อดีต สว.คำนูณกางหลักฐานชี้ชัดกัมพูชาเอาแต่ได้!

24 ธ.ค.2568 - นายคำนูณ สิทธิสมาน อดีตสมาชิกวุฒิสภา (สว.) โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ “หลักฐานชี้ชัดกัมพูชาเอาแต่ได้ ปิโตรเลียมจะขอแบ่ง แต่เขตแดนไม่ขอคุย!” ระบุว่า จะมี MOU 2544 เอาไว้ทำไม ในเมื่อกัมพูชาไม่เคารพ ไม่ปฏิบัติตาม และไม่เคยพยายามที่จะปฏิบัติตามมาแต่ต้น โดยยังคงยึดมั่นแต่เถยจิตเดิมของตนตั้งแต่เจรจาครั้งแรกเมื่อปี 2538 จนแม้เมื่อตกลงลงนาม MOU 2544 ในอีก 6 ปีต่อมาแล้ว ก็ไร้ผล จนล่าสุดเมื่อปลายปี 2565 ก็ปรากฎหลักฐานเป็นที่ประจักษ์

นี่คือหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่กมธ.วุฒิสภามีมติเป็นเอกฉันท์เสนอให้รัฐบาลยกเลิก MOU 2544 เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา จะเล่าให้ฟังอย่างกระชับที่สุด

นวัตกรรมสำคัญของ MOU 2544 คือการแบ่งเขตพื้นที่อ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน (OCA) ออกเป็น 2 ส่วนโดยใช้เส้นละติจูด 11 องศาเหนือเป็นเส้นแบ่ง แล้วเขียนล็อคไว้อย่างแน่นหนาว่าให้เจรจาแบ่งเขตแดนทางทะเลในพื้นที่ส่วนบนเส้น 11 และเจรจาแบ่งผลประโยชน์ในปิโตรเลียมใต้เส้น 11 เงื่อนไขคือการเจรจาทั้ง 2 ส่วนจะต้องทำไปพร้อมกัน (to simultaneously) อย่างไม่อาจแบ่งแยกจากกันได้ (as an indivisible package) ดูแผนผังประกอบด้วยก็อาจทำให้เข้าใจง่ายขึ้นครับ

ทั้งนี้ เพื่อแก้ปัญหา 2 ด้านพร้อมกันไป

หนึ่ง - ให้ทั้งไทยและกัมพูชามีโอกาสได้ใช้ปิโตรเลี่ยมใต้อ่าวไทยในขณะที่ยังเจรจาตกลงแบ่งเขตแดนทางทะเลกันได้ไม่ครบทั้งหมด

สอง - แก้ปัญหาเส้นเขตไหล่ทวีป 2515 ของกัมพูชาที่รุกล้ำอธิปไตยและสิทธิอธิปไตยของไทย ณ บริเวณเกาะกูด การเจรจาแบ่งเขตแดนเฉพาะส่วนนี้ต้องจบลงพร้อมกับการเจรจาแบ่งปิโตรเลียม

ข้อหนึ่งเป็นความต้องการของทั้งไทยและกัมพูชา ต่างต้องการใช้ปิโตรเลียม ส่วนข้อสองต้องกล่าวว่าเป็นปัญหาเฉพาะของไทย ที่แม้ชัดเจนว่าเกาะกูดเป็นเราแน่ ๆ ตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1907 (พ.ศ. 2450) และดำเนินการแสดงสิทธิชัดเจนทุกประการตั้งแต่ปี 2516 แต่ก็ยังคงไม่สบายใจที่มีเส้นไหล่ทวีปนอกกฎหมายของกัมพูชามารบกวน หากทำให้หายไปเสียได้ก็ดี

แต่กัมพูชากลับมีเจตนารมณ์แน่วแน่ที่จะเอาแต่ได้ เอาแต่ผลประโยชน์ของตัวเอง โดยไม่คำนึงถึงความเป็นมิตรประเทศที่ดี จะไม่ยอมเสียอะไรสักอย่าง

