เขตพัฒนาพิเศษ-การลงทุนกับผู้คน ท้องถิ่นและการพัฒนาที่ยั่งยืน

เมื่อส่องดูความเคลื่อนไหวในการพัฒนาพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซี ที่เป็นอภิมหาโปรเจ็กต์ของประเทศ มุ่งปรับตัวพัฒนาอุตสาหกรรมจากยุคอีสเทิร์นซีบอร์ดต่อยอดสร้างความก้าวหน้าใหม่อยู่อย่างมีนัยสำคัญกับเศรษฐกิจสังคมวันนี้นั้น มีข้อพิจารณาเกี่ยวกับการทำงานและยกระดับท้องถิ่นในพื้นที่พิเศษหลายประการ โดยเฉพาะประเด็นการทำงานที่เกี่ยวข้องกับผู้คน-สังคมท้องถิ่นในพื้นที่ระยอง ชลบุรี ฉะเชิงเทรา!

การเปลี่ยนแปลงของท้องถิ่น 3 จังหวัดเกิดขึ้นเป็นระยะๆ เริ่มแต่ปี 2516 ตามแผนพัฒนาประเทศที่มุ่งเปลี่ยนภาคเกษตรกรรมสู่ภาคอุตสาหกรรมที่สภาพเศรษฐกิจสังคม 3 จังหวัดและภาคตะวันออกช่วงปี 2519 ถึง 2521 เคยเป็นเมืองเกษตร-ผลไม้-ประมง-ค้าขาย-ท่องเที่ยว ที่ช่วงเวลานั้นกำลังขยายตัวสู่เศรษฐกิจเกษตรกรรมพืชเชิงเดี่ยว และตั้งแต่ปี 2524 ก็ถูกปรับสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมตามนโยบายรัฐ โดยเฉพาะระยองและชลบุรี

การปรับเปลี่ยนทางเศรษฐกิจสังคมที่เกิดขึ้น สร้างผลกระทบทางสังคม-เศรษฐกิจ-ทรัพยากรท้องถิ่นขึ้นมากมายอย่างไม่เคยมีมาก่อนในท้องถิ่น! เศรษฐกิจ-สังคมท้องถิ่นถูกรุกไล่-เบียดขับเป็นสังคมชายขอบ ฐานทรัพยากรชุมชนท้องถิ่นที่หล่อเลี้ยงผู้คนทุกกลุ่มในชุมชน กลุ่มเล็กกลุ่มน้อย-เกษตรกรรายย่อย-ประมงเรือเล็กในพื้นที่ถูกเบียดขับปิดกั้นจากแหล่งทำกินเดิม พื้นที่หลายแห่งก่อรูปขึ้นเป็นโรงงานอุตสาหกรรม-ปรับโครงสร้างขยายถนน-สร้างท่าเรือน้ำลึก โรงงาน-ศูนย์ธุรกิจการค้า-ชุมชนบ้านจัดสรรผุดขึ้นทั่ว ขยายชุมชนเปลี่ยนเป็นเมืองเล็ก-ใหญ่แทนชุมชนแบบเดิมตลอดแนวชายฝั่ง!

ความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นก่อปัญหา-ความขัดแย้งขึ้นมากมาย ลุกลามข้ามหมู่บ้าน-ตำบล-จังหวัดจนรับรู้ไปทั่วประเทศ! ความขัดแย้งเริ่มตั้งแต่ปีที่เตรียมการโครงการอีสเทิร์นซีบอร์ดต่อเนื่องตลอดมา จากปี 2512 เกิดกรณีการเวนคืนที่ดินโครงการสร้างอ่างเก็บน้ำมาบประชัน ปี 2527 มีการเผชิญหน้ากันของเจ้าหน้าที่รัฐกับเกษตรกรกรณีปัญหามลภาวะจากการทำเกษตรเชิงเดี่ยว ปี 2530 หมู่บ้านประมงแหลมฉบังดื้อแพ่งจากการที่ถูกการท่าเรือไล่ที่ ปี 2532 เกิดความขัดแย้งมีการจับกุมผู้บุกรุกพื้นที่ในเขตแควระบบสียัต ปี 2534 นิคมอุตสาหกรรมมีน้ำไม่พอใช้ ปี 2535 เกิดความขัดแย้งกรณีระเบิดหินอุตสาหกรรมโม่หินบนเกาะสีชัง-และการรุกที่สาธารณะ ปี 2537 และปี 2538 เกิดความโกลาหลขัดแย้งแตกแยกกันหลายกรณี อาทิ ประเด็นเรื่องน้ำมันรั่วลงทะเลบริเวณชายหาดระยอง ผู้คนต่อต้านที่ตั้งโรงงานกากอุตสาหกรรมและที่ฝังกลบ หาดพัทยาน้ำเน่าเกินขีดความสามารถในการบำบัด มลพิษจากนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดสร้างผลกระทบชุมชน ปี 2540 และมีการต่อต้านแนวคิดถมทะเลเป็นวงกว้าง ฯลฯ กรณีความขัดแย้งโกลาหลที่ยกขึ้นมากล่าวนี้ ยังมีอีกหลากหลายกรณีที่เกิดขึ้นในท้องถิ่น! ล้วนเป็นผลรวมจากการขาดการบริหารจัดการที่ดีพอ-ขาดการสร้างการมีส่วนร่วม-ขาดการสร้างความเข้าใจ-จนถึงการขัดแย้งกันของการลงทุนในพื้นที่ ฯลฯ

