็นชอบไม่เกินกึ่งหนึ่งของจำนวนเสียง สว.ที่ปฏิบัติหน้าที่เมื่อช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา