เอมมานูเอล มาครงเรียกร้องให้เวียดนามรักษาระเบียบโลกบนพื้นฐานของกฎหมาย ในการเดินทางเยือนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งเป็นภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบจากการเผชิญหน้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน

ประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศส (ขวา) และโต เลิม เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม พูดคุยกันระหว่างพิธีต้อนรับที่วิหารวรรณกรรมในกรุงฮานอย เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม (Photo by Ludovic MARIN / AFP)
เอเอฟพีรายงาน เมื่อวันจันทร์ที่ 26 พฤษภาคม 2568 กล่าวว่า ประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศสเดินทางเยือนเวียดนามอย่างเป็นทางการพร้อมภริยา เป็นจุดหมายแรกของการเริ่มต้นทัวร์ 6 วันในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
หลังจากเดินทางมาถึงกรุงฮานอยเมื่อช่วงค่ำวันอาทิตย์ มาครงได้เน้นย้ำถึงวิสัยทัศน์ร่วมกันกับเวียดนามซึ่งเป็นประเทศที่มีประชากร 100 ล้านคนและกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว
ในแถลงการณ์ร่วมกับประธานาธิบดีเลือง เกื่อง ของเวียดนาม ที่กรุงฮานอย ประธานาธิบดีมาครงกล่าวว่า ระเบียบโลกที่อิงตามกฎเป็นสิ่งจำเป็นในช่วงเวลาที่มีทั้งความไม่สมดุลครั้งใหญ่และการหวนคืนสู่การใช้ถ้อยคำที่ขับเคลื่อนด้วยอำนาจและการข่มขู่
มาครงได้เสนอให้ฝรั่งเศสเป็นทางเลือกที่เชื่อถือได้สำหรับเวียดนามซึ่งอยู่ตรงกลางระหว่างรัฐบาลวอชิงตันและรัฐบาลปักกิ่ง โดยปัจจุบันทั้งสองรัฐบาลดังกล่าวเป็นทั้งพันธมิตรทางการค้าที่สำคัญและยังมีข้อพิพาทเรื่องภาษีศุลกากร (สหรัฐฯ) และดินแดนในทะเลจีนใต้ (จีน) อีกด้วย
เวียดนามและฝรั่งเศสยังได้ลงนามข้อตกลงประมาณ 12 ฉบับ รวมถึงด้านพลังงานนิวเคลียร์ซึ่งรัฐบาลฮานอยมีความสนใจที่จะพัฒนาเพื่อตอบสนองความต้องการพลังงานที่พุ่งสูงขึ้น
นอกจากนี้ สายการบินราคาประหยัด 'เวียดเจ็ท (Vietjet)' ยังได้ประกาศสั่งซื้อเครื่องบินรุ่น 'Airbus A330-900 'จำนวน 20 ลำ โดยซื้อจากบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งนี้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในข้อตกลงมูลค่าประมาณ 8,000 ล้านดอลลาร์
"นี่เป็นบันทึกหน้าใหม่ที่กำลังเขียนขึ้นระหว่างสองประเทศอย่างแท้จริง ในความทะเยอทะยานยิ่งขึ้นเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเวียดนามและฝรั่งเศส ตลอดจนระหว่างอาเซียนและสหภาพยุโรป" มาครงกล่าว
หลังจากแสดงความเคารพต่อผู้ที่ต่อสู้กับการยึดครองอาณานิคมของฝรั่งเศสที่อนุสรณ์สถานสงครามในฮานอย มาครงได้รับประทานอาหารกลางวันกับโต เลิม เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ที่สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของเมืองหลวง นั่นคือ วิหารวรรณกรรม (Temple of Literature)
โต เลิมถือเป็นผู้นำที่ทรงอิทธิพลที่สุดในเวียดนามซึ่งเป็นรัฐพรรคเดียวที่ไม่ยอมรับความเห็นต่างและดำเนินการอย่างรวดเร็วเพื่อปราบปรามการวิพากษ์วิจารณ์ใดๆ
ก่อนที่มาครงจะเดินทางเยือนเวียดนามอย่างเป็นทางการครั้งแรก ฮิวแมนไรท์วอทช์กดดันให้เขาแสดงความกังวลเกี่ยวกับ "สถิติสิทธิมนุษยชนที่เลวร้ายลงของรัฐบาลเวียดนาม"
ฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าวว่าเวียดนามมีนักโทษการเมืองมากกว่า 170 คนที่ถูกตั้งข้อหาและถูกตัดสินว่ามีความผิดภายใต้กฎหมายเผด็จการที่ทำให้การแสดงออกอย่างเสรีและการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยอย่างสันติเป็นสิ่งผิดกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม การกล่าวโทษในที่สาธารณะจะถือเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมสำหรับประธานาธิบดีฝรั่งเศสซึ่งกล่าวบ่อยครั้งว่าเขาพอใจกับการหยิบยกประเด็นละเอียดอ่อนขึ้นมาพูดคุยกันแบบลับๆมากกว่า
มาครงหวังที่จะเสนอฝรั่งเศสให้เป็นทางเลือกที่สามท่ามกลางการคานอิทธิพลระหว่างสหรัฐและจีนในเวียดนาม
แม้รัฐบาลฮานอยมีความกังวลเช่นเดียวกับรัฐบาลวอชิงตันในประเด็นความก้าวร้าวที่เพิ่มมากขึ้นของรัฐบาลปักกิ่งในเส้นทางน้ำที่เป็นข้อพิพาท แต่เวียดนามก็ยังคงรักษาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดกับเพื่อนบ้านยักษ์ใหญ่เอเชีย
ขณะที่ด้านการค้ากับอเมริกา เวียดนามกลับถูกคุกคามด้วยการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสูงถึง 46% จากประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการโจมตีทางการค้าระดับโลก
ด้วยเหตุนี้ กลยุทธ์อินโด-แปซิฟิกของผู้นำฝรั่งเศสซึ่งเสนอทางเลือกที่สามสำหรับประเทศต่างๆ ในภูมิภาค อาจได้รับความสำคัญมากขึ้นเนื่องมาจากสงครามการค้าของทรัมป์
ที่ผ่านมา เวียดนามระมัดระวังอย่างมากในการรักษาสมดุลระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา
เวียดนามใช้แนวทางการทูตไม้ไผ่ในการแสวงหาความแข็งแกร่งผ่านความยืดหยุ่น หรือมองหาวิธีรักษาความสัมพันธ์อันดีกับมหาอำนาจของโลก
หลังจากนี้ มาครงมีกำหนดเดินทางไปยังอินโดนีเซียและสิงคโปร์ในลำดับต่อไป.


