'ดร.ธรณ์' ชี้ภัยพิบัติยิ่งทวีความรุนแรง พร้อมถอดบทเรียนรับมือน้ำท่วมยุคโลกร้อน

25 พ.ย. 2568 –  ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญด้านนิเวศทางทะเล โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊ก Thon Thamrongnawasawat  อ่านเมนต์ขอความช่วยเหลือของคนติดน้ำท่วมที่หาดใหญ่จนเกือบเช้า เจ็บใจที่ตัวเองทำอะไรไม่ได้ จึงเขียนเรื่องถอดบทเรียนจากหาดใหญ่ เราเตรียมรับมือน้ำท่วมยุคโลกร้อนได้อย่างไร ? เผื่อมีประโยชน์สักนิดก็ยังดี

เริ่มจาก “เรา” ในที่นี้ไม่ใช่ภาครัฐ แต่เราหมายถึงตัวเรานี่แหละ  อาจเป็นเพราะผมไม่ค่อยฝากความหวังไว้กับใคร ยังติดตามเรื่องภัยพิบัติจากโลกร้อนมาตลอด เข้าไปเกี่ยวข้องกับหน่วยงานต่างๆ ก็หลายครั้ง จนพอสรุปกับตัวเองได้ว่า จงพึ่งพาตัวเองก่อนดีที่สุด

กติกาข้อแรกและสำคัญสุดในกรณีภัยพิบัติ ”อย่าเป็นผู้ประสบภัย“  ใช่ ! ไม่มีใครอยากติดอยู่ในบ้านตอนมืดๆ น้ำก็ขึ้นสูงขึ้นทุกที แล้วเรามีวิธีเตรียมตัวอย่างไรบ้าง

เริ่มจากศึกษาถิ่นอาศัย เมืองเราเคยมีภัยพิบัติน้ำท่วมไหม ถ้าเคย ต้องระวัง

แม้น้ำอาจไม่เคยมาถึงบ้านเรา แต่นั่นคือยุคก่อน ยุคนี้สิ่งที่เปลี่ยนไปคือสภาพภูมิอากาศ เมื่อโลกร้อนจัด ทุกอย่างแปรปรวน

เมืองไทยติดอันดับ 1 ใน 10 ประเทศเสี่ยงน้ำท่วมจากโลกร้อนมากที่สุด ภัยน้ำท่วมใหญ่จะถี่ขึ้นเรื่อยๆ ตามอุณหภูมิโลก จาก 3-4 เท่าในช่วง 1.5 องศา กลายเป็นสิบๆ เท่าเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นในอีก 30-40 ปี อาจทะลุ 2 องศา และไปจบที่ 2.6 องศาในอีก 75 ปี หากโลกยังเป็นเช่นนี้

หากเราอยู่ในเขตนั้น เพิ่มความระวังมากสุด โดยเฉพาะในปีที่มีสัญญาณเตือน

เช่นปีนี้ นักวิชาการมาเตือนเรื่องลานีญาตั้งแต่ 2-3 เดือนก่อน ฝนตกหนักในภาคเหนือกลางตอนตุลาคม บ่งบอกว่าฝนใต้ปีนี้คงหนักหน่อย

ก่อนหน้าน้ำท่วม หลายเพจก็เริ่มเตือนฝนหนัก เราต้องเริ่มหาข้อมูลให้เยอะเพื่อประกอบการตัดสินใจ

แม้อาจมีบางคนออกมาพูด เดี๋ยวน้ำลด ฯลฯ ก็ต้องดูด้วยว่าจะเชื่อได้ไหม เราต้องหาข้อมูลอื่นๆ มาเช็คว่า ที่พูดน่ะมีข้อมูลอะไรมาซัพพอร์ต ?

หากไม่มั่นใจ ถอยออกมาตั้งหลักก่อน เพราะหากติดเป็นผู้ประสบภัย บทเรียนจากหลายที่เหมือนกันทั้งนั้น แบตหมด อาหารหมด ขอความช่วยเหลือแต่ไม่มีคนมา เฉพาะคืนที่ผ่านมา ผมอ่านข่าวอ่านตามเพจต่างๆ น่าจะมีคนติดอยู่เป็นหมื่นๆ น้ำขึ้นสูง น้ำเชี่ยว มืด เรือเล็กเข้าไม่ได้ กู้ภัยจากที่อื่นไม่ชินเส้นทาง มีสิ่งกีดขวาง เช่น รถ/สิ่งของจมใต้น้ำ ฯลฯ

สารพัดปัญหาเหล่านี้ทำให้การกู้ภัยในยามค่ำคืนอันตรายมากๆ มันจึงยากที่จะมีใครมาช่วยเรา

ผมจึงเน้นย้ำตั้งแต่ต้น กฎข้อแรกของภัยพิบัติ คืออย่าเป็นผู้ประสบภัยจนช่วยตัวเองไม่ได้ ต้องรอคนอื่น

แต่ทุกอย่างมีข้อแม้ หลายคนออกมาก่อนยาก อาจเป็นผู้ชรา ผู้ป่วย ฯลฯ เป็นพ่อแม่ที่ลูกไปทำงานที่อื่น

ในยามปรกติ ท่านไม่มีปัญหาในการใช้ชีวิต แต่จะวิกฤตมากเมื่อภัยมา เราคงต้องเตรียมพร้อม

อาหาร (ของแห้ง) พาวเวอร์แบงค์ชาร์จเต็ม น้ำดื่ม ยา ฯลฯ

เราอาจย้ำเตือนกับผู้อยู่ในบ้าน หาของให้พร้อมไว้ หากไม่มีอะไรก็กินใช้ต่อไปได้ แต่ถ้ามีอะไร มันสำคัญมาก

เท่าที่อ่าน คนส่วนใหญ่ไม่ได้กินอะไรมา 3 วันแล้ว บ้างก็ยาประจำตัวหมด บ้างก็เป็นแผลเป็นไข้

สมัยผมเด็กๆ เราจะมี “กล่องยาสามัญประจำบ้าน” แต่ยุคหลังไม่ค่อยมีใครพูดถึง ยุคนี้อาจต้องกลับมาดูกันอีกครั้ง

การติดต่อสื่อสารเป็นเรื่องยากในเวลาฉุกเฉิน ไฟดับ แบตหมด ไม่มีแสงสว่างยิ่งทำให้กลัวจนพานิค ฯลฯ

ลองนั่งคิดจำลองเหตุการณ์ เอาแบบให้ร้ายแรงที่สุด จากนั้นดูสิว่าเราต้องการอะไร

เขียนรายการแล้วไปจัดมาให้พร้อม หรือจะฝากใครไปเตรียมไว้ให้พ่อแม่ผู้ชราล่วงหน้า

แล้วถ้าน้ำสูงขึ้นเรื่อยๆ ล่ะ ?

หลายคนขึ้นชั้นสองแล้วติดเหล็กดัด ออกไปไม่ได้ ชั้นล่างก็น้ำท่วมหมดแล้ว

แบบนั้นอันตรายมาก เราต้องหาทางหนีทีไล่ (ไม่ใช่แค่น้ำท่วม แต่ไฟไหม้จะแย่เอา)

ถ้าเขาประกาศว่าน้ำจะสูงขึ้นอีกเยอะมาก เช่น 1.45 เมตร (บอกมาตั้งแต่ตอนเที่ยงเมื่อวาน)

หากเราออกไปไกลไม่ได้ ลองดูใกล้ๆ ว่ามีตึกหรืออะไรที่จะพอไปพึ่งพาอาศัย หากบ้านเราเตี้ยหรือมีชั้นเดียว ดูแล้วไม่รอดแน่

สุดท้ายคือเมื่อภัยพิบัติผ่านไป จะเลือกนักการเมืองมาดูแลเรา ก็ควรนำป้ญหาภัยพิบัติเข้ามาคิดด้วย

คนที่เราจะเลือกมีความรู้หรือใส่ใจในเรื่องพวกนี้บ้างไหม มีอะไรมาเสนอกับเราว่าจะป้องกันยังไง

ทุกคนจะรวยขึ้น นั่นเป็นแคมเปญยุคก่อน

ยุคนี้ขอแค่เมื่อมีภัยมา เราจะมีระบบเตรียมพร้อม จะเตือนอพยพในตอนที่ยังออกมาได้

มีโลเกชั่นพร้อมช่วยผู้ป่วยติดเตียง/ผู้พึ่งพาตัวเองไม่ได้ให้ออกมาก่อน

มีพื้นที่อพยพ มีพื้นที่จอดรถที่พ้นน้ำ ไม่ใช่ปล่อยให้ไปจอดบนสะพาน กีดขวางเส้นทางช่วยเหลือยามฉุกเฉิน