ปัญหาดังกล่าวเหล่านี้เกิดจากวิธีคิด-แนวปฏิบัติจากการดำเนินโครงการที่ขาดการมีส่วนร่วมของชุมชน เป็นการทำงานแบบสั่งการจากบนลงล่าง สรุปภาพจากการใช้อำนาจของหน่วยงาน-ผู้บริหารองค์กร-และอำนาจรัฐดูถูกดูแคลนคนท้องถิ่น-สังคมท้องถิ่น มองว่าตัวเองเหนือกว่า! เป็นลักษณะการทำงานที่ไม่เปิดพื้นที่การมีส่วนร่วม ทั้งที่ผู้คน-ชุมชนและท้องถิ่นนั้นเป็นพื้นแผ่นดินแห่งชีวิต เป็นถิ่นกำเนิดและพักพิงของชีวิตที่เกิด และบางคนก็ฝังตัวอยู่กับวิถีชีวิตและชุมชนที่นั่นไปจนตาย!

ความขัดแย้งที่เกิดจากการทำงานที่มองไม่เห็นหัวชุมชน-เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ยึดประโยชน์ผลงานเป็นที่ตั้ง ยัดเหยียดโครงการที่ทึกทักเข้าใจเองว่าดีกว่า-เหนือกว่าคนท้องถิ่น ฯลฯ การทำงานเยี่ยงนี้ล้วนเป็นความน่ารังเกียจที่จุดชนวนความขัดแย้ง-สร้างความรุนแรงขึ้นอย่างปฏิเสธไม่ได้ กรณีการพัฒนาโครงการอุตสาหกรรมมาบตาพุดกลายเป็นความขัดแย้งแบบตำนานยาวนานขึ้นนั้น เกิดจากการนำโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ยัดลงไปในพื้นที่อย่างขาดการมีส่วนร่วมและการจัดการที่ดี ทำให้ความขัดแย้งนั้นกลายเป็นมหากาพย์ในความทรงจำของผู้คนและบ้านเมืองยาวนานหลายทศวรรษ! ส่งผลให้สังคมขาดความเชื่อถือไว้วางใจรัฐ และการดำเนินโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ของรัฐ จนมักเกิดกรณีการต่อต้านขยายตัวไปทั่วประเทศ ที่ผู้คนท้องถิ่นและสังคมโดยรวมเข้าร่วมต่อต้านหลายกรณี อาทิ อภิมหาโครงการบ่อบำบัดน้ำเสียที่สมุทรปราการที่ต้องปิดโครงการไป-รัฐสูญเปล่านับหมื่นล้าน หรือการที่ผู้คนภาคใต้ที่ต่อต้านโครงการของรัฐหลายโครงการ ล้วนเกิดจากการคิดจากบนลงล่าง-ไม่เคารพรับฟังท้องถิ่น-ไม่เปิดพื้นที่สร้างความเข้าใจและการมีส่วนร่วมทั้งสิ้น!

ถ้าพิจารณากรณีญี่ปุ่นที่ดำเนินโครงการขนาดใหญ่สร้างบ้านแปงเมืองโยโกฮามา โครงการมินาโตะ มิราอิ มุ่งเปลี่ยนเมืองล้าหลัง-หลับใหล-เป็นเหมือนเมืองร้างจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ตั้งแต่ปี 2497 เมืองที่ไม่มีเศรษฐกิจของตัวเอง-ต้องพึ่งโตเกียวเป็นหลัก! โดยผู้นำ-ผู้บริหารท้องถิ่นโยโกฮามากับรัฐบาลจับมือขับเคลื่อนโครงการมินาโตะ มิราอิ เปลี่ยนโยโกฮามาเป็นมหานครน่าอยู่ เป็นแหล่งท่องเที่ยว-เมืองการค้า-วัฒนธรรม เริ่มจากการสร้างความเข้าใจกับผู้คนในสังคมชุมชนท้องถิ่นจนเข้าใจร่วมกัน และปั้นสร้างเศรษฐกิจโยโกฮามาขึ้นด้วยการลงทุนจากภายนอก มีการจัดวางพื้นที่แบบมีส่วนร่วมใช้เวลากว่า 10 ปี กำหนดสร้างแลนด์มาร์กขึ้นในปี 2536 และขยายตัวต่อเนื่องปรับสร้างพื้นที่เขตโกดังแดงยุคก่อนสงครามเปลี่ยนเป็นพื้นที่การค้าใหม่ปี 2542 เปิดรับการท่องเที่ยวเมื่อปี 2549 โดยเขตอยู่อาศัยมีการพัฒนาสิ่งแวดล้อมแบบกรีนโยโกฮามา มีการจัดระบบระเบียบเมืองใหม่รับการเปลี่ยนแปลงให้เกิดการพัฒนาแบบยั่งยืน ปัจจุบันโยโกฮามาเป็นเมืองเศรษฐกิจท่องเที่ยวสำคัญรับนักท่องเที่ยวปีละ 90 ล้านคน มีผู้อยู่อาศัยราว 4 ล้านคน มีระบบระเบียบจัดการความปลอดภัย-สิ่งแวดล้อมสีเขียว สร้างการพัฒนาที่ยั่งยืนจากการเคารพคนท้องถิ่น-มีส่วนร่วม เกิดเศรษฐกิจที่มั่งคั่ง-ยั่งยืน-ปลอดภัย-สิ่งแวดล้อมดี-คุณภาพชีวิตดีมาจนทุกวันนี้!