ผลประโยชน์จากปิโตรเลี่ยมใต้อ่าวไทยก็จะเอา โดยจะขอแบ่ง 50:50 เต็มพื้นที่ OCA รวมกว่า 26,000 ตารางกิโลเมตร ไม่ใช่เฉพาะแค่เขต JDA พื้นที่ 16,000 ตารางกิโลเมตรที่กำหนดไว้ใน MOU 2544 เท่านั้น และเกาะกูดก็ยังจะเอาอยู่ หรืออย่างน้อยก็จะยังคงเคลมคาไว้อยู่ จึงจะไม่ยอมเจรจาให้เสียเส้นเขตไหล่ทวีป 2515 ของตนแม้แต่น้อย
หลักฐานปรากฏชัดแก่สายตา กมธ. เหตุเกิดเมื่อ 3 ปีที่แล้ว

วันที่ 16 ธันวาคม 2565 ประธาน JTC ไทย-กัมพูชา (ฝ่ายกัมพูชา) เข้าเยี่ยมคารวะและหารืออย่างไม่เป็นทางการกับประธาน JTC ไทย-กัมพูชา (ฝ่ายไทย) สารัตถะของการหารือนั้นได้มีการเน้นให้เห็นถึงความจำเป็นในการนำปิโตรเลียมใต้อ่าวไทยในเขต OCA ทั้งหมดขึ้นมาใช้โดยเร็วเพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจของ 2 ประเทศ เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนทรัพยากรพลังงาน โดยให้ “ละทิ้ง” การเจรจาแบ่งเขตแดนทางทะเลเอาไว้ก่อน โดยให้สัดส่วนการแบ่งผลประโยชน์เป็น “50:50” ในวันเดียวกันนั้นมีการเจรจาหารืออย่างไม่เป็นทางการระหว่าง JTC ของทั้ง 2 ประเทศในกรุงเทพฯ คณะทำงานฝ่ายกัมพูชาได้ยื่นร่างข้อตกลงเป็นฉบับภาษาอังกฤษมีเนื้อหา 3 ข้อให้กับคณะทำงานฝ่ายไทยเพื่อพิจารณาให้เป็นผลการประชุมของ JTC ด้วย

ร่างข้อตกลงที่สำคัญคือข้อ 1 และข้อ 2 เฉพาะข้อ 1 เปิดเผยธาตุแท้กัมพูชาอย่างล่อนจ้อน และเสมือนเป็นการฉีกทิ้ง MOU 2544 ในทางปฏิบัติ เพราะกำหนดให้ไทยกับกัมพูชาดำเนินการพัฒนาร่วมทรัพยากรปิโตรเลียมภายในพื้นที่ OCA ทั้งหมด (the entire area of OCA) โดยให้ละทิ้งประเด็นการแบ่งเขตแดนทางทะเลไว้ก่อน (…leave the issue of maritime boundary delimitation for later)

ส่วนข้อ 2 ระบุว่าให้แบ่งผลประโยชน์กันอย่างเท่าเทียม 50:50 เท่ากับเป็นการทำลายหัวใจของ MOU 2544 เพราะจะไม่มีการแบ่งเขตแดนทางทะเลเหนือเส้นละติจูด 11 องศาเหนืออีกต่อไป มีแต่การแบ่งผลประโยชน์เต็มพื้นที่ OCA ทั้งหมด ซึ่งกินอาณาบริเวณมากกว่า 26,000 ตารางกิโลเมตร และประชิดติดเกาะกูด ไม่ใช่แค่เฉพาะส่วนพื้นที่ 16,000 ตารางกิโลเมตรใต้เส้นละติจูด 11 องศาเหนือเท่านั้น

ถามว่าที่กัมพูชากล้าเสนอหักดิบข้อตกลงเดิมเช่นนี้ เพราะได้รับสัญญาณจากการหารืออย่างไม่เป็นทางการกับฝ่ายไทยไม่ว่าในระดับใดด้วยหรือเปล่า เพราะก็ไม่เป็นที่ปิดบังหรอกว่าหน่วยงานไทยบางหน่วยที่เกี่ยวข้องกับพลังงาน ผู้หลักผู้ใหญ่ในฝ่ายการเมืองบางคน รวมทั้งภาคเอกชนบางส่วน ก็มีแนวคิดใกล้เคียงกันประมาณนี้ คือต้องการแยกเจรจาเฉพาะเรื่องพัฒนาปิโตรเลียมให้นำขึ้นมาใช้โดยพักเรื่องเขตแดนทางทะเลไว้ก่อน

มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องในกรณีนี้ช่วงปี 2557 - 2565 รวมทั้งเอกสารประกอบแวดล้อมต่าง ๆ พอจะบอกเล่าความจริงเป็นคำตอบได้ในระดับหนึ่ง แต่จะยังไม่กล่าวถึงในข้อเขียนชิ้นนี้ เอาเป็นว่ากระทรวงการต่างประเทศยืนหยัดคัดค้านเต็มที่ โดยทำหนังสือเสนอความเห็นต่อคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2565 ว่าไม่ควรรับข้อเสนอของกัมพูชา ยกเหตุผลหลายประกอบด้วยภาษาที่นุ่มนวลแต่หนักแน่น

เริ่มต้นด้วยการให้ข้อมูลพื้นฐานว่านี่ไม่ใช่ของใหม่อะไร หากเป็นไปตามข้อเสนอเดิมของกัมพูชาตั้งแต่ครั้งประชุมคณะกรรมการร่วมด้านเทคนิคไทย-กัมพูชาเมื่อวันที่ 18-19 กรกฎาคม 2538 อันเป็นครั้งแรกในยุคที่ฮุนเซนเถลิงอำนาจขึ้นมาแล้ว เป็นความต้องการสูงสุด (Maximum Claim) ก่อนจะปรับท่าทีลดลงมาตามเนื้อหาที่ปรากฎใน MOU 2544 ในอีก 6 ปีถัดมา
.
ในเหตุผลข้อสุดท้าย กระทรวงการต่างประเทศเสนอไว้อย่างหนักแน่นว่า “…ในการกำหนดพื้นที่พัฒนาร่วม (JDA) ระหว่างไทยกับกัมพูชา กระทรวงการต่างประเทศเห็นว่าจะต้องสามารถอธิบายให้กับประชาชน นักวิชาการ ผู้มีส่วนได้เสีย และภาคประชาสังคมได้ และรัฐสภาต้องให้ความเห็นชอบด้วย รวมทั้งจะต้องเป็นไปตามกฎหมายระหว่างประเทศ”

หน่วยงานเจ้าของเรื่องให้ความเห็นหนักแน่นแบบนี้ รัฐบาลไหนจะกล้าไม่เชื่อบ้างล่ะ ? ประกอบกับช่วงเวลานั้นก็ใกล้เลือกตั้งทั่วไปมากแล้ว ร่างข้อตกลงเถยจิตของกัมพูชาจึงพับไป

ประเด็นนี้ต้องขอชื่นชมกระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงพลังงานในช่วงปี 2559 - 2560 ที่ยืนหยัดต่อสู้แนวคิดพักการเจรจาเรื่องเขตแดนไว้ก่อนมาหลายปีก่อนหน้าการเสนอความเห็นครั้งสุดท้ายต่อคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2565

หลังจากนั้นก็เข้าสู่ยุคปัจจุบันอย่างที่พอทราบกัน คือหลังการจัดตั้งรัฐบาลปี 2566 นโยบายจะเร่งเจรจากับกัมพูชาเพื่อนำปิโตรเลียมในอ่าวไทยขึ้นมาใช้ก็ปรากฏขึ้นมาในนโยบายของรัฐบาลที่แถลงต่อรัฐสภา มีการอภิปรายตั้งข้อสังเกตโดยสว. ทั้งในวาระอภิปรายนโยบายในรัฐสภา และในวาระอภิปรายทั่วไปโดยไม่มีการลงมติในวุฒิสภาช่วงต้นปี 2567 เรื่องนี้โด่งดังเป็นประเด็นมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อปรากฎความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทแนบแลกเปลี่ยนการเยือนไปมาระหว่างผู้นำของทั้ง 2 ประเทศ และผู้นำตัวจริงในคณะรัฐบาลฝั่งไทยขณะนั้นถึงกับปาฐกถาเอ่ยแนวทาง “แบ่ง 50:50” ซึ่งบังเอิญตรงกับที่กัมพูชาเสนอร่างข้อตกลงมาเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2565 แต่ก็ปรากฎเสียงคัดค้านจากหลายภาคส่วนในสังคมไทย รัฐบาลแม้จะยืนยันเสียงแข็งไม่ยกเลิก MOU 2544 แต่ก็ไม่กล้าเดินหน้าตั้งคณะกรรมการ JTC ฝ่ายไทยจนแล้วจนรอด ก่อนที่ล่าสุดผู้นำตัวจริงของกัมพูชาจะสติแตกเผยแพร่คลิปลับสนทนากับนายกรัฐมนตรีไทยสมัยนั้น และตามด้วยการลั่นกระสุนนัดแรกใส่ไทยเปิดฉากสงคราม 5 วันเมื่อช่วงเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม 2568 จนเป็นชนวนสำคัญเริ่มปฎิกิริยาลูกโซ่ทำให้รัฐบาลไทยมีอันต้องเปลี่ยนขั้ว น่าเสียดายที่รัฐบาลปัจจุบันไม่มีนโยบายต่อปิโตรเลียมในอ่าวไทยแถลงไว้ให้ชัดในรัฐสภา แต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานให้สัมภาษณ์ไว้เป็นมั่นเป็นเหมาะเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2568 ว่าจะไม่มีการเจรจาแบ่งผลประโยชน์ปิโตรเลียมในอ่าวไทยกับกัมพูชาตราบใดที่การเจรจาเรื่องเขตแดนยังไม่เสร็จเรียบร้อย

ณ วันนี้ MOU 2544 ถึงมีไว้ก็เหมือนไม่มี แล้วจะมีไว้ทำไม? ในการรณรงค์และดีเบตหาเสียงเลือกตั้ง พรรคการเมืองทุกพรรค ช่วยกรุณาประกาศเป็นนโยบายหลักให้ชัดเจนด้วย

 

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'สีหศักดิ์' ชูนโยบายพาไทยก้าวพ้นความขัดแย้งกัมพูชา

'สีหศักดิ์' เสนอนโยบายต่างประเทศ 'ภูมิใจไทย' ตั้งเป้าพาไทยก้าวพ้นความขัดแย้งกัมพูชา ลั่นการทูตไทยต้องมองไกล อยู่บนเวทีโลกอย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี จ่อเปิดนโยบายการทูตเศรษฐกิจสัปดาห์นี้

ประณาม 'กัมพูชา' ใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ล่อทหารไทยเข้าทุ่งสังหาร ละเมิดอนุสัญญาออตตาวาโจ่งแจ้ง

ทร.ประณามกัมพูชา ฝ่าฝืนกฎหมายมนุษยธรรมอย่างร้ายแรง ใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ล่อทหารไทยเข้าสู่ทุ่งสังหาร  ละเมิดอนุสัญญาออตตาวาอย่างโจ่งแจ้ง

สถานการณ์แรงงานข้ามชาติปี 2568 จับตาพรรคการเมืองปั่นกระแส บิดเบือนข้อมูลเพื่อโจมตีทางการเมือง

เข้าสู่ช่วงนับถอยหลังกำลังจะผ่านพ้นไปแล้วสำหรับปี 2568 หลายภาคส่วนมีการวิเคราะห์-สรุปสถานการณ์ในด้าน”การเมือง-เศรษฐกิจ-สังคม-สิ่งแวดล้อม-เทคโนโลยี

เสธ ทบ. เผยพบร่างทหาร 2 นาย เหตุปะทะพื้นที่ปราสาทตาควาย 'เนิน 350' แล้ว

พล.อ.ชัยพฤกษ์ ด้วงประพัฒน์ เสนาธิการทหารบก เปิดเผยความคืบหน้ากรณีการปะทะในพื้นที่ปราสาทตาควาย และบริเวณเนิน 350 จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการสู้รบอย่างหนั

โคราชเดือด! ถล่มยิงเป้าผู้นำเขมร

สโมสรกีฬายิงธนูโคราชเปลี่ยนเป้าซ้อมเป็นรูปผู้นำกัมพูชา ทั้งฮุน เซน–ฮุน มาเนต รวมถึงโฆษกกองทัพและอินฟลูเอนเซอร์เขมร ลูกค้าแห่ทดลองยิง ระบุเป็นกิจกรรมผ่อน