‘สังคมสูงวัย’ คนไทยเข้าใจอย่างไร ?

“ไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยตั้งแต่ปี พ.ศ.2548 จากสถานการณ์โครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนไปส่งผลเกิดผลกระทบทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม และปัญหาจะมีความท้าทายมากยิ่งขึ้นในอนาคต  ดังนั้น สังคมไทยควรตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงและทำความเข้าใจความเป็นสังคมสูงวัย รวมทั้งทุกภาคส่วนควรเตรียมการรองรับปัญหาโครงสร้างประชากรใหม่ร่วมกัน”

ไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 คือ มีสัดส่วนของผู้มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ร้อยละ 10 ของประชากรทั้งหมดสำนักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือที่คนส่วนใหญ่เรียกกันว่า “สภาพัฒน์” ได้จัดทำการคาดประมาณประชากรของประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง โดยคาดประมาณฯ ล่าสุดสำหรับ พ.ศ. 2553-2583 (ฉบับปรับปรุง) พบว่าประชากรรวมจะยังคงเพิ่มขึ้นอยู่ถึง พ.ศ. 2571 มีจำนวนสูงสุดที่ 67,187,640 คน จากนั้นจำนวนประชากรรวมจะเริ่มลดลง โดยกลุ่มวัยแรงงานเริ่มลดลงตั้งแต่ พ.ศ. 2560 ในขณะที่สัดส่วนประชากรวัยเด็กและผู้สูงอายุมีสัดส่วนเท่ากันใน พ.ศ. 2562 ที่ร้อยละ 17.00 หลังจากนั้นเริ่มมีทิศทางตรงกันข้าม คือวัยเด็กจะมีสัดส่วนลดลง ในขณะที่วัยสูงอายุมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น จากประมาณการประชากร พ.ศ. 2580 แสดงให้เห็นว่า ผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 29.9 ขณะที่วัยเด็กจะมีสัดส่วนเหลือร้อยละ 13.4 ในช่วงที่ผ่านมา ประเด็นการพัฒนาประชากรได้ถูกหยิบยกขึ้นมาหารือในหลายๆ เวทีสาธารณะถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ทั้งความสามารถของวัยแรงงานที่จะให้วัยอื่นพึ่งพิงได้ลดลง การขาดแคลนแรงงานสำหรับภาคเศรษฐกิจ เศรษฐกิจถดถอย ความล้มเหลวทางการคลังที่ต้องจัดสวัสดิการโดยไม่มีความสามารถในการหารายได้เพิ่มขึ้น และอื่นๆ

ภาครัฐมีบทบาทหลักในการใช้ทรัพยากรเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาคน กระทรวงต่างๆ ได้ดำเนินการตามภารกิจ แต่มักถูกกล่าวถึงจุดอ่อนคือขาดการบูรณาการในระดับหน่วยงานภายใต้กระทรวงเดียวกัน และระหว่างกระทรวง เพื่อแก้ปัญหาในปัจจุบันที่มีความซับซ้อน และเป็นปัญหาที่ต้องแก้ร่วมกันระหว่างหน่วยงานแล้ว ยังมีองค์กรที่เป็นกลไกของรัฐที่จัดตั้งขึ้นเพื่อให้เป็นคานงัดให้เกิดการเปลี่ยนแปลง โดยหวังผลการพัฒนาเฉพาะด้าน อาทิ การพัฒนาระบบเพื่อเชื่อมโยงโลกการศึกษากับโลกการทำงานที่หวังผลให้การพัฒนาคนมีทิศทางสอดคล้องกับการผลิต การบริหารและจัดการความรู้ พัฒนาต่อยอดองค์ความรู้ที่สมบูรณ์ หลากหลาย นำไปสู่การสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อให้ประชาชนสามารถนำไปยกระดับคุณภาพชีวิต การพัฒนาอุตสาหกรรมเฉพาะด้านที่มีศักยภาพของประเทศ  การพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อนำความสามารถอันเหนือชั้นด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่การพัฒนาประเทศ อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมา การขับเคลื่อนผ่านกลไกดังกล่าว ยังไม่อาจสร้างผลลัพธ์ที่ส่งผลกระทบให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อการพัฒนาประเทศอย่างเป็นรูปธรรมได้มากนัก

แผนพัฒนาประชากรเพื่อการพัฒนาประเทศระยะยาว(พ.ศ. 2565-2580) จัดทำโดยสภาพัฒน์ ได้พิจารณาปัจจัยต่างๆ เพื่อประกอบแนวทางการพัฒนาประชากรที่มุ่งเสริมสร้างความมั่นคงทางประชากรทุกช่วงชีวิต อาทิ คุณลักษณะของประชากรแต่ละเจเนอเรชัน เทคโนโลยีสมัยใหม่ที่เข้ามาแทนที่แรงงาน ความสะดวกในการเคลื่อนย้ายประชากรระหว่างประเทศ พร้อมเสนอแนวทางการพัฒนาประชากรเพื่อการพัฒนาประเทศระยะยาวที่ครอบคลุมการเพิ่มประชากรและระบบดูแลที่มีคุณภาพ การพัฒนายกระดับผลิตภาพประชากร การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการดำรงชีวิตอย่างมีคุณภาพกับทุกกลุ่มวัย การเพิ่มความมั่นคงทางการเงิน  และการบริหารจัดการด้านการย้ายถิ่น สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ คือ การพัฒนาคนไทยให้เป็นคนดี คนเก่งขึ้น เพื่อทำให้คนแต่ละช่วงวัยสามารถพึ่งพาตนเองได้ และมีค่านิยมที่เอื้อเฟื้อ ดูแลคนในช่วงวัยอื่นๆ เศรษฐกิจของประเทศขึ้นกับการผลิตสินค้าและบริการที่มีราคาสูงพอที่จะดูแลประชากรให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี การให้บริการของภาครัฐที่รวดเร็ว ไม่เป็นต้นทุนต่อการใช้ชีวิตและการทำธุรกิจ

