วันที่ภาพเก่าหลายเฟรมของ “เบน สมิธ” ถูกดันกลับขึ้นมาในโซเชียล คือวันเดียวกับที่ ปปง. แถลง ยึด-อายัดทรัพย์ 289 รายการ มูลค่ากว่า 10,165 ล้านบาท จากเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ 4 คดีใหญ่ ซึ่งหนึ่งในคดีนั้นมีชื่อของเครือข่ายที่เกี่ยวข้องกับ “เบน สมิธ” รวมอยู่ด้วย จังหวะเช่นนี้ทำให้หลายคนเชื่อมโยงเหตุการณ์เข้าหากัน แม้ข้อเท็จจริงจะไม่ได้สัมพันธ์กันแม้แต่น้อย
ภาพแรกเกิดขึ้นที่สิงคโปร์ปี 2557 เป็นภาพที่มี พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายอุปกิต ปาจรียางกู และพล.ต.อ.วิสนุ ปราสาททองโอสถ ร่วมเฟรมในบรรยากาศพบปะทั่วไป ส่วนอีกภาพเป็นภาพของ “เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ” ในงานเลี้ยงหลักสูตรผู้บริหารสำนักงานตำรวจแห่งชาติซึ่งมีผู้ร่วมจำนวนมาก ทั้งสองเหตุการณ์เป็นเพียงภาพในงานสังคมธรรมดา ไม่ใช่จุดเริ่มต้นของเครือข่ายสแกมเมอร์ใด ๆ
สิ่งที่เกิดขึ้นคือ การยกภาพในอดีตหลายปีขึ้นมา “ปั่น” ให้เกิดความเชื่อมโยงแบบลวงตา ทั้งที่ในปี 2557 โครงสร้างอาชญากรรมประเภทคอลเซ็นเตอร์และ Hybrid Scam ยังไม่เติบโตจนเป็นระบบ และไม่ได้มีสัญญาณใดว่าจะพัฒนาเป็นเครือข่ายข้ามชาติที่ต้องใช้การสืบสวนร่วมหลายหน่วยงานอย่างที่กำลังเกิดขึ้นในวันนี้
บริบทจริงของคดีที่ ปปง. แถลง คือการตรวจสอบเส้นทางเงินซึ่งกินเวลานาน ทั้งบัญชีในประเทศ บัญชีนอมินี และการซ่อนเงินผ่านบริษัทบังหน้า ข้อมูลเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในภาพถ่ายเลยสักจุด แต่ภาพกลับถูกใช้เพื่อให้เรื่องเปลี่ยนทิศไปอยู่ในพื้นที่ตีความ มากกว่าการสนใจข้อมูลเชิงโครงสร้างของคดีที่มีน้ำหนักจริง
การเรียงเหตุการณ์ตามเวลา จึงทำให้เห็นชัดว่า ภาพเก่าถูกนำมาใช้เพื่อสร้างแรงสั่นไหวในเชิงการเมือง มากกว่าที่จะช่วยให้สังคมเข้าใจคดีที่กำลังคลี่ออกทีละชั้นในปัจจุบัน
แกนหลักของคำสั่งยึด-อายัดทรัพย์ครั้งนี้อยู่ที่ข้อมูลจริง ไม่ใช่ภาพที่ถูกแชร์ออนไลน์ ปปง. ตรวจเส้นเงินทั้งสายในประเทศและต่างประเทศ เชื่อมธุรกรรมหลายทอด และอาศัยข้อมูลร่วมจากหลายหน่วยงานจนสามารถออกคำสั่งต่อทรัพย์สินหลายร้อยรายการในคดีสแกมเมอร์ทั้ง 4 คดีใหญ่ ซึ่งรวมเครือข่ายที่มี “เบน สมิธ” อยู่ในกลุ่มนั้นด้วย
เมื่อมองภาพถ่ายที่ถูกปล่อย จะเห็นว่าห่างไกลจากตัวคดีโดยสิ้นเชิง ภาพไม่สะท้อนเส้นทางเงิน ไม่เกี่ยวข้องกับบริษัทบังหน้า และไม่ใช่ส่วนหนึ่งของธุรกรรมที่ถูกตรวจสอบ การดึงภาพมาผูกกับคดี จึงทำให้เรื่องไหลออกจากข้อเท็จจริงไปไกลมาก เพราะภาพไม่สามารถอธิบายการยึด-อายัดทรัพย์ที่เกิดจากข้อมูลที่ตรวจสอบได้จริง
