ครอบครัวอินโดที่ได้รับผลกระทบจากยาแก้ไอปนเปื้อน ยื่นฟ้องรัฐบาล

ครอบครัวชาวอินโดฯหลายสิบครอบครัวที่สูญเสียญาติหรือได้รับบาดเจ็บหลังจากบริโภคยาแก้ไอที่ปนเปื้อนได้ทำการฟ้องร้องรัฐบาลและบริษัทต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการขายผลิตภัณฑ์ดังกล่าว

แฟ้มภาพ เจ้าหน้าที่ตำรวจอินโดนีเซียไปที่ร้านขายยาเพื่อตรวจสอบยาน้ำแก้ไอชนิดหนึ่ง หลังจากเด็กจำนวนมากเสียชีวิตจากอาการเจ็บป่วยที่ไตซึ่งเป็นผลมาจากสารอันตรายในยาน้ำดังกล่าว ในเมืองบันดา อาเจะห์ ประเทศอินโดนีเซีย (Photo by CHAIDEER MAHYUDDIN / AFP)

เอเอฟพีรายงาน เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2565 กล่าวว่า ครอบครัวผู้เสียหายชาวอินโดนีเซีย ยื่นฟ้องร้องต่อรัฐบาลและบริษัทที่เกี่ยวข้องในการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยาแก้ไอที่มีสารปนเปื้อน

อินโดนีเซียพบตัวเลขผู้เจ็บป่วยด้วยอาการไตวายเฉียบพลันสูงขึ้นตั้งแต่เดือนสิงหาคม โดยมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 199 คน และส่วนใหญ่เป็นเด็ก ทำให้มีการสอบสวนและสั่งห้ามขายยาน้ำบางชนิด

การฟ้องร้องครั้งนี้พุ่งเป้าไปที่กระทรวงสาธารณสุขอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นหน่วยงานด้านอาหารและยาของประเทศ และบริษัทอีก 7 แห่งที่เกี่ยวข้องกับการขายยาแก้ไอที่ปนเปื้อนสารประกอบที่ใช้ในผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม 2 ชนิด เช่น สารป้องกันการแข็งตัว

ตัวแทนทางกฎหมายของครอบครัวเหยื่อผู้เสียชีวิตและเจ็บป่วยจากการบริโภคยาดังกล่าว ให้ข้อมูลกับเอเอฟพีว่า พวกเขาดำเนินการฟ้องร้องเพราะทางการบกพร่องในการป้องกันการขายยาที่เป็นอันตราย จนเป็นเหตุแห่งการเสียชีวิตและเจ็บป่วยในเด็กตามมา จึงออกมาเรียกร้องให้ผู้จัดจำหน่ายยา, ร้านขายยา, หน่วยงานด้านอาหารและยา และกระทรวงสาธารณสุข ร่วมกันรับผิดชอบ

"ครอบครัวผู้เสียหายจะเรียกร้องค่าชดเชยประมาณ 2 พันล้านรูเปียห์ (4.5 ล้านบาท) สำหรับทุกคนที่เสียชีวิต และประมาณ 1 พันล้านรูเปียห์ (2.25 ล้านบาท) สำหรับทุกคนที่เจ็บป่วย" ตัวแทนทางกฎหมายกล่าว

คดีนี้เป็นการดำเนินการทางกฎหมายในนามของครอบครัวทั้งหมด 12 ครอบครัว และอาจมีครอบครัวอื่นๆเข้าร่วมฟ้องได้ในอนาคต

เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เปิดการสอบสวนบริษัทอย่างน้อย 3 แห่งที่มีใบอนุญาตผลิตยาน้ำแก้ไอดังกล่าวแล้ว

ทั้งนี้ประเทศในแถบแอฟริกาตะวันตก พบการเสียชีวิตของเด็ก 70 รายในเดือนตุลาคม โดยมีมูลเหตุสงสัยว่าอาจเป็นเพราะบริโภคยาน้ำแก้ไอนำเข้าที่ผลิตในประเทศอินเดีย

องค์การอนามัยโลกออกมาระบุว่า พบปริมาณสารไดเอทิลีนไกลคอลและเอทิลีนไกลคอลในน้ำเชื่อมแก้ไอ 4 ชนิดที่ผลิตในอินเดีย และเตือนว่าอาจเชื่อมโยงกับการเสียชีวิตดังกล่าว.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

กต. เร่งชี้แจงทูตอินเดีย รื้อถอนสิ่งก่อสร้างเพื่อควบคุมพื้นที่ ไม่ใช่เทวสถาน

นางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงแนวทางของกระทรวงการต่างประเทศ ต่อสถานการณ์ไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะในห้วงเวลาที่ทั้งสองฝ่ายอยู่ระหว่างการประชุม เช่น วานนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ

กองทัพแจงรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างแปลกปลอมในพื้นที่อธิปไตยไทย ไม่ใช่ศาสนสถาน

ศูนย์แถลงข่าวร่วม สถานการณ์ไทย-กัมพูชา ที่สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ตามที่มีการเผยแพร่ภาพและคลิปวิดีโอในสื่อสังคมออนไลน์เกี่ยวกับการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างซึ่งมีลักษณะคล้ายประติมากรรมทางศาสนา ในพื้นที่ใกล้แนวชายแดนไทย–กัมพูชา จนก่อให้เกิดความห่วงกังวลและการตีความที่หลากหลายในสังคมนั้น

นายกฯ ลั่นทำลายรูปปั้นสัญลักษณ์เขมร เทียบไม่ได้กับทหารไทยขาขาด มองอินเดียตำหนิ ให้เป็นเรื่องแค่ 2 ประเทศ

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชา ภายหลังมีการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปหรือ GBC ระดับเลขานุการ ระหว่างฝ่ายไทยและกัมพูชาที่ จ.จันทบุรี

'นักข่าวเทวดา' ซัดทหารไทยเมาสงคราม สื่อ-กองเชียร์สิ้นคิดทำลายรูปปั้นเทพเจ้าฮินดู จี้รัฐบาลขอโทษอินเดียด่วน

นายประวิตร โรจนพฤกษ์ นักเคลื่อนไหว และผู้สื่อข่าวประจำข่าวสดภาคภาษาอังกฤษ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า นี่ก็อาการเมาสงคราม! ถามจริง ตอนนี้เมาจนสังคมขาดสติ ไม่รู้ว่าทำอะไรไปบ้าง และสร้างความรู้สึกยี้ให้กับต่างชาติมากขึ้นเรื่อยๆ?

อินเดียดราม่า! ออกโรงตำหนิไทยรื้อถอนรูปปั้นเทพเจ้าฮินดูในพื้นที่พิพาท ทำร้ายจิตใจผู้ศรัทธาทั่วโลก

เพจ Army Military Force โพสต์ข้อความว่า อินเดียแถลงตำหนิไทย กรณีรื้อถอนรูปปั้นเทพเจ้าในพื้นที่พิพาท ชี้กระทบความรู้สึกผู้ศรัทธาทั่วโลก

ฟุตบอลหญิงไทยสะดุด พ่ายจุดโทษฟิลิปปินส์3-5 ชิงทองแดงกับอินโดฯ

วันที่ 14 ธันวาคม 2568 เวลา 18.30 น. ณ ชลบุรี สเตเดียม การแข่งขันฟุตบอลหญิง ในมหกรรมซีเกมส์ ครั้งที่ 33 รอบรองชนะเลิศ ทีมชาติไทย ลงสนามพบกับ ฟิลิปปินส์