ผู้นำ G7 เรียกร้องให้มีการลดความตึงเครียดในตะวันออกกลาง โดยเริ่มจากความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน ขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯออกจากการประชุมกระทันหัน

อริยาบถของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ในระหว่างการประชุมสุดยอดกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 7 ประเทศ (G7) ที่เมืองคานานาสกิส รัฐอัลเบอร์ตา ประเทศแคนาดา เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน (Photo by Michael Kappeler / POOL / AFP)
เอเอฟพีรายงาน เมื่อวันอังคารที่ 17 มิถุนายน 2568 กล่าวว่า การประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มจี 7 (G7) ที่เมืองคานานาสกิสในเทือกเขาร็อกกี้ของประเทศแคนาดาดำเนินเข้าสู่วันสุดท้ายแล้ว โดยหารือประเด็นการค้าโลกและความขัดแย้งในตะวันออกกลางเป็นหลัก ขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐได้รับการจับตาเป็นพิเศษเมื่อเขาออกจากที่ประชุมกลางคันและเดินทางกลับ
ทรัมป์ได้ออกจากการประชุมเร็วกว่ากำหนดหนึ่งวัน ท่ามกลางสถานการณ์ที่พันธมิตรอย่างอิสราเอลกำลังโจมตีอิหร่าน
หลังจากแถลงการณ์สนับสนุนการทูตตลอดทั้งวัน ทรัมป์ได้ใช้โซเชียลมีเดียส่งคำเตือนไปยังประชาชนในเมืองหลวงของอิหร่าน ซึ่งมีจำนวนเกือบ 10 ล้านคน โดยเขาเขียนบนแพลตฟอร์ม Truth Social ว่า "ทุกคนควรอพยพออกจากเตหะรานทันที!"
ก่อนหน้านี้ ทรัมป์ลังเลที่จะสนับสนุนแถลงการณ์ร่วมเกี่ยวกับวิกฤตการณ์ดังกล่าว แต่กลับเปลี่ยนใจระหว่างรับประทานอาหารค่ำที่ลอดจ์ในป่าใต้ภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะในเมืองคานานาสกิส
แถลงการณ์ร่วมที่แคนาดาเผยแพร่ระบุว่า "เราเรียกร้องให้การแก้ไขวิกฤตการณ์อิหร่านนำไปสู่การลดระดับการสู้รบในตะวันออกกลางลง รวมถึงการหยุดยิงในฉนวนกาซา"
แถลงการณ์ดังกล่าวระบุว่าอิสราเอลมีสิทธิที่จะปกป้องตัวเอง และเน้นย้ำถึงความสำคัญของการปกป้องพลเรือน เนื่องจากการโจมตีที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ได้คร่าชีวิตพลเรือนทั้งสองฝ่าย
ผู้นำของกลุ่มประชาธิปไตยภาคอุตสาหกรรม ได้แก่ อังกฤษ, แคนาดา, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, อิตาลี, ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา ระบุว่าอิหร่านไม่สามารถครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ได้
ทรัมป์กล่าวเป็นเวลาหลายสัปดาห์แล้วว่าเขาสนับสนุนการเจรจาและสตีฟ วิทคอฟฟ์ ผู้แทนของเขาได้พบกับผู้แทนอิหร่านถึง 5 ครั้ง แต่เขากลับสนับสนุนการโจมตีของอิสราเอลทันทีทันใด พร้อมเร่งเร้าให้รัฐบาลเตหะรานตกลงตามเงื่อนไขของเขา
