
24ก.ย.2568- รองศาสตราจารย์ ดร.ปิติ ศรีแสงนาม คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊ก หัวข้อ 10 ประเด็นจุดยืนไทยในเวทีประชาคมนานาชาติ มีเนื้อหาดังนี้
ตลอดทั้งสัปดาห์นี้ 22-30 กันยายน 2025 องค์กรสหประชาชาติจะมีการประชุมสมัชชาใหญ่ และกิจกรรม General Assembly High-level Week 2025 ซึ่งจะมีการกล่าวถึงประเด็นสำคัญๆ ของประชาคมโลกที่หลากหลายโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเดินหน้าสู่เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน, การต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศ, ภัยคุกคามด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจ, การละเมิดสิทธิมนุษยธรรม รวมไปจนถึง ประเด็นของกลุ่มชาติพันธุ์ในเมียนมา
.
ประเทศไทยภายใต้การนำของรัฐบาลใหม่ ต้องไปแสดงจุดยืนของเราในเวทีนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อการแสดงบทบาทนำของไทยในเวทีอาเซียน และต่อกรณีความขัดแย้งไทย-กัมพูชา
.
จากความรู้และประสบการณ์เท่าที่ผมพอจะมีอยู่บ้าง ถ้าหากผมได้รับโอกาสให้ร่วมร่างแถลงการณ์ของรัฐบาลไทยต่อที่ประชุมสมัชชาใหญ่ องค์การสหประชาชาติ ผมจะแสดงจุดยืนดังนี้ครับ
.
คำปราศรัยของฯพณฯ นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรไทย
ในการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก
ท่านประธาน ท่านเลขาธิการใหญ่ฯ พณฯ ท่านผู้แทนประเทศสมาชิก และสุภาพบุรุษ สุภาพสตรีทุกท่าน
ในนามของประชาชนชาวไทย ผมมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสกล่าวสุนทรพจน์ต่อที่ประชุมอันทรงเกียรตินี้ ในช่วงเวลาที่โลกเผชิญกับความท้าทายที่ซับซ้อนและหลากหลาย
1. ประเทศไทยมุ่งมั่นที่จะรักษาผลประโยชน์ของชาติบนพื้นฐานของหลักธรรมาภิบาล พร้อมสนับสนุนกลไกพหุภาคีนิยม โดยยึดมั่นในหลักการสำคัญของสหประชาชาติอย่างเคร่งครัด ได้แก่ การเคารพซึ่งกันและกันในบูรณภาพแห่งดินแดนและอธิปไตย การไม่รุกรานกัน การไม่แทรกแซงกิจการภายในของกันและกัน ความเสมอภาคและความร่วมมือเพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน และการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ประเทศไทยเชื่อมั่นในแนวคิด ความมั่นคงที่ไม่อาจแบ่งแยกได้ (Indivisible Security) เพราะความมั่นคงของชาติเราแยกจากความมั่นคงของชาติอื่นไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นภัยคุกคามรูปแบบเดิมหรือรูปแบบใหม่ เราจึงสนับสนุนการปฏิรูปองค์กรระหว่างประเทศเพื่อเพิ่มธรรมาภิบาลและความสามารถในการปฏิบัติงานจริง
2. ในด้านเศรษฐกิจ ประเทศไทยสนับสนุนกลไกพหุภาคีและพร้อมเป็นผู้เล่นสำคัญในรูปแบบ พหุพาคีนิยมย่อย (Minilateralism) ในประเด็นที่ไม่ขัดกับหลักการขององค์กรระหว่างประเทศ เพื่อร่วมกันสร้าง พหุพาคีนิยมที่ยืดหยุ่น (Flexible Multilateralism) เราขอคัดค้านแนวคิดต่อต้านโลกาภิวัตน์ สงครามการค้า สงครามเทคโนโลยี และการแบ่งแยกห่วงโซ่มูลค่าระหว่างประเทศ (Decoupling)
3. ประเทศไทยได้น้อมนำหลักปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียง ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มาเป็นแนวทางหลักในการพัฒนาประเทศเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (UNSDG 2030) และขอยืนยันในสิ่งที่ประเทศไทยเคยนำเสนอต่อการประชุมสุดยอดผู้นำเอเปค 2022 นั่นคือ แนวคิด เศรษฐกิจชีวภาพ-หมุนเวียน-สีเขียว (Bio-Circular-Green - BCG) ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์การเติบโตที่ใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์ นวัตกรรม และเทคโนโลยี เพื่อส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ฟื้นฟูระบบนิเวศ และลดของเสีย เพื่อสร้างระบบที่รัฐบาลและภาคธุรกิจจะเติบโตร่วมกัน โดยมีเป้าหมายเพื่อร่วมแก้ปัญหาความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมทั่วโลกเพื่อโลกที่ยั่งยืน
4. ในระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศไทยจะสานต่อบทบาทนำในเวทีอาเซียน เราขอแสดงความยินดีและต้อนรับติมอร์เลสเตในฐานะสมาชิกใหม่ลำดับที่ 11 และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้ร่วมกันกำหนดอนาคตของประชาชนกว่า 700 ล้านคนของประชาคมอาเซียน 11 ประเทศผ่านวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน ค.ศ. 2045 (ASEAN Community Vision 2045)
5. อาเซียนอยู่ในจุดยุทธศาสตร์สำคัญ ท่ามกลางความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ประเทศไทยในฐานะประธานอาเซียนในปี 2019 ได้ประกาศ มุมมองอาเซียนต่ออินโด-แปซิฟิก (ASEAN Outlook on the Indo-Pacific) เพื่อป้องกันการแทรกแซงจากมหาอำนาจในภูมิภาค หากแต่อาเซียนก็พร้อมเป็นพันธมิตรกับทุกประเทศเพื่อการพัฒนาภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกอย่างยั่งยืน
6. ไทยและอาเซียนยึดมั่นใน ฉันทามติ 5 ข้อ ต่อสถานการณ์ในเมียนมา เราปรารถนาอย่างยิ่งที่จะเห็นเมียนมากลับคืนสู่วิถีประชาธิปไตยผ่านการเลือกตั้งที่เสรี เป็นธรรม และครอบคลุมที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ภายใต้เงื่อนไขและข้อจำกัดที่มี
7. ต่อกรณีความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ประเทศไทยขอขอบคุณรัฐบาลมาเลเซียที่เข้ามาเป็นคนกลางในการอำนวยความสะดวกให้เกิดการเจรจาทวิภาคี และขอขอบคุณรัฐบาลสหรัฐฯ และสาธารณรัฐประชาชนจีนที่ร่วมจัดและเข้าร่วมอย่างแข็งขันในการเจรจา ไทยและกัมพูชามีความสัมพันธ์อันดีมาตลอด โดยเฉพาะระดับประชาชนสู่ประชาชน ซึ่งทั้งสองประเทศมีกลไกการเจรจาทวิภาคีตามบันทึกความเข้าใจปี 2543 และ 2544 ซึ่งกระบวนการกำหนดเขตแดนมีความคืบหน้าอย่างช้าๆ แต่ตลอดกว่า 20 ปีที่ผ่านมา กัมพูชาได้ละเมิดข้อ 5 ข้อตกลงห้ามเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมพื้นที่ชายแดน ของบันทึกความเข้าใจดังกล่าวมากกว่า 400 ครั้ง โดยไทยได้ยื่นหนังสือประท้วงมาโดยตลอด ท้ายที่สุดกัมพูชากลับนำข้อพิพาทขึ้นสู่เวทีนานาชาติ ทั้งที่ข้อ 8 ของบันทึกความเข้าใจระบุให้ระงับข้อพิพาทด้วยสันติวิธีและการเจรจาทวิภาคี และในที่สุดฝ่ายกัมพูชาได้ยิงอาวุธหนักล่วงล้ำเข้ามาในพื้นที่ของไทย ซึ่งเป็นการละเมิดมาตรา 2(4) ของกฎบัตรสหประชาชาติ และมาตรา 18 และ 85(3) ของอนุสัญญาเจนีวาซึ่งห้ามการโจมตีเป้าหมายพลเรือน ห้ามการโจมตีเป้าหมายของพลเรือน ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาล โรงเรียน บ้านเรือน สถานีบริการน้ำมัน และร้านสะดวกซื้อ จนมีประชาชนบาดเจ็บและเสียชีวิต รวมถึงละเมิดอนุสัญญาออตตาวาที่ห้ามการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ยังไม่นับรวมความเสียหายจากปฏิบัติการข่าวสารที่บิดเบือนและข่าวปลอมที่ทำลายภาพลักษณ์ของไทยในเวทีโลก ประเทศไทยยังคงยืนยันความปรารถนาดีต่อประชาชนกัมพูชา และจะตอบโต้อย่างเหมาะสมและได้สัดส่วนต่อการรุกราน
