
กสม. ตรวจสอบกรณีแรงงานไทยที่ไปเก็บเบอร์รี่ในสวีเดนและฟินแลนด์ถูกละเมิดสิทธิฯ แนะหน่วยงานจัดทำข้อตกลงจัดส่งแรงงานระหว่างประเทศที่เป็นธรรม ชงดีเอสไอเร่งรัดสอบสวนคดีค้ามนุษย์
26 ธ.ค.2568- นางสาวสุภัทรา นาคะผิว กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้รับเรื่องร้องเรียนผ่านสำนักงาน กสม. พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเมื่อเดือนกันยายน 2566 ระบุว่า กระทรวงแรงงานโดยกรมการจัดหางาน (ผู้ถูกร้องที่ 1) และกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (ผู้ถูกร้องที่ 2) รวมทั้งกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ (ผู้ถูกร้องที่ 3) ได้รับเรื่องร้องเรียนจากแรงงานไทยที่ไปเก็บเบอร์รี่ (ผลไม้ป่า) ในสวีเดนและฟินแลนด์ แต่แก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียนล่าช้า กรณีบริษัทผู้ประสานงานของไทยที่นำแรงงานไปทำงานไม่ปฏิบัติตามสัญญาจ้างแรงงานและกฎหมายแรงงานที่เกี่ยวข้อง ค่าจ้างและผลตอบแทนไม่เป็นไปตามที่ตกลงกันไว้ แรงงานต้องรับภาระหนี้สินและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ สูงเกินจริง หักเงินค่าจ้างใช้หนี้โดยไม่เป็นธรรม ยึดหนังสือเดินทาง ข่มขืนใจให้ทำงานไม่ต่ำกว่าวันละ 14 - 18 ชั่วโมง ทำให้ต้องอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ จำยอมต้องทำงาน เป็นการบังคับใช้แรงงาน อาจเข้าข่ายการกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์ จึงขอให้ตรวจสอบ
กสม. ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงจากทุกฝ่าย หลักกฎหมาย และหลักสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องแล้วปรากฏว่า ตั้งแต่ปี 2540–2567 แรงงานไทยเดินทางไปเก็บผลไม้ป่าในสวีเดนและฟินแลนด์ทุกปีในระหว่างเดือนกรกฎาคม–ตุลาคม โดยกรณีของสวีเดน บริษัทผู้ประสานงานในไทยในฐานะนายจ้างจะขออนุญาตพาลูกจ้างไปทำงาน โดยทำสัญญาจ้างแรงงานและขออนุญาตจากกรมการจัดหางานตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ส่วนกรณีของฟินแลนด์ แรงงานส่วนใหญ่แจ้งการเดินทางไปทำงานด้วยตนเอง หรือผ่านบริษัทผู้ประสานงาน โดยใช้วีซ่า Schengen และไปทำสัญญาจ้างแรงงานกับนายจ้างซึ่งจดทะเบียนมีสำนักงานใหญ่และสถานที่ทำการในฟินแลนด์ ถือเป็นการจ้างงานนอกราชอาณาจักร ไม่อยู่ภายใต้พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541
ตั้งแต่ปี 2565 มีการร้องเรียนเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิแรงงานและการค้ามนุษย์ในฟินแลนด์ และเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2568 กฎหมายคุ้มครองแรงงานตามฤดูกาลของฟินแลนด์มีผลบังคับใช้ โดยกำหนดให้แรงงานที่ไปเก็บผลไม้ป่า รวมถึงแรงงานที่ทำกิจกรรมในพื้นที่ป่าเป็นแรงงานตามฤดูกาล ต้องมีใบอนุญาตทำงานตามฤดูกาล ทดแทนการใช้วีซ่า Schengen ส่วนการเดินทางไปเก็บผลไม้ป่าที่สวีเดนเมื่อปี 2568 กรมการจัดหางานได้เปลี่ยนวิธีจากนายจ้างในไทยขออนุญาตพาลูกจ้างไปทำงานในต่างประเทศโดยทำสัญญาจ้างแรงงานในไทย เป็นการแจ้งการเดินทางไปทำงานด้วยตนเองและทำสัญญากับนายจ้างในสวีเดนโดยตรง และมีสถานะเป็นแรงงานตามฤดูกาลเช่นเดียวกับฟินแลนด์