อย่าลืมว่าคนท้องถิ่นมีศักยภาพไม่แพ้คนนอกท้องถิ่นหรือคนในหน่วยงานที่รับผิดชอบ ที่เข้ามาทำงานกับสังคมท้องถิ่น! การพัฒนาที่ยั่งยืนจะเกิดได้จากการมีส่วนร่วม-มีความรู้สึกร่วมเป็นเจ้าของในการสร้างความเจริญในชุมชนของพวกเขา ไม่มีใครต้องการทุนที่มุ่งกอบโกยใช้ช่องว่างของการลงทุนโดยไม่เห็นหัวคนในท้องถิ่น เชื่อเหอะ!!!.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

“มิจฉาธรรม .. ในอสัตบุรุษที่น่ากลัวยิ่ง”

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา สงกรานต์ร้อนที่เข้าสู่จุลศักราช ๑๓๘๖ เถลิงศกตรงกับ ๑๖ เมษายน ๒๕๖๗ นับว่าร้อนแล้ง ตรงกับคำพยากรณ์ที่พร้อมเกิดพายุร้อนได้ในทุกพื้นที่ เป็นการแสดงสภาวะผันผวนที่เนื่องมาจากวิกฤตร้อนของโลก (Climate Change) ที่หลายฝ่ายเฝ้าสังเกตการณ์ด้วยความเป็นห่วงว่า มนุษยชาติจะผ่านวิกฤตโลกร้อนไปได้หรือไม่..

สู่.. โครงการพระคืนสู่ป่า น้อมถวายเป็นพระราชกุศลฯ

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา ในห้วงเวลาที่อากาศร้อนจัด จนเข้าสู่วิกฤตการณ์ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคอีสานของประเทศ

สู่.. โครงการพระคืนสู่ป่า.. ครั้งที่ ๑/๒๕๖๗!!

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. ในภาวะที่เข้าสู่วิกฤตการณ์โลกร้อน.. ด้วยภาวะการเปลี่ยนแปลงแบบผิดเพี้ยนไปจากธรรมชาติปกติ (Climate Change) อันเป็นผลจากการกระทำของมนุษยชาติ ทั้งในทางตรงและทางอ้อม จึงได้ถือโอกาสคิดทำโครงการนำพระคืนสู่ป่า.. เพื่อศึกษาวงจรธรรมชาติของชีวิตที่เนื่องกับสิ่งแวดล้อม อันประกอบด้วยสรรพสิ่งต่างๆ ที่เกาะเกี่ยวเนื่องกันอย่างมีความสมดุล (Nature Cycle in Balance)

ลัทธิผีบุญ .. ภัยร้ายต่อพระศาสนา!!

เจริญพรสาธุชนผู้มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. ปัญหาของพุทธศาสนาในปัจจุบันที่ยังเจริญเติบโตมาจนถึงทุกวันนี้ คือ การยึดถือคำสอนที่ผิดเพี้ยนไปจากพระสัทธรรมดั้งเดิม...

คุณค่าแท้–คุณค่าเทียม ที่ชาวพุทธควรคำนึง..!!

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. คำว่า “วิกฤตศรัทธา” เริ่มมีการพูดถึงกันมากในห้วงเวลานี้ ด้วยเหตุปัจจัยในเรื่องนั้น ที่นำไปสู่ความสั่นคลอนในความเชื่อมั่น ที่เคยอบรมสั่งสมมานานในสิ่งนั้นๆ เรื่องนั้นๆ บุคคลนั้นๆ.. ซึ่งนับเป็นเรื่องปกติของวิถีชีวิตสัตว์ทั้งหลายที่พยายามหาที่ยึดเหนี่ยวทางจิตวิญญาณ

บูชาพระโอวาทปาติโมกข์ .. ณ เวฬุวันมหาวิหาร ปี พ.ศ.๒๕๖๗

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. กลับมาจาก งานมาฆบูชาโลก ที่เวฬุวันมหาวิหาร พระนครราชคฤห์ แคว้นมคธ พร้อมกับติดเชื้อเป็นของแถม ด้วยมีไวรัสแพร่ระบาดในหมู่คณะที่มีทั้งพระสงฆ์และฆราวาสติดตามไปร่วมร้อยชีวิต