มีระบบติดตามน้ำที่โปร่งใส ให้ข้อมูลที่เชื่อถือได้ เพื่อประกอบการวิเคราะห์และตัดสินใจของแต่ละคน

มีน้ำมันสำรองพร้อมเติมเครื่องปั่นไฟรพ.โดยไม่ต้องร้องขอ มีเรือมีอุปกรณ์เตรียมพร้อมช่วยในยามฉุกเฉิน แม้อาจไม่พอแต่ก็ต้องมีไว้บ้าง ช่วยประทังไประหว่างรอความช่วยเหลือจากภายนอก

ในยุคนี้ การเตรียมพร้อมไม่ให้คนตกอยู่ในอันตรายและไม่ให้คนจนลง อาจมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการทำให้คนรวยขึ้น

บทเรียนรัวๆ ใน 2 ปีที่ผ่านมา จากน่าน เชียงราย เชียงใหม่ จนถึงหาดใหญ่ คงพอบอกเพื่อนธรณ์ได้ว่า ความเสี่ยงจากภัยพิบัติโลกร้อนมันมาถึงเราแล้ว และมีแต่จะเพิ่มขึ้น

ให้กำลังใจชาวหาดใหญ่และชาวใต้ผู้ประสบภัย หากเพื่อนธรณ์ไม่รู้จะช่วยอย่างไร บริจาคเงินไปตามหน่วยงาน/องค์กรที่เชื่อถือได้

เป็นกำลังใจให้ทุกท่านที่เข้าไปกู้ภัยช่วยชาวบ้าน พวกคุณคือผู้เสียสละ ขอให้ทุกคนปลอดภัย

หวังเป็นอย่างยิ่งมาเมื่อเกิดเหตุน้ำท่วมฉับพลันครั้งต่อๆ ไป เราจะรับมือได้ดีกว่านี้ครับ

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

สภาสูงอวยรัฐบาลแก้น้ำท่วมไม่ล่าช้า! แต่ติดใจเงินเยียวยา 9 พันบาท

'สว.ภิญญาพัชญ์' ชี้รัฐบาล ควรจัดศูนย์ One Stop Service บริการ ปชช. เร่งจ่ายเงินเยียวยา ถามให้ 9,000 เท่าเทียมหรือไม่ มองรัฐบาลทำงานไม่ล่าช้า ลงพื้นที่รวดเร็ว

เปิดภาพดาวเทียม ตะกอนจากน้ำท่วมหาดใหญ่ ไหลลงทะเลสาบสงขลา กระทบระบบนิเวศ

ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิชาการด้านทะเลและสิ่งแวดล้อม อาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ว่า

‘ดร.ธรณ์’ แนะนำ เราจะไปอยู่ไหนดี จังหวัดที่ฝุ่นน้อย ภัยพิบัติไม่ค่อยมี

ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิชาการด้านทะเลและสิ่งแวดล้อม อาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง มหาวิทยาลัย

นายกฯ มอบนโยบายงบฯปี 70 กำชับใช้โปร่งใส โอดอยากนามสกุลหลีกภัย แต่กลายเป็นเจอภัย

นายกฯ มอบนโยบายงบฯปี 70 กำชับใช้โปร่งใส ประโยชน์กลับสู่ปชช. เข้มขอเท่าที่จำเป็น เตรียมปรับงบฯรับมือภัยธรรมชาติ เป็นลำดับแรก ขอความร่วมมือรัฐ-เอกชน เลือกจัดอีเว้นที่หาดใหญ่ หวังเม็ดเงินช่วยในพื้นที่ ชี้เหตุน้ำท่วมมุ่งพัฒนาทำถนน-ขนส่งทางบก ขวางทางน้ำ โอด อยากใช้นามสกุล ‘หลีกภัย’ แต่เจอ 4 ภัย ‘เศรษฐกิจ-มั่นคง-สังคม-ภัยธรรมชาติ’ ลั่นรักษาอธิปไตยพร้อมหนุนกองทัพ ซื้ออาวุธยังจำเป็น ปลุกสามัคคีทำงานรับใช้ชาติ