โดนัลด์ ทรัมป์สั่งเปิดเผยเอกสารลับเกี่ยวกับการลอบสังหารอดีตประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดี ซึ่งเป็นคดีที่ยังคงจุดชนวนให้เกิดทฤษฎีสมคบคิดมาจนถึงปัจจุบัน นานกว่า 60 ปี

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ โชว์เอกสารคำสั่งฝ่ายบริหารที่ลงนามแล้ว ในห้องทำงานรูปไข่ของทำเนียบขาว เมื่อวันที่ 23 มกราคม (Photo by Anna Moneymaker / GETTY IMAGES NORTH AMERICA / Getty Images via AFP)
เอเอฟพีรายงาน เมื่อวันศุกร์ที่ 24 มกราคม 2568 กล่าวว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐลงนามคำสั่งเปิดเผยเอกสารลับเกี่ยวกับการลอบสังหารอดีตประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดี, โรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี และมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์
"นี่เป็นเรื่องใหญ่ใช่ไหม? หลายคนรอคอยเรื่องนี้มานานหลายปีหลายทศวรรษ หลังจากนี้ทุกอย่างจะถูกเปิดเผย" ทรัมป์กล่าวกับนักข่าวขณะลงนามในคำสั่งดังกล่าวที่ห้องทำงานรูปไข่ของทำเนียบขาว
หลังจากลงนามในคำสั่งแล้ว ทรัมป์ก็ส่งปากกาที่เขาใช้ให้กับผู้ช่วย โดยบอกว่า "ส่งให้โรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี จูเนียร์" ผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อจากประธานาธิบดีคนปัจจุบันให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์, เป็นบุตรชายของโรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐซึ่งถูกลอบสังหารในปี 1968 และเป็นหลานชายของจอห์น เอฟ. เคนเนดี อดีตประธานาธิบดีที่ถูกลอบสังหารในปี 1963
คำสั่งที่ทรัมป์ลงนามกำหนดให้มีการเปิดเผยเอกสารของจอห์น เอฟ. เคนเนดีทั้งหมด โดยไม่มีการแก้ไขหรือเรียบเรียงใดๆ ซึ่งเขาเคยยอมรับในปี 2017 และมีการเปิดเผยเอกสารส่วนใหญ่หลังจากนั้น
"ถือเป็นผลประโยชน์ของชาติที่จะต้องเปิดเผยบันทึกทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการลอบสังหารเหล่านี้ในที่สุดโดยไม่ชักช้า" คำสั่งดังกล่าวระบุ
ก่อนหน้านี้ในพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง ทรัมป์เคยสัญญาว่าจะเปิดเผยเอกสารชุดสุดท้าย ซึ่งเขาได้ทำอย่างที่ลั่นวาจาไว้ในที่สุด
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา หอจดหมายเหตุแห่งชาติของสหรัฐฯ ได้เปิดเผยเอกสารหลายหมื่นฉบับที่เกี่ยวข้องกับการลอบสังหารประธานาธิบดีเคนเนดีเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 1963 แต่ก็ปิดบังไว้หลายพันฉบับ โดยอ้างถึงความกังวลด้านความมั่นคงของชาติ
เมื่อถึงเวลาเปิดเผยเอกสารชุดใหญ่ครั้งล่าสุดในเดือนธันวาคม 2022 บันทึกของเคนเนดี 97% ซึ่งมีทั้งหมด 5 ล้านหน้าก็ได้รับการเปิดเผยต่อสาธารณะ
คณะกรรมาธิการ 'วอร์เรน" ที่สอบสวนการลอบยิงประธานาธิบดีวัย 46 ปี ระบุว่า ลี ฮาร์วีย์ ออสวอลด์ อดีตมือปืนนาวิกโยธินเป็นผู้ลงมือเพียงคนเดียว
แต่ข้อสรุปอย่างเป็นทางการดังกล่าวไม่สามารถระงับการคาดเดาที่ว่าเบื้องหลังการฆาตกรรมเคนเนดีในรัฐเท็กซัสอาจมีแผนการชั่วร้ายมากกว่านี้ และการเปิดเผยเอกสารของรัฐบาลที่ประวิงเวลามาตลอดก็ได้ทำให้ทฤษฎีสมคบคิดต่างๆ กลายเป็นเชื้อเพลิงที่ก่อไฟไหม้ลาม
