รัฐบาลนิการากัวประกาศตัดความสัมพันธ์กับไต้หวันแล้วหันไปสถาปนาความสัมพันธ์กับจีนอย่างเป็นทางการเมื่อวันศุกร์ อเมริกาเดือดร้อนแทน เรียกร้องทุกประเทศเห็นคุณค่าประชาธิปไตยและขยายการเกี่ยวพันกับไต้หวัน

เอเอฟพีรายงานเมื่อวันศุกร์ที่ 10 ธันวาคม 2564 ว่ารัฐบาลของประธานาธิบดีดาเนียล ออร์เตกา ประกาศเมื่อวันพฤหัสบดีว่า นิการากัวจะหันมาสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีนแทน โดยเดนิส มอนกาดา รัฐมนตรีต่างประเทศกล่าวว่า สาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นรัฐบาลที่ชอบด้วยกฎหมายเพียงรัฐบาลเดียวที่เป็นตัวแทนของจีนทั้งหมด และไต้หวันเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของจีนที่ไม่สามารถแบ่งแยกได้
ลอรีอาโน ฟากุนโด ออร์เตกา มูรีโย ลูกชายของประธานาธิบดีออร์เตกา นำคณะเจ้าหน้าที่นิการากัวมาทำพิธีลงนามแถลงการณ์ร่วม เพื่อสถาปนาความสัมพันธ์กับจีน ที่เมืองเทียนจินในวันศุกร์ โดยกระทรวงการต่างประเทศของจีนกล่าวว่า การตัดสินใจของนิการากัวเป็นการเลือกที่ถูกต้อง ซึ่งเข้ากับแนวโน้มกว้างๆ และความปรารถนาของประชาชน
รัฐบาลจีนภายใต้การนำของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง กดดันไต้หวันหนักขึ้นนับแต่ไช่ อิงเหวิน ผู้ปฏิเสธจีนเดียว ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีไต้หวันเมื่อปี 2559 จีนพยายามกดดันทางการทูตเพื่อโดดเดี่ยวเกาะประชาธิปไตยแห่งนี้ ซึ่งจีนถือว่าเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของตนและไม่ปฏิเสธการใช้กำลังหากไต้หวันประกาศเอกราช
ไม่กี่ปีมานี้ จีนสามารถชักจูงให้พันธมิตรของไต้หวันเปลี่ยนข้างได้หลายประเทศ รวมถึง 3 ประเทศร่วมภูมิภาคลาตินอเมริกากับนิการากัว คือ ปานามา, เอลซัลวาดอร์ และสาธารณรัฐโดมินิกัน การตัดสินใจล่าสุดของนิการากัวทำให้เหลือประเทศที่ยังรับรองไต้หวันอย่างเป็นทางการเพียง 14 ประเทศ
อย่างไรก็ดี แม้จะสูญเสียมิตรที่คบหาอย่างเป็นทางการ แต่อีกทางไต้หวันก็กำลังกระชับความสัมพันธ์อย่างไม่เป็นทางการกับโลกตะวันตกเพิ่มมากขึ้น รวมถึงสหรัฐอเมริกา
รัฐบาลไต้หวันแสดงความ "เจ็บปวดและเสียใจอย่างสุดซึ้ง" กับการตัดสินใจของนิการากัว แต่พวกเขาก็ประกาศว่าจะเดินหน้าสร้างพันธมิตรในที่อื่นต่อไป ส่วนประธานาธิบดีไช่ไม่ใส่ใจนัก โดยบอกว่า ยิ่งไต้หวันได้รับการสนับสนุนจากนานาชาติมากเท่าไหร่ ก็จะเผชิญแรงกดดันจากค่ายเผด็จการมากขึ้นเท่านั้น
ด้านรัฐบาลสหรัฐ ซึ่งเปลี่ยนจากการรับรองไต้หวันมาสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีนเมื่อปี 2522 เรียกร้องให้ "ทุกประเทศให้ความสำคัญต่อสถาบันประชาธิปไตย" และ "ขยายการเกี่ยวพันกับไต้หวัน"
นิการากัวในสมัยของออร์เตกาเคยรับรองจีนเมื่อปี 2528 แต่ประธานาธิบดีคนต่อจากเขาเปลี่ยนไปรับรองไต้หวันในอีก 5 ปีต่อมา ผู้นำมาร์กซิสต์รายนี้เคยกล่าวไว้หลังจากกลับมาครองอำนาจอีกครั้งในปี 2550 ว่าเขาหวังจะสร้างความสัมพันธ์ทั้งกับจีนและไต้หวัน แต่จีนไม่ยอมรับแนวคิดนี้
ออสการ์ เรเน บาร์กัส นักสังคมวิทยาและนักเศรษฐศาสตร์ ให้ทัศนะว่า ออร์เตกา ซึ่งชนะการเลือกตั้งอีก 4 สมัยโดยแก้กฎหมายยกเลิกข้อจำกัดการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี กำลังเสาะหาการสนับสนุนทางการเมืองจากจีน เนื่องจากเขากำลังถูกสหรัฐกดดันและคว่ำบาตร ภายหลังชนะการเลือกตั้งเมื่อเดือนกันยายน ที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน เรียกว่าเป็นการเลือกตั้งละครใบ้
ขณะนี้ไต้หวันเหลือพันธมิตรไม่กี่ชาติในภูมิภาคลาตินอเมริกาและแคริบเบียน อาทิ เบลีซ, กัวเตมาลา, ฮอนดูรัส, ปารากวัย และเฮติ กับประเทศหมู่เกาะเล็กๆ ในแปซิฟิกอีก 4 ประเทศ, เอสวาตินีในแอฟริกา และนครรัฐวาติกัน โดยมีความเป็นไปได้ที่ฮอนดูรัสจะเปลี่ยนไปคบหาจีนแทนเช่นกัน หลังจากซีโอมารา กาสโตร ผู้นำฝ่ายซ้าย ชนะการเลือกตั้งเมื่อต้นเดือนนี้
ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา พันธมิตรของไต้หวันในโลกตะวันตก ทั้งสหรัฐและยุโรป ดำเนินการเกี่ยวพันทางการทูตอย่างไม่เป็นทางการกับไต้หวันมากขึ้น เช่นการส่งคณะผู้แทนไปเยือน รัฐบาลของไบเดนยังเชิญผู้แทนไต้หวันเข้าร่วมการประชุมสุดยอดประชาธิปไตยแบบทางไกลที่จัดขึ้นในวันพฤหัสบดีและศุกร์นี้ด้วย แทนที่จะเชิญจีน.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ขำไม่ออก! อดีต รมว.กต. โวรัฐบาลอิ๊งค์เจรจาสหรัฐ-จีน กดดันกัมพูชาเคารพข้อตกลงสันติภาพได้สำเร็จ
"มาริษ" แนะดึงจีนร่วมกดดันกัมพูชาให้เคารพข้อตกลง-รักษาสมดุลมหาอำนาจ-สื่อสารสหรัฐฯ โดยตรงไม่ผ่านคนกลาง
กระแสชื่นชม สมเด็จพระราชินี จากชาวจีนสะท้อนอะไร
ความคิดเห็นของชาวจีนจำนวนมากพูดตรง ๆ เลยว่า “งดงาม สง่างาม มีความสูงศักดิ์” และ “ดูจริงใจ ไม่ใช่การแสดง”
ไทยหวังพึ่งจีนได้หรือไม่ ในกรณีถูกสหรัฐฯกดดัน 'เอ็ดดี้' มีคำตอบ
ไทยสามารถหวังพึ่งจีนในมิติของการสนับสนุนทางการทูตและเศรษฐกิจเพื่อคานอำนาจได้ แต่ไม่สามารถคาดหวังความช่วยเหลือทางทหารโดยตรงในปัญหาชายแดนกับกัมพูชา

