ยูเครนประกาศว่ากองกำลังของตนได้รุกคืบเข้าไปในแคว้นคูสค์ของรัสเซียมากขึ้น และขณะนี้ควบคุมนิคม 74 แห่งได้แล้ว หลังจากเปิดฉากบุกข้ามพรมแดนแบบไม่ให้ตั้งตัวเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
ภาพจากวิดีโอที่เผยแพร่โดยกระทรวงกลาโหมของรัสเซียเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม แสดงให้เห็นการโจมตีด้วยโดรนของรัสเซียต่อยานเกราะของยูเครนในแคว้นคูสค์ โดยรัสเซียกำลังต่อสู้เพื่อหยุดยั้งการรุกดินแดนของกองกำลังยูเครนในพื้นที่ดังกล่าวและพื้นที่ใกล้เคียง (Photo by Russian Defence Ministry / AFP)
เอเอฟพีรายงาน เมื่อวันพุธที่ 14 สิงหาคม 2567 กล่าวว่า กองกำลังยูเครนเปิดฉากบุกดินแดนรอยต่อของรัสเซียตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว และสามารถรุกคืบโจมตีในหลายพื้นที่ สร้างภาวะคุกคามให้เกิดต่อรัฐบาลมอสโกจนต้องสั่งต้องอพยพหลายแสนคนออกจากพื้นที่เสี่ยง
มีรายงานว่า ปัจจุบันชาวรัสเซียมากกว่า 120,000 คนอพยพออกจากบ้านเรือนในพื้นที่ชายแดนของแคว้นคูสค์แล้ว
ล่าสุดยูเครนอ้างว่ากองกำลังของตนเข้าสู่แคว้นคูสค์ของรัสเซียได้มากขึ้น และยึดนิคมได้หลายสิบแห่ง ซึ่งถือเป็นการโจมตีครั้งใหญ่ที่สุดโดยกองทัพต่างชาติบนผืนแผ่นดินรัสเซียตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2
ประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี ของยูเครนกล่าวว่า "จนถึงวันนี้ กองกำลังของเราได้รุกคืบเพิ่มเติมในบางพื้นที่ไปแล้ว 1-3 กิโลเมตร, สามารถยึดดินแดนได้เพิ่มกว่า 40 ตารางกิโลเมตร และนิคม 74 แห่งของรัสเซียอยู่ภายใต้การควบคุมของเรา"
ขณะที่อเล็กเซย์ สเมียร์นอฟ ผู้ว่าการแคว้นคูสค์กล่าวว่า นิคม 28 แห่งถูกยึดไปแล้ว และกองกำลังยูเครนได้รุกล้ำเข้าไปลึกมากขึ้นราว 12 กิโลเมตร
ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐกล่าวแสดงความเห็นต่อกรณีบุกสายฟ้าแลบว่า การรุกล้ำของยูเครนทำให้ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากใจเข้าให้แล้ว
กระทรวงกลาโหมรัสเซียออกแถลงการณ์ว่า กองกำลังของตนยังคงสกัดกั้นการโจมตีของยูเครนไว้ได้ รวมทั้งหยุดยั้งปฏิบัติการของกลุ่มรถหุ้มเกราะเคลื่อนที่
ทั้งนี้ ยูเครนประกาศว่าจะไม่ยึดครองดินแดนของรัสเซียที่ยึดมาได้ และเสนอที่จะหยุดการโจมตีทันที หากรัฐบาลมอสโกยอมตกลงเจรจาสันติภาพอย่างยุติธรรม
จอร์จี ตีคี โฆษกต่างประเทศยูเครนกล่าวว่า รัฐบาลเคียฟไม่สนใจที่จะยึดครองดินแดนของรัสเซีย และปกป้องการกระทำของยูเครนว่าถูกต้องตามกฎหมายสากลอย่างแน่นอน
"ยิ่งรัสเซียยอมเจรจาสันติภาพอย่างยุติธรรมเร็วเท่าไหร่ การโจมตีของยูเครนต่อรัสเซียก็จะหยุดเร็วเท่านั้น" เขากล่าวกับผู้สื่อข่าว
การวิเคราะห์ข้อมูลของสถาบันเพื่อการศึกษาสงคราม (ISW) ของเอเอฟพีระบุว่า กองทหารยูเครนได้รุกคืบครอบคลุมพื้นที่อย่างน้อย 800 ตารางกิโลเมตรของดินแดนรัสเซีย ถือเป็นการเอาคืนที่รัสเซียยึดครองดินแดนในยูเครนตอนใต้และตะวันออก และทำให้เมืองต่างๆ ของยูเครนต้องตกอยู่ภายใต้การโจมตีด้วยขีปนาวุธและโดรนตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2565
ก่อนหน้านี้ยูเครนพบว่าตนเองมีกำลังพลและอาวุธน้อยกว่า และต้องดิ้นรนอย่างหนักหลังจากประสบความสำเร็จในช่วงแรกที่สามารถผลักดันกองกำลังรัสเซียถอยร่นกลับไปได้
แต่การรุกเข้าสู่แคว้นคูสค์ในปัจจุบันซึ่งทำให้รัสเซียไม่ทันตั้งตัว ถือเป็นการรุกข้ามพรมแดนครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ถูกรัสเซียบุกโจมตี
บริเวณรอยต่อจุดผ่านแดนที่เข้าสู่แคว้นคูสค์ถูกพบว่า ป้อมปราการคอนกรีตพังทลายลงจำนวนมากและซากอาคารรักษาความปลอดภัยและศุลกากรพังถล่มลงมา เป็นการเผยให้เห็นถึงความเข้มข้นของการสู้รบที่เกิดขึ้นในพื้นที่ดังกล่าว
มีการพบเห็นทหารรัสเซียจำนวนหนึ่งถูกทหารยูเครนจับเป็นเชลยกลับไปยังดินแดนยูเครนด้วยเช่นกัน
เจ้าหน้าที่ความมั่นคงของยูเครนบอกกับเอเอฟพีเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ยูเครนพยายามสร้างความสูญเสียให้มากที่สุด เพื่อทำให้สถานการณ์ในรัสเซียไม่มั่นคง เนื่องจากพวกเขาไม่สามารถปกป้องชายแดนของตนเองได้
เจ้าหน้าที่ยูเครนกล่าวว่าทหารยูเครนหลายพันนายเข้าร่วมในปฏิบัติการนี้
ขณะที่ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซียเรียกประชุมหน่วยงานความมั่นคงทุกฝ่ายและประกาศอย่างหนักแน่นว่าจะขับไล่ทหารยูเครนออกไปให้ได้ โดยเขากล่าวในการประชุมทางโทรทัศน์กับเจ้าหน้าที่ว่า "เป้าหมายที่ชัดเจนอย่างหนึ่งของศัตรู(ยูเครน)คือการปลูกฝังความขัดแย้ง และทำลายความสามัคคีของสังคมรัสเซีย"
ปูตินยังกล่าวอีกว่า ยูเครนต้องปรับปรุงจุดยืนของตนเอง หากหวังให้มีการเจรจากับรัสเซียเกิดขึ้นจริงในอนาคต.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
นายกรัฐมนตรีเยอรมนีทำเซอร์ไพรส์ ไปเยือนยูเครนแบบฉุกละหุก
นี่เป็นการเยือนครั้งที่สองของนายกรัฐมนตรีโอลาฟ ชอลซ์ นับตั้งแต่รัสเซียเริ่มสงครามในยูเครน และเป็นการเดินทางเยือนที่ทำให้เกิดคำถาม