คดีที่ ปปง. เปิดเผยมีความซับซ้อนสูง ตั้งแต่การโอนเงินผ่านบุคคลอื่นหลายทอด การใช้บัญชีจำนวนมาก และการประสานกับหน่วยงานในต่างประเทศเพื่อไล่เส้นเงินกลับไปยังต้นทาง การจะออกคำสั่งยึด-อายัดได้ ต้องใช้หลักฐานที่มีน้ำหนัก ไม่ใช่เรื่องที่สามารถสร้างจากภาพถ่ายหรือความเชื่อมโยงแบบผิวเผินได้เลย
สิ่งที่เด่นขึ้นเรื่อย ๆ คือบทบาทของรัฐบาลชุดปัจจุบัน ซึ่งเป็นผู้เปิดทางให้การรื้อเครือข่ายดำเนินไปจนถึงระดับโครงสร้าง ไม่ได้หยุดอยู่ที่ปลายทางของเงินแต่ไล่ย้อนกลับไปยังเส้นทางที่เกี่ยวข้องในหลายประเทศ การนำภาพเก่ามาปั่นในจังหวะนี้ จึงมีลักษณะของการลดทอนน้ำหนักของคดี มากกว่าการตั้งคำถามเชิงข้อเท็จจริง
ภาพถ่ายอาจทำให้เกิดอารมณ์ร่วมในช่วงสั้น ๆ แต่ไม่สามารถทดแทนข้อมูลที่มีหลักฐานรองรับได้ เมื่อรายละเอียดคดีชัดขึ้น น้ำหนักของภาพก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด และสังคมเริ่มแยกแยะได้เองว่าอะไรคือข้อเท็จจริง และอะไรคือความพยายามชี้นำ
ในงานสังคมระดับผู้บริหาร การถ่ายภาพร่วมกันไม่ใช่เรื่องพิเศษอะไร บางครั้งคนที่ยืนอยู่ข้างเราอาจเป็นคนที่เราไม่รู้จักมาก่อน และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าในอนาคตเขาอาจมีคดีติดตัวหรือไม่ ภาพลักษณะนี้สะท้อนเพียงว่าทุกคนอยู่ในงานเดียวกัน ไม่ใช่หลักฐานของความใกล้ชิดหรือการร่วมขบวนการใด ๆ
ภาพจากสิงคโปร์ปี 2557 จึงต้องอ่านในกรอบนี้ เป็นภาพในงานพบปะตามธรรมชาติ ไม่ใช่ภาพที่สะท้อนความร่วมมือทางธุรกิจหรืออาชญากรรม ขณะที่ภาพของ “เอกนิติ”ในงานหลักสูตรผู้บริหารสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็เป็นงานที่มีผู้ร่วมจำนวนมากจากหลายวงการ ความหลากหลายนั้นทำให้มีภาพร่วมเฟรมได้เป็นเรื่องปกติ
เมื่อวางภาพถ่ายเหล่านี้ข้าง ๆ ข้อเท็จจริงของคดี ความต่างยิ่งปรากฏชัด ปฏิบัติการยึด-อายัดทรัพย์เกิดขึ้นจากการตรวจสอบเส้นทางเงิน การรวบรวมหลักฐาน และการทำงานร่วมกันของหลายหน่วยงานในระยะเวลาที่ยาวนาน สิ่งเหล่านี้ไม่มีอยู่ในภาพถ่ายแม้แต่นิดเดียว
จึงปฏิเสธไม่ได้ว่า น้ำหนักของภาพสะท้อนเจตนาของผู้ปล่อยมากกว่าสะท้อนตัวคดีจริง การใช้ภาพเก่าเพื่อชี้นำความรู้สึกในจังหวะที่รัฐกำลังรื้อเครือข่ายอย่างจริงจัง เป็นวิธีการที่ง่ายกว่า และส่งผลเร็วกว่า การไปต่อสู้กับข้อมูลเชิงลึกที่ถูกตรวจสอบแล้วอย่างรัดกุม