8. ไทยจะเป็นกลไกสำคัญในการต่อต้านภัยคุกคามจาก การหลอกลวง (Scamming) ซึ่งในปี 2024 ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้รับความเสียหายกว่า 3.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในขณะที่เกือบทุกประเทศทั่วโลกต่อต้านและบังคับใช้กฎหมาย แต่เครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติเหล่านี้ในบางประเทศกลับเชื่อมโยงกับญาติของผู้บริหารประเทศ ทำให้มีความเสี่ยงที่ศูนย์หลอกลวงจะยกระดับเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติแบบครบวงจร ประเทศไทยในฐานะเพื่อนบ้าน จะเร่งตัดวงจรเหล่านี้อย่างจริงใจและกระตือรือร้น ร่วมมือกับทุกประเทศและภาคเอกชนเพื่อกำจัดและตัดตอนกิจกรรมของ ศูนย์หลอกลวง (Scam Center) รวมถึงสนับสนุนโครงการของมูลนิธิอาเซียน (ASEAN Foundation) ในการฝึกอบรมประชาชน 3 ล้านคนให้มีทักษะในการป้องกันตนเองจากกิจกรรมหลอกลวง เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคในภูมิภาค
9. ประเทศไทยยืนยันในหลักการของอาเซียนเพื่อให้เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็น เขตแห่งสันติภาพ เสรีภาพ และความเป็นกลาง (Zone of Peace, Freedom and Neutrality) เป็นเขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์ เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนห่วงโซ่มูลค่าโลก สนับสนุนแนวคิดพหุภาคีนิยม และเป็นพันธมิตรหลักในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
10. สุดท้ายนี้ ประเทศไทยขอประณามการละเมิดสิทธิมนุษยชนในทุกรูปแบบและทุกกรณี โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อสตรี เด็ก และกลุ่มเปราะบาง และขอประกาศยืนยันจุดยืนเดิมในการสนับสนุนแนวทาง สองรัฐเพื่อสันติภาพ (UN two states solution) เพื่อแก้ไขปัญหาสันติภาพในตะวันออกกลาง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
หยิกเล็บเจ็บเนื้อ! 'ภท.-พท.' โต้เดือดพัวพัน 'เบน สมิธ'
นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า กรณีเบน สมิธ : ภูมิใจไทย-เพื่อไทย หยิกเล็บเจ็บเนื้อ
รู้จักน้อยไปจริง! กระทุ้ง 'อนุทิน' เผยตัวตนให้มากขึ้น
นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต สส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า หรือเรารู้จักท่านนายกรัฐมนตรีน้อยไปจริงๆ
เพื่อไทยกระอัก! 'อนุทิน' ย้อนเจ็บ มีภาพคู่ทักษิณเยอะ ไม่เห็นมีปัญหา
"อนุทิน" เหน็บ "สุริยะ-โฆษกเพื่อไทย" ไม่รู้เรื่องอะไรเพราะไม่ได้ร่วมวง การสนทนาสำหรับผมต้องระดับสูงขึ้นไป ย้อนเจ็บภาพถ่ายคู่ทักษิณก็มีตั้งเยอะ ไม่เห็นมีปัญหาอะไรเลย
โฆษกภูมิใจไทย โต้เดือด โทรโข่งเพื่อไทยแกล้งตาบอด ไม่เห็นภาพทักษิณกับเบน สมิธ
โฆษกภูมิใจไทย สวนโฆษกเพื่อไทย อย่าแกล้งตาบอด ปีนี้ใครถ่ายรูปกับ "เบน สมิธ" ยัน "อนุทิน" แค่รู้จักแต่ไม่สนิท ผลงานประจักษ์ยึดทรัพย์หมื่นล้านสแกมเมอร์รายใหญ่ บีบพ้น มท.1 เหตุไม่ให้สัญชาติใครหรือไม่ เย้ย 4 เดือนใครบริหารน้ำท่วมเหลว ขณะที่ "2 เดือน" นายกฯอนุทิน" เข้ามาแก้วิกฤติ
'อนุทิน' รับรู้จัก 'เบน สมิธ' แต่ไม่สนิท ชี้ภาพเก่า 10 ปี รู้อยู่แล้วใครปล่อย
“อนุทิน” รับรู้จัก “เบนสมิท” แต่ไม่สนิท ไม่มีธุรกิจร่วมกัน ชี้ภาพที่เห็นออกเป็นรูปเก่า10ปี บอกสื่อก็รู้ว่าใครปล่อย ยันถ้าสนิททำไมไม่ได้สัญชาติ ไทย รับเป็นเหตุต้องพ้น มท. 1 โต้ “โรม” รู้จักผมน้อยไป หลังวิจารณ์ไม่ตั้งใจปราบสแกมเมอร์
เพจดังงัดภาพใหม่กว่า ตบหน้าแฟนคลับพรรคแดง ขว้างงูไม่พ้นคอ ทักษิณก็รู้จัก 'เบน สมิธ'
จากกระแสวิพากษ์วิจารณ์ หลังปรากฏภาพนายเบน สมิธ ถ่ายร่วมเฟรมกับบุคคลระดับสูงในแวดวงการเมืองไทย ได้แก่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี, นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง


