
9 ธ.ค. 2568 – นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช ได้โพสต์คลิปพร้อมข้อความลงบนเฟซบุ๊ก “เทพไท – คุยการเมือง” ระบุว่า
6 ข้อเสนอ ต่อ อนุทิน
หลังจากเหตุการณ์สู้รบกัน ระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชา และมีสัญญาหยุดยิงกัน เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ในเวลาเที่ยงคืน ทำให้กองทัพไทยมีความรู้สึกว่า การสู้รบครั้งที่ผ่านมา ยังไม่สะเด็ดน้ำ ทหารไทยไม่สามารถที่จะยึดพื้นที่ตามเป้าหมายได้อย่างเบ็ดเสร็จ ทั้งที่มีศักยภาพในการยึดพื้นที่ได้ทั้งหมด
แต่ด้วยเงื่อนไขข้อจำกัดของเวลา ที่ตัวแทนรัฐบาลไทยกับตัวแทนรัฐบาลกัมพูชา ได้ลงนามยุติการยิงขึ้น จึงรอคอยการเอาคืนครั้งแล้วครั้งเล่า จนเมื่อวันที่7ธันวาคมที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุการณ์ทหารกัมพูชายิงทหารไทยที่ฐานปฏิบัติการภูผาเหล็ก พลาญหินแปดก้อน จังหวัดศรีสะเกษ จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการสู้รบครั้งใหม่อีกครั้งหนึ่ง และเป็นโอกาสของกองทัพไทยและทหารไทย จะเอาคืนพื้นที่อธิปไตยของไทยกลับคืนมาให้ได้ หลังจากที่ค้างคามาเมื่อการสู้รบครั้งก่อน
เมื่อการสู้รบครั้งนี้เปิดศึกสงครามขึ้น และมีการสู้รบเกิดขึ้นอย่างเต็มรูปแบบ อยากให้รัฐบาลได้สนับสนุนการสู้รบครั้งนี้หรือการสงครามครั้งนี้ คือ
1.ต้องให้กองทัพได้ดำเนินการสู้รบตามแผนที่วางไว้อย่างเต็มที่ ให้ดำเนินการตามยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี ตามแผนการรบของฝ่ายทหาร หรือกองทัพ 100% รัฐบาลไม่ควรแทรกแซง ปล่อยอิสระในการตัดสินใจของกองทัพ
2.ต้องยึดพื้นที่อธิปไตยของไทยที่อยู่ในการครอบครองของทหารกัมพูชากลับคืนมาให้ได้ทั้งหมด และรุกคืบยึดพื้นที่ที่คาบเกี่ยวกับอธิปไตยของไทยกลับคืนเข้ามาเพิ่มเติมด้วย
3.ต้องทำลายฐานที่มั่นทางการทหารของกัมพูชา กองกำลังติดอาวุธ คลังแสงของกองทัพกัมพูชา เพื่อให้สภาพของกองทัพกัมพูชาสิ้นสภาพทางการทหารไป ซึ่งจะเป็นการหวังผลระยะยาวในอนาคตด้วย
4.ต้องดำเนินการสู้รบและทำลายกองทัพ ฐานที่มั่นของทหารกัมพูชาอย่างรวดเร็วและเบ็ดเสร็จ ก่อนที่ประเทศที่สาม จะเข้ามาแทรกแซง กดดัน และเรียกร้องให้มีการตั้งโต๊ะเจรจาสงบศึก ซึ่งเชื่อว่าหลังจากการสู้รบไปสักระยะหนึ่ง จะมีเสียงเรียกร้องหรือเสียงกดดันจากประชาคมโลก หรือประเทศมหาอำนาจ หรือประเทศต่างๆในระดับนานาชาติ เข้ามายุติการรบอย่างแน่นอน
5.ถ้ารัฐบาลจะเจรจาการหยุดยิง หรือสงบศึกใดๆ ก็ควรประวิงเวลาให้ทหารหรือฝ่ายกองทัพได้ดำเนินการยึดคืน หรือสู้รบได้อย่างเบ็ดเสร็จเสียก่อน ก่อนที่จะลงนามในสัญญาสงบศึก
6.รัฐบาลต้องดำเนินการควบคู่กันไประหว่างการเปิดสงครามทางการทหาร ซึ่งสามารถใช้ศักยภาพเหนือกว่าทำลายล้างกองทัพ หรือทหารของกัมพูชาได้อย่างเบ็ดเสร็จ และในขณะเดียวกันต้องเปิดสงครามข่าวสาร เพื่อสื่อสารกับประชาคมโลกด้วย เพราะที่ผ่านมาไทยเสียเปรียบเรื่องการส่งข่าวสารหรือสื่อสารต่อนานาชาติ เห็นได้จากสื่อต่างประเทศเสนอข่าวโน้มเอียงเข้าข้างประเทศกัมพูชา ซึ่งเรื่องนี้ไทยควรดำเนินการทางการทูตควบคู่กับการดำเนินการสื่อสารกับสำนักข่าวต่างประเทศด้วย
จากข้อเสนอทั้งหมด6ข้อนี้ นำเสนอไปยังรัฐบาล ให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ผู้มีอำนาจสูงสุดได้นำไปพิจารณา และดำเนินการเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ และประชาชนคนไทยทั้งประเทศ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ไทยสูญเสียทหารกล้าเพิ่มอีกหนึ่ง รวม 3 นายภายใน 48 ชั่วโมง
กองทัพบกสรุปยอดทหารเสียชีวิตล่าสุดถึง 11.30 น. วันนี้รวม 3 นายจากเหตุถูกยิงเลือด-สะเก็ดระเบิดในหลายจุดปฏิบัติการ ทั้งพื้นที่ช่องบก-พระวิหาร-สุรินทร์ ท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดชายแดน
‘ฮุน เซน’ แถเดือด! กล่าวหาไทยเปิดฉากโจมตี 11 จุด บีบกัมพูชาตอบโต้
สมเด็จฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา และประธานวุฒิสภา กัมพูชา โพสต์ข้อความยาวบนเฟซบุ๊กส่วนตัว กล่าวหาว่าฝ่ายไทยได้เปิดปฏิบัติการโจมตีเพิ่มเติมทั้
ดีอี สั่งทีมงานสู้ข่าวปลอม ‘ชายแดนไทย-กัมพูชา’ เตือนก่อนระบาด
“ไชยชนก” สั่งการ AFNC รุกบูรณาการข้อมูล สกัดข่าวปลอม “ชายแดนไทย-กัมพูชา” เตือนก่อนระบาด
เขมรเผ่น! ไทยยึดคืน 'ปราสาทคนา' ได้แล้ว ถล่มตึกร้างฐานสแกมเมอร์ ยิงทำลายกระเช้า-เสาตรวจจับโดรน
กองทัพภาค 2 ยันควบคุมปราสาทคนา-ถล่มคาสิโนร้างฐานสแกมเมอร์ -ทำลายกระเช้าลำเลียงเนิน 350 ตาควาย-ทำลายเสา Anti Drone พื้นที่พระวิหารและห้วยตามาเรีย -ยึดพื้นที่สวนมะม่วงหิมพานต์รุกเขตไทยที่ช่องระยี พร้อมเฝ้าระวังเขมรโจมตีกลางดึกด้วย BM-21 เพ่งเล็งเป้าหมายเดิม เพื่อสร้างความสับสนในสนามรบ
ก.ต่างประเทศ แข็งกร้าว! เปิด 5 ประเด็นหลัก ไทยชี้แจงคณะทูต กัมพูชาเหยียบย่ำข้อตกลงสันติภาพ
ก.ต่างประเทศ กร้าว! ไทยหมดความอดทนต่อกัมพูชา เหยียบย้ำข้อตกลงสันติภาพ ยัน เดินปฏิบัติการทางทหารจนกว่าจะเปลี่ยนจุดยืน เผย 'กต.' เชิญเอกอัครราชทูตมาเลเซีย-อุปทูตสหรัฐฯ พร้อมทำหนังสือแจ้ง UN มั่นใจ
กองทัพบก เปิดชื่อทหารบาดเจ็บ 18 นายเสียชีวิต 1 จากเหตุสู้รบชายแดนไทย-กัมพูชา
พลตรีวินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์สู้รบบริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชา 2 วัน( 7-8 ธ.ค.)มีกำลังพล เสียชีวิต 1 นาย บาดเจ็บ 18 นาย