เมื่อคดีเดินหน้า รายละเอียดที่ ปปง. เปิดเผยเริ่มชัดขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งเส้นทางเงินที่เชื่อมกันหลายชั้น การโอนข้ามพรมแดน และรายชื่อผู้เกี่ยวข้องที่ถูกดำเนินการตามกฎหมาย น้ำหนักของภาพเก่าจึงลดลงอย่างต่อเนื่อง เพราะข้อเท็จจริงที่ตรวจสอบได้มีพลังมากกว่าเรื่องตีความจากภาพถ่าย
สิ่งที่เกิดขึ้นจึงกลายเป็นความต่างระหว่างภาพเก่าที่ถูกดึงขึ้นมาปั่น กับข้อเท็จจริงของคดีที่คลี่ออกต่อหน้า การบังคับใช้กฎหมายกำลังเดินต่ออย่างเป็นระบบ และเป็นหนึ่งในปฏิบัติการด้านอาชญากรรมออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในรอบหลายปี ความคืบหน้าที่ตรวจสอบได้จริงทำให้สังคมเห็นว่า การปล่อยภาพเพื่อสร้างความสับสน ไม่สามารถกลบการทำงานของรัฐที่กำลังรื้อเครือข่ายอย่างเต็มขั้นได้เลย
ภาพถ่ายอาจถูกใช้เพื่อทำให้เรื่องวุ่นวายขึ้นในช่วงสั้น ๆ แต่ความจริงที่มีหลักฐานรองรับจะยืนอยู่ในระยะยาว เมื่อคดีขยับไปอีกขั้น สิ่งที่ยังเหลืออยู่คือข้อมูล ไม่ใช่เฟรมที่ถูกเลือกจากอดีต ทุกอย่างจึงกลับไปอยู่บนพื้นที่ของเหตุผลและการตรวจสอบ ซึ่งเป็นพื้นที่เดียวที่สามารถตอบคำถามของสาธารณะได้อย่างตรงไปตรงมาที่สุด.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
‘อนุทิน’ เซ็นคำสั่งแต่งตั้ง ข้าราชการการเมือง 1 ราย
ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๔๔๕/๒๕๖๘ เรื่อง แต่งตั้งข้าราชการการเมือง
หยิกเล็บเจ็บเนื้อ! 'ภท.-พท.' โต้เดือดพัวพัน 'เบน สมิธ'
นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า กรณีเบน สมิธ : ภูมิใจไทย-เพื่อไทย หยิกเล็บเจ็บเนื้อ
รู้จักน้อยไปจริง! กระทุ้ง 'อนุทิน' เผยตัวตนให้มากขึ้น
นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต สส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า หรือเรารู้จักท่านนายกรัฐมนตรีน้อยไปจริงๆ
หนูโต้ไม่ให้สัญชาติเบนสมิธเหตุพ้นมท.1
วงแตก! “อนุทิน” รับรู้จัก “เบน สมิธ” แต่ไม่สนิท ไม่มีธุรกิจร่วมกัน
เพื่อไทยกระอัก! 'อนุทิน' ย้อนเจ็บ มีภาพคู่ทักษิณเยอะ ไม่เห็นมีปัญหา
"อนุทิน" เหน็บ "สุริยะ-โฆษกเพื่อไทย" ไม่รู้เรื่องอะไรเพราะไม่ได้ร่วมวง การสนทนาสำหรับผมต้องระดับสูงขึ้นไป ย้อนเจ็บภาพถ่ายคู่ทักษิณก็มีตั้งเยอะ ไม่เห็นมีปัญหาอะไรเลย
โฆษกภูมิใจไทย โต้เดือด โทรโข่งเพื่อไทยแกล้งตาบอด ไม่เห็นภาพทักษิณกับเบน สมิธ
โฆษกภูมิใจไทย สวนโฆษกเพื่อไทย อย่าแกล้งตาบอด ปีนี้ใครถ่ายรูปกับ "เบน สมิธ" ยัน "อนุทิน" แค่รู้จักแต่ไม่สนิท ผลงานประจักษ์ยึดทรัพย์หมื่นล้านสแกมเมอร์รายใหญ่ บีบพ้น มท.1 เหตุไม่ให้สัญชาติใครหรือไม่ เย้ย 4 เดือนใครบริหารน้ำท่วมเหลว ขณะที่ "2 เดือน" นายกฯอนุทิน" เข้ามาแก้วิกฤติ