ในการถ่ายภาพหมู่ร่วมกับผู้นำ G7 ก่อนรับประทานอาหารค่ำ ทรัมป์กล่าวว่า "ผมอาจต้องกลับโดยเร็วที่สุด ผมหวังว่าจะอยู่ต่อได้จนถึงพรุ่งนี้ แต่พวกเขาก็เข้าใจดีว่านี่เป็นเรื่องใหญ่"
ประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศสกล่าวว่า สหรัฐฯ พร้อมที่จะแสดงท่าทีทางการทูต และหากสหรัฐฯ สามารถบรรลุข้อตกลงหยุดยิงได้ ถือเป็นเรื่องที่ดีมาก
ไม่นานหลังออกจากการประชุมก่อนกำหนด ทรัมป์ตำหนิผู้นำฝรั่งเศสว่าให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับเหตุผลในการออกจากเวทีประชุมก่อนกำหนดของเขา
"ประธานาธิบดีมาครงได้กล่าวอย่างผิดพลาดว่า ผมออกจากการประชุมสุดยอด G7 ในแคนาดาและกลับไปที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อทำงานเกี่ยวกับการหยุดยิงระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน" ทรัมป์เขียนบน Truth Social
"การกล่าวแบบนั้นผิดอย่างสิ้นเชิง เขาไม่มีทางรู้เลยว่าทำไมตอนนี้ผมถึงกำลังมุ่งหน้าไปวอชิงตัน แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้อตกลงหยุดยิงเลย มันใหญ่กว่านั้นมาก ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม เอมมานูเอลก็มักจะทำผิดเสมอ คอยติดตามกันไว้!" ทรัมป์ระบุ
ก่อนที่จะมีการประกาศการตัดสินใจออกจากแคนาดาก่อนกำหนด ทรัมป์บอกกับผู้สื่อข่าวว่า "ทันทีที่ผมออกจากที่นี่ เราก็จะทำอะไรบางอย่าง"
เขาปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่าที่จะบอกว่าสหรัฐฯ จะเข้าร่วมปฏิบัติการทางทหารกับอิสราเอลหรือไม่ แม้เคยออกตัวว่ารัฐบาลวอชิงตันไม่ได้มีส่วนร่วมในการโจมตีครั้งแรกและทำเนียบขาวก็กล่าวว่ากองกำลังสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในโหมดป้องกันตัว
ทรัมป์เคยกล่าวไว้ว่า อิหร่านจะโง่เขลา หากไม่ตกลงตามข้อตกลงที่เจรจากันไว้
ประธานาธิบดีสหรัฐจะพลาดการประชุม G7 ในวันสุดท้าย ซึ่งคาดว่าจะเป็นวาระการหารือร่วมกับผู้นำของยูเครนและเม็กซิโก
ทั้งนี้ การประชุมสุดยอดที่แคนาดาเกิดขึ้นหลังจากความวุ่นวายบนเวทีโลกหลายเดือนนับตั้งแต่ทรัมป์กลับเข้ารับตำแหน่ง
ทรัมป์พยายามที่จะทำลายล้างระเบียบเศรษฐกิจโลกที่นำโดยสหรัฐฯ มานานหลายสิบปี โดยให้คำมั่นว่าจะเก็บภาษีศุลกากรทั้งต่อมิตรและศัตรู แม้ได้เลื่อนการบังคับใช้ออกไปจนถึงวันที่ 9 กรกฎาคมก็ตาม
แต่ทรัมป์ก็แสดงความหวังดีต่อข้อตกลงกับแคนาดา และลงนามเอกสารร่วมกับนายกรัฐมนตรีเคียร์ สตาร์เมอร์ เพื่อยืนยันข้อตกลงกับอังกฤษ
ก่อนหน้านี้ ทรัมป์เคยล้อเลียนแคนาดาเจ้าภาพ โดยระบุว่าเพื่อนบ้านที่กว้างใหญ่แต่มีประชากรน้อยกว่าแห่งนี้ควรเป็นรัฐที่ 51 ของสหรัฐฯ
แต่ทรัมป์ดูเหมือนจะให้ความเคารพแคนาดามากขึ้นนับตั้งแต่มาร์ก คาร์นีย์ อดีตผู้ว่าการธนาคารกลางที่เคร่งขรึม เข้ารับตำแหน่งต่อจากจัสติน ทรูโด เมื่อเดือนมีนาคม.