เมื่อพิจารณาถึงปัญหาที่แรงงานร้องเรียน ส่วนใหญ่เกิดมาจากการกระทำของบริษัทผู้ประสานงานที่ดำเนินการในลักษณะเดียวกับบริษัทจัดหางานและยังเป็นตัวแทนของนายจ้างในสวีเดนและฟินแลนด์ เช่น การเรียกเก็บและการหักค่าใช้จ่ายที่ไม่เป็นธรรม สภาพที่พักอาศัยและอาหารที่ไม่เหมาะสม ถูกกดราคารับซื้อ และถูกบังคับใช้แรงงาน แม้สวีเดนและฟินแลนด์ได้ปรับเปลี่ยนสถานะของแรงงานเก็บผลไม้ป่าเป็นแรงงานตามฤดูกาลและมีใบอนุญาตทำงานตามฤดูกาล เพื่อคุ้มครองแรงงานตามกฎหมายของประเทศทั้งสองแล้ว แต่ไม่ได้กำหนดรูปแบบการเดินทางไปทำงานในแต่ละประเทศไว้เป็นการเฉพาะ นอกจากนี้ ยังพบว่า การดำเนินการของบริษัทผู้ประสานงานมีลักษณะเช่นเดียวกับบริษัทจัดหางาน แต่สามารถตั้งขึ้นได้ง่ายโดยไม่ต้องขออนุญาตจากกรมการจัดหางาน ต่างจากการจัดตั้งบริษัทจัดหางานที่ต้องดำเนินการตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528
กสม. เห็นว่าการที่กรมการจัดหางานทราบถึงปัญหาที่เกิดจากการกระทำของบริษัทผู้ประสานงาน และสามารถป้องกันปัญหาโดยใช้หน้าที่และอำนาจกำหนดวิธีการเดินทางไปทำงานในต่างประเทศและมาตรการที่เหมาะสมเพื่อคุ้มครองแรงงานได้ แต่กลับยังคงให้แรงงานแจ้งการเดินทางไปทำงานด้วยตนเองเช่นเดิม ส่งผลให้แรงงานที่มีข้อจำกัดด้านภาษาและกฎระเบียบต่าง ๆ ยังคงต้องพึ่งพาบริษัทผู้ประสานงาน จึงเสี่ยงที่จะถูกหลอกลวง ละเมิดสิทธิแรงงาน และถูกบังคับใช้แรงงานได้ต่อไป อันเป็นการกระทำที่ไม่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (ICESCR) ที่ได้รับรองสิทธิแรงงานและกำหนดให้รัฐคุ้มครองแรงงานให้ได้รับความปลอดภัยและมีสุขอนามัยที่ดีในการทำงาน มีสภาพการทำงานที่ยุติธรรม และได้รับค่าจ้างที่เป็นธรรม ในชั้นนี้ จึงรับฟังได้ว่า กรมการจัดหางาน (ผู้ถูกร้องที่ 1) มีการกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อแรงงานผู้ร้อง
ในส่วนของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (ผู้ถูกร้องที่ 2) เห็นว่า ในช่วงเดือนตุลาคม 2562-มกราคม 2566 เมื่อแรงงานที่กลับมาจากสวีเดนได้ยื่นคำร้องรวม 12 คำร้อง ขอให้ตรวจสอบกรณีบริษัทค้างจ่ายค่าจ้าง และพนักงานตรวจแรงงานได้ออกคำสั่งให้บริษัททั้งสองจ่ายค่าจ้างให้แก่แรงงานให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน จึงเป็นกรณีที่ผู้ถูกร้องที่ 2 ได้ดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจในเวลาอันควร จึงยังไม่อาจรับฟังได้ว่ามีการกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
สำหรับการดำเนินงานของกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ (ผู้ถูกร้องที่ 3) เห็นว่า ตั้งแต่ปี 2559 - 2566 ดีเอสไอได้รับเรื่องร้องเรียนกรณีแรงงานไทยเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ในฟินแลนด์เป็นคดีพิเศษ 2 คดี โดยคดีหนึ่งพบว่ามีเจ้าหน้าที่ของรัฐระดับสูงเข้าไปเกี่ยวข้องในความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ดีเอสไอจึงได้ส่งเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. เพื่อดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจ ขณะที่อีกคดีอยู่ระหว่างการสอบสวน โดยดีเอสไอแจ้งว่าจะดำเนินการภายในอายุความคดีอาญา อย่างไรก็ดี กสม. เห็นว่า เมื่อปี 2564 ศาลฎีกาของฟินแลนด์ได้มีคำพิพากษาให้กรรมการบริษัทในคดีดังกล่าวกระทำผิดฐานค้ามนุษย์ ดีเอสไอจึงย่อมสามารถใช้ประโยชน์จากคำพิพากษาดังกล่าวเพื่อประกอบการดำเนินการได้ แต่การดำเนินคดีที่ล่าช้าของดีเอสไอในขณะนี้อาจส่งผลให้บริษัทผู้ประสานงานใช้เป็นช่องว่างไปตั้งบริษัทใหม่ เพื่อหลอกลวงแรงงานไปทำงานในสวีเดนและฟินแลนด์และเกิดการค้ามนุษย์ขึ้นอีกดังเช่นที่เคยเกิดขึ้น นอกจากนี้ การที่ดีเอสไอ ยังไม่ได้ยืนยันว่า นายจ้างและบริษัทผู้ประสานงานกระทำความผิดในข้อหาค้ามนุษย์ ส่งผลให้แรงงานที่ไปยื่นขอรับความช่วยเหลือและเยียวยาความเสียหายจากกองทุนเพื่อการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ยังคงต้องรอการเยียวยาต่อไป ในชั้นนี้ จึงรับฟังได้ว่า ดีเอสไอ (ผู้ถูกร้องที่ 3) มีการกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
ด้วยเหตุผลข้างต้น กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2568 จึงมีมติให้มีข้อเสนอแนะในการป้องกันหรือแก้ไขการละเมิดสิทธิมนุษยชนไปยังกรมการจัดหางาน (ผู้ถูกร้องที่ 1) ให้รวบรวมปัญหาที่เกิดขึ้นกับแรงงานไทยที่ไปเก็บผลไม้ป่าในสวีเดนและฟินแลนด์และเสนอให้กระทรวงแรงงานร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศเจรจากับทั้งสองประเทศเพื่อจัดทำข้อตกลงจัดส่งแรงงานไปเก็บผลไม้ป่าในรูปแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) หรือรูปแบบอื่นใดที่สามารถคุ้มครองสิทธิแรงงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ป้องกันไม่ให้แรงงานถูกเอารัดเอาเปรียบและตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ เช่น การกำหนดให้แรงงานต้องทำสัญญาจ้างแรงงานทั้งกับนายจ้างในไทยและนายจ้างในสวีเดนและฟินแลนด์เพื่อให้ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายไทยและกฎหมายของทั้งสองประเทศ พร้อมทั้งให้จัดหาเจ้าหน้าที่เพื่อช่วยเหลือแรงงานที่จะเดินทางไปเก็บผลไม้ป่าในแต่ละฤดูกาลในการดำเนินการที่จำเป็น เช่น การขอใบอนุญาตทำงาน การช่วยประสานกับนายจ้างหรือตัวแทนของนายจ้างในสวีเดนและฟินแลนด์โดยตรง เพื่อลดการพึ่งพิงบริษัทผู้ประสานงาน ทั้งนี้ หากแรงงานต้องทำสัญญาจ้างแรงงานในสวีเดนและฟินแลนด์ สัญญาจ้างแรงงานจะต้องมีเงื่อนไขตามมาตรฐานที่กรมการจัดหางานกำหนด และให้แก้ไขกฎหมายเพื่อกำกับดูแลบริษัทผู้ประสานงาน โดยกำหนดให้บริษัทผู้ประสานงานที่นำแรงงานไทยไปทำงานในต่างประเทศเป็นบริษัทจัดหางานที่ต้องขออนุญาตจัดหางานจากนายทะเบียนจัดหางานกลาง ตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
นอกจากนี้ ให้ ดีเอสไอ (ผู้ถูกร้องที่ 3) เร่งรัดสอบสวนคดีค้ามนุษย์ที่อยู่ในความรับผิดชอบที่เกี่ยวข้องกับแรงงานที่ไปเก็บผลไม้ป่าในสวีเดนและฟินแลนด์ให้แล้วเสร็จ เพื่อปราบปรามการกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์และป้องปรามความผิดที่อาจจะเกิดขึ้นอีกในอนาคต
ส่วนข้อเสนอแนะในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ให้กรมการจัดหางานจัดตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาและผลกระทบที่เกิดขึ้นกับแรงงานที่ไปเก็บผลไม้ป่าในสวีเดนและฟินแลนด์ โดยมีตัวแทนของแรงงานที่ได้รับความเสียหายร่วมเป็นคณะกรรมการ และประสานกระทรวงการต่างประเทศเพื่อให้ความช่วยเหลือแรงงานที่ฟ้องคดีค้ามนุษย์และคดีพิพาทแรงงานต่าง ๆ ต่อหน่วยงานของสวีเดนและฟินแลนด์จนกว่าคดีจะถึงที่สุด พร้อมทั้งให้จัดเวทีสาธารณะในจังหวัดเป้าหมายที่จะมีแรงงานไทยไปเก็บผลไม้ป่า เพื่อชี้แจงและทำความเข้าใจเกี่ยวกับการเดินทาง สัญญาจ้าง สิทธิของแรงงาน ข้อควรปฏิบัติในการทำงาน รวมถึงช่องทางขอความช่วยเหลือในกรณีที่เกิดปัญหาจากการจ้างงานด้วย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ไทยไม่ได้โดดเดี่ยว! แต่ยืนฝั่งเดียวกับโลกในสงครามเงียบ
นายปฐม อินทโรดม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสวีโอเอ จำกัด (มหาชน)
เจรจา ‘ไดกิ้น’ ได้ข้อยุติ เปลี่ยนระบบจ่ายทองเป็นเงินแทน พนักงานเตรียมกลับเข้าทำงาน
นางสาวตรีนุช เทียนทอง รมว.แรงงาน ให้สัมภาษณ์ถึงผลการเจรจาร่วมกันระหว่างบริษัท ไดกิ้น อินดัสทรีส์ (ประเทศไทย) จำกัด กับ สหภาพแรงงานไดกิ้น อมตะ รักษ์เสรี
'อดีตผู้พิพากษา' อธิบาย 'ปิดงานงดจ้าง' กับ 'หยุดกิจการ' เหตุข้อพิพาทแรงงาน 'ไดกิ้น '
นายวัส ติงสมิตร นักวิชาการอิสระ อดีตผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา และอดีตประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ ปิดงานงดจ้างกับหยุดกิจการ มีเนื้อหาดังนี้
ตามรอยพระปิยมหาราช เสด็จประพาสสวีเดน
เวลาเย็นแต่ฟ้าได้มืดสนิทลงนานแล้ว เพราะตรงกับช่วงกลางเดือนมกราคมที่ประเทศสวีเดน ผมยืนอยู่หน้าศาลาไทย พระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เทศบาลรากุนดา เทศมณฑลแยมต์แลนด์ ห่างจากกรุงสตอกโฮล์ม 460 กิโลเมตร
ยกมติรัฐสภาโลก เตือนรัฐบาล ลูบหน้าปะจมูก นานาชาติจะมองไทยเป็นเครือข่ายสแกมเมอร์ข้ามชาติ
นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ว่า เมื่อผู้แทนจากรัฐสภาจากทั่วโลกมากถึง 2 ใน 3 ให้ความสนใจร่วมกันในการปราบปรามขบวนการสแกมเมอร์ข้ามชาติ
กรรมการสิทธิฯ ออกแถลงการณ์ กังวล 'สว.อังคณา' ถูกข่มขู่คุกคามเพราะความเห็นต่าง
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เผยแพร่แถลงการณ์ เรื่อง ขอให้ทุกฝ่ายเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่าง และไม่ยอมรับการสร้างความเกลียดชัง โดยมีรายละเอียดดังนี้