ความท้าทายประเด็นการพัฒนาประชากร คือ การขับเคลื่อนให้เป็นรูปธรรม ภาครัฐที่รับผิดชอบในการขับเคลื่อนโดยมีงบประมาณสนับสนุน ควรมีการกลั่นกรองร่วมกันของผู้มีบทบาทรับผิดชอบในแต่ละมิติของการพัฒนา ประเมินผลดี ผลเสีย ผลกระทบ รวมถึงความเร่งด่วน รุนแรง การทำงานต้องมีเป้าหมาย แผนงานที่ชัดเจน มุ่งสู่ผลลัพธ์เดียวกัน เพื่อให้การจัดสรรทรัพยากรในการขับเคลื่อนถูกใช้อย่างถูกต้องและเกิดผลกระทบที่ดีในอนาคต ภาคเอกชนต้องมีความเข้าใจถึงผลกระทบที่เกิดจากโครงสร้างประชากรและร่วมยกระดับขับเคลื่อนภาคเศรษฐกิจให้สร้างรายได้เพิ่มขึ้น โดยมีเป้าหมายร่วมกันคือคุณภาพชีวิตที่ดีของสังคมไทย สุดท้ายคือประชาชนเองต้องตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นซึ่งกระทบประชากรทุกช่วงวัย และพัฒนาตัวเองให้มีความรู้เท่าทันทั้งด้านสุขภาพ การบริหารจัดการการเงิน และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศซึ่งเป็นประตูไปสู่ความรู้ด้านต่างๆ ที่ใกล้ตัวที่สุด เพื่อให้สามารถพึ่งตนเองได้ และรวมพลังกันเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นได้เช่นกัน ความท้าทายที่สำคัญที่สุด คือ สังคมไทยควรต้องเข้าใจความเป็นสังคมสูงวัยมากขึ้น เพื่อกระตุ้นให้เกิดความร่วมมือกันในการผลักดันความเปลี่ยนแปลงในการรองรับโครงสร้างประชากรใหม่อย่างทันท่วงทีและยั่งยืน

คอลัมน์เวทีพิจารณ์นโยบายสาธารณะ

จินางค์กูร โรจนนันต์

อดีตรองเลขาธิการ สศช.

กลุ่มนโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล

[email protected]

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เรื่องดีดี มิติใหม่การเมือง แก้ไข พรบ.ล้มละลาย ฟื้นฟูหนี้บุคคลธรรมดา

วันที่เขียนต้นฉบับตรงกับวันที่ 14 กันยายน 2568  หลังวันเกิดนายก อนุทิน ชาญวีรกุล หนึ่งวัน เริ่มนับเป็นเรื่องดีดี เรื่องแรก ขอให้ท่านนายกสามารถบริหารคณะรัฐมนตรี นำความเจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืน ความผาสุกสู่ประชาชนอย่างเท่าเทียมตลอดอายุรัฐบาลที่มีเวลา 4 เดือนก่อนยุบสภา  นายกรัฐมนตรีได้แถลงต่อสื่อมวลชน

ประเทศไทย…ต้องไปต่อ (อย่างไร?)

วันนี้ขออนุญาตที่จะไม่กล่าวถึงประเด็นปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ สงครามและภาษีการค้าแต่ขอเชิญชวนผู้อ่านทุกท่านในฐานะพลเมืองไทยได้ร่วมคิดวิเคราะห์กันว่าในภาพรวมนั้น ประเทศของเรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไรและต้องไปต่อกันด้วยแนวทางใดภายใต้บริบทของระบบสังคมและความเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน

บัญชีวัด: โอกาสและความท้าทายระหว่างทางสู่ความโปร่งใส

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2565 ดิฉันเคยเขียนบทความเรื่อง "จัดระเบียบการเงินวัด เริ่มต้นด้วยการทำบัญชีให้ถูกต้อง" เพื่อชี้ให้เห็นว่าการทำบัญชีวัดไม่ใช่เพียงเรื่องของตัวเลขบนกระดาษ แต่คือเครื่องมือสำคัญในการเสริมสร้างความศรัทธา ความโปร่งใส และธรรมาภิบาลให้แก่องค์กรทางศาสนาที่มีบทบาทอย่างสูงในสังคมไทย บทความดังกล่าวได้รับความสนใจอย่างมาก ทั้งจากฝ่ายสงฆ์ ภาคประชาชน และผู้เกี่ยวข้องในภาครัฐ

‘สมศักดิ์’ เปิดเวทีสุโขทัย ชู 4 ยุทธศาสตร์ ‘อยู่ดี มีสุข’ รับมือสังคมสูงวัย ลดผู้ป่วยติดเตียง

รมว.สธ. “สมศักดิ์ เทพสุทิน” เปิดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ภาคเหนือตอนล่าง หนุนพลังชุมชนเข้มแข็ง รับมือสังคมสูงวัย ด้วย 4 ยุทธศาสตร์ “ร่วมปฏิบัติการ-พัฒนานโยบาย-เรียนรู้-สร้างพื้นที่กลาง” ลั่นเดินหน้าลดผู้ป่วยติดเตียง เน้นกินดี-ออกกำลังกาย เพื่อสุขภาพแข็งแรง ไม่เป็นภาระลูกหลาน