ศาลการค้าของสหรัฐฯ ระงับคำสั่งเรียกเก็บภาษีศุลกากรของโดนัลด์ ทรัมป์

ศาลการค้าของสหรัฐฯ ระงับการบังคับใช้ภาษีศุลกากรครั้งใหญ่ของโดนัลด์ ทรัมป์ ขณะที่ทำเนียบขาวประณามการแทรกแซงและยื่นอุทธรณ์ทันที

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ (Photo by Kayla Bartkowski / GETTY IMAGES NORTH AMERICA / Getty Images via AFP)

เอเอฟพีรายงาน เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 29 พฤษภาคม 2568 กล่าวว่า ศาลการค้าของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ สั่งระงับนโยบายเรียกเก็บภาษีศุลกากรครั้งใหญ่ของโดนัลด์ ทรัมป์ ส่งผลให้ตลาดโลกปรับตัวขึ้นทันที

คำพิพากษาดังกล่าวถือเป็นอุปสรรคสำคัญต่อทรัมป์ เนื่องจากเขาพยายามจะร่างความสัมพันธ์ทางการค้าของสหรัฐฯ กับโลกใหม่โดยบังคับให้รัฐบาลต่างๆ เข้ามาเจรจากันโดยใช้ฐานภาษีศุลกากรใหม่ที่เข้มงวด

สงครามการค้าโลกของทรัมป์ทำให้ตลาดการเงินปั่นป่วนด้วยมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าซึ่งมุ่งเป้าไปที่ประเทศที่ค้าขายเกินดุลกับสหรัฐฯ

ทรัมป์โต้แย้งว่าการขาดดุลการค้าที่เกิดขึ้นและภัยคุกคามจากการไหลเข้าของยาเสพติดถือเป็น "ภาวะฉุกเฉินระดับชาติ" ที่ทำให้ต้องมีการจัดเก็บภาษีศุลกากรอย่างกว้างขวาง

แต่ศาลการค้าระหว่างประเทศซึ่งมีผู้พิพากษา 3 คนตัดสินว่าทรัมป์ใช้อำนาจเกินขอบเขต และสั่งห้ามไม่ให้มีการดำเนินการตามนโยบายที่ประกาศ

ทำเนียบขาวประณามคำตัดสินดังกล่าว โดยให้เหตุผลว่าผู้พิพากษาที่ไม่ได้รับการเลือกตั้งไม่มีสิทธิที่จะเข้ามาเกี่ยวข้องกับการจัดการปัญหาของประธานาธิบดี

คูช เดไซ โฆษกของทรัมป์กล่าวว่า "ประธานาธิบดีทรัมป์ให้คำมั่นว่าจะให้ความสำคัญกับอเมริกาเป็นอันดับแรก และรัฐบาลก็มุ่งมั่นที่จะใช้ทุกอำนาจของฝ่ายบริหารเพื่อแก้ไขวิกฤตินี้และฟื้นคืนความยิ่งใหญ่ของอเมริกา"

ทนายความของรัฐบาลทรัมป์ยื่นอุทธรณ์คำตัดสินดังกล่าวทันทีเมื่อวันพุธ

สตีเฟน มิลเลอร์ ผู้ช่วยคนสนิทของทรัมป์ในทำเนียบขาว ได้โพสต์ข้อความบนโซเชียลมีเดียประณามการรัฐประหารโดยตุลาการ ซึ่งเขากล่าวว่า "เกินการควบคุม"

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 2 เมษายน ทรัมป์ได้เปิดเผยอัตราภาษีนำเข้าครั้งใหญ่กับคู่ค้าส่วนใหญ่ โดยกำหนดอัตราพื้นฐานที่ 10% และอัตราภาษีที่สูงขึ้นแตกต่างกันไปกับหลายสิบประเทศ รวมถึงจีนและสหภาพยุโรป

คำตัดสินของศาลฯยังสั่งยกเลิกภาษีที่ทรัมป์กำหนดต่อแคนาดา, เม็กซิโก และจีน โดยใช้อำนาจฉุกเฉิน

ความวุ่นวายบางส่วนสงบลงหลังจากที่เขาหยุดการขึ้นภาษีเป็นเวลา 90 วัน และระงับการขึ้นภาษีอื่นๆ เพื่อรอการเจรจากับประเทศและกลุ่มประเทศต่างๆ

ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวสูงขึ้นในวันพฤหัสบดีหลังคำตัดสินดังกล่าว ขณะที่ตลาดฟิวเจอร์สของยุโรปและสหรัฐฯ ก็ชี้ให้เห็นถึงการปรับตัวขึ้นในช่วงเช้าเช่นกัน