ความเคลื่อนไหวของทรัมป์เป็นการสนับสนุนต่อผู้ที่มีอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่งในการเชื่อถือทฤษฎีสมคบคิดเหล่านั้น ซึ่งก็คือ โรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี จูเนียร์ นั่นเอง
ในปี 2023 โรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี จูเนียร์กล่าวว่า "มีหลักฐานที่หนักแน่นมากที่บ่งชี้ว่า CIA (ซีไอเอ) มีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมจอห์น เอฟ. เคนเนดี ผู้เป็นลุงของเขา และยังมีหลักฐานน่าเชื่อถือมากที่บ่งชี้ว่าหน่วยงานดังกล่าวยังอยู่เบื้องหลังการลอบสังหารโรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี ผู้เป็นพ่อของเขาเองในปี 1968 อีกด้วย"
อดีตอัยการสูงสุดและวุฒิสมาชิกจากพรรคเดโมแครตถูกสังหารระหว่างหาเสียงเพื่อชิงตำแหน่งประธานาธิบดี โดยฝีมือของเซอร์แฮน เซอร์แฮน ชายชาวปาเลสไตน์-จอร์แดนที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานฆาตกรรม
โรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี จูเนียร์ซึ่งเป็นนักเคลื่อนไหวต่อต้านวัคซีน ได้รับการตอบแทนให้เป็นผู้ดูแลการสนับสนุนด้านสุขภาพในคณะรัฐมนตรีของทรัมป์ เนื่องจากเขาถอนตัวจากการลงสมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีโดยอิสระและหันมาสนับสนุนพรรครีพับลิกันแทน
เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการลอบสังหารเคนเนดีหลายพันฉบับจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติได้รับการเปิดเผยในช่วงวาระแรกของทรัมป์ในตำแหน่งประธานาธิบดี แต่เขาเองก็กักเก็บเอกสารบางส่วนจากการเผยแพร่เช่นกัน ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติ
โจ ไบเดน ประธานาธิบดีในขณะนั้นกล่าวเมื่อเอกสารถูกเปิดเผยในเดือนธันวาคม 2022 ว่าเอกสารจำนวน "จำกัด" จะยังคงถูกกักไว้ตามคำขอของหน่วยงานที่จะไม่มีการระบุชื่อ โดยคำขอกักเอกสารก่อนหน้านี้มาจากซีไอเอและเอฟบีไอ
นักวิชาการด้านเคนเนดีกล่าวว่าเอกสารที่ยังคงถูกกักไว้ในหอจดหมายเหตุนั้นไม่น่าจะมีการเปิดเผยข้อมูลที่น่าตกตะลึงหรือยุติทฤษฎีสมคบคิดที่แพร่หลายเกี่ยวกับการลอบสังหารประธานาธิบดีคนที่ 35 ของสหรัฐแต่อย่างใด
ออสวอลด์ซึ่งครั้งหนึ่งเคยแปรพักตร์ไปอยู่กับสหภาพโซเวียต ถูกยิงเสียชีวิตโดยแจ็ก รูบี เพียงสองวันหลังจากที่ฆ่าเคนเนดี ขณะที่เขากำลังถูกย้ายออกจากคุกของเมือง
หนังสือและภาพยนตร์หลายร้อยเรื่อง เช่น ภาพยนตร์เรื่อง "JFK" ของโอลิเวอร์ สโตน ที่ออกฉายในปี 1991 ได้จุดชนวนให้เกิดกระแสในอุตสาหกรรมการสมคบคิด โดยกล่าวหาคู่แข่งในสงครามเย็นอย่างรัสเซียหรือคิวบา, กลุ่มมาเฟีย และแม้แต่ลินดอน จอห์นสัน รองประธานาธิบดีของเคนเนดี ว่าอยู่เบื้องหลังการลอบสังหารดังกล่าว
ในส่วนของมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ผู้นำด้านสิทธิมนุษยชนช่วงทศวรรษ 1960 ซึ่งถูกลอบสังหารในเดือนเมษายน 1968 ที่เมืองเมมฟิส รัฐเทนเนสซีนั้น ผู้ก่อเหตุคือเจมส์ เอิร์ล เรย์ ถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานฆาตกรรมและเสียชีวิตในเรือนจำในปี 1998 แต่บุตรหลานของคิงเคยแสดงความสงสัยว่าเรย์อาจไม่ใช่ผู้ลอบสังหารที่แท้จริง.