เรียวเซอิ อากาซาวะ ผู้แทนการค้าญี่ปุ่นด้านภาษีศุลกากรกล่าวขณะเดินทางไปร่วมการเจรจารอบที่สี่ที่กรุงวอชิงตันว่า รัฐบาลโตเกียวซึ่งกำลังได้รับผลกระทบจากภาษีรถยนต์ จะศึกษาคำตัดสินดังกล่าวของศาลสหรัฐฯ

ศาลการค้าของรัฐบาลกลางได้ตัดสินคดีแยกกันสองคดีซึ่งยื่นฟ้องโดยองค์กรธุรกิจและรัฐบาลท้องถิ่น โดยให้เหตุผลว่าประธานาธิบดีได้ละเมิดอำนาจของรัฐสภาในการควบคุมการคลัง

คณะผู้พิพากษาสามคนเขียนไว้ในคำชี้แจงที่ไม่ได้ลงนามว่า "คำถามในคดีทั้งสองคดีที่อยู่ต่อหน้าศาลก็คือ บัญญัติอำนาจทางเศรษฐกิจฉุกเฉินระหว่างประเทศปี 1977 (IEEPA) ได้มอบสิทธิ์ขาดให้แก่ประธานาธิบดีในรูปแบบของอำนาจในการกำหนดภาษีศุลกากรที่ไม่จำกัดกับสินค้าจากเกือบทุกประเทศในโลกหรือไม่"

"ศาลพิจารณาบัญญัติฯแล้วไม่พบว่ามีการระบุให้ประธานาธิบดีมีอำนาจที่ไม่จำกัดดังกล่าว จึงออกคำสั่งยกเลิกภาษีศุลกากรที่ถูกโต้แย้งภายใต้กฎหมายฯ"

ศาลซึ่งพิจารณาคดีแพ่งที่เกิดจากข้อพิพาททางการค้ากล่าวว่าการตีความตามบัญญัติฯที่ว่า "มอบอำนาจในการกำหนดภาษีศุลกากรที่ไม่จำกัด" นั้น ขัดต่อรัฐธรรมนูญ

คณะผู้พิพากษาระบุว่า บัญญัติฯ ดังกล่าวอนุญาตให้ประธานาธิบดีใช้มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจที่จำเป็นในช่วงสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อต่อสู้กับภัยคุกคามที่ไม่ปกติและไม่ธรรมดาเพียงเท่านั้น

จากนี้ทำเนียบขาวมีเวลา 10 วันในการดำเนินการตามขั้นตอนบริหารเพื่อหยุดการขึ้นภาษีเหล่านั้น

เกรกอรี ดับเบิลยู มีกส์ สมาชิกพรรคเดโมแครตระดับสูงในคณะกรรมาธิการต่างประเทศของสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่าคำตัดสินดังกล่าวได้ยืนยันว่าการขึ้นภาษีเหล่านี้เป็นการใช้อำนาจฝ่ายบริหารในทางมิชอบด้วยกฎหมาย

"การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินระดับชาติของทรัมป์เพื่อแก้ต่างให้กับสงครามการค้าโลก เป็นการใช้อำนาจพิเศษอย่างไร้เหตุผลและผิดกฎหมาย" เขากล่าว

การที่กระทรวงยุติธรรมได้ปกป้องกลยุทธ์การค้าของทรัมป์ในศาล โดยยืนกรานว่าฝ่ายตุลาการมีอำนาจจำกัดและไม่เหนือไปกว่าอำนาจบริหารของประธานาธิบดี ได้จุดชนวนให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ว่าทำเนียบขาวกำลังพยายามแย่งชิงอำนาจจากฝ่ายอื่น ๆ ของรัฐบาล

ทรัมป์อ้างว่าชาวอเมริกันจะได้รับประโยชน์จากท่าทีทางการค้าของเขา โดยชี้ให้เห็นถึงความสำเร็จในช่วงแรกจากการทำข้อตกลงกับอังกฤษและจีนซึ่งเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลก

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เตือนว่าต้นทุนของภาษีศุลกากรอาจถูกส่งต่อไปยังผู้บริโภคในสหรัฐฯ, ส่งผลให้เงินเฟ้อสูงขึ้น และอาจทำให้ธนาคารกลางของสหรัฐฯ คงอัตราดอกเบี้ยไว้นานขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินต่อไป.

เพิ่มเพื่อน