
กฎหมายที่เขียนโดยใช้ถ้อยคำที่คลุมเครือเลยทำให้ศาลรธน.ใช้ดุลยพินิจที่ค่อนข้างกว้าง และเมื่อไม่ได้กำหนดหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนก็ทำให้เกิดปัญหา และกระบวนการพิจารณาคดีของศาลรธน.ที่อาจทำให้คู่พิพาทไม่มีโอกาสเต็มที่ในการเสนอพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ รวมถึงวิธีการทำคำวินิจฉัยกลางที่ตุลาการศาลรธน.ใช้วิธีการโหวต ที่ทำแบบค่อนข้างเร่งรีบ เลยทำให้คำวินิจฉัยยังขาดการเรียบเรียงที่ทำให้คนสามารถเข้าใจเหตุและผลในคำวินิจฉัยของศาลรธน.ได้
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 29 ส.ค.2568 ที่ผ่านมา ที่ให้ "นส.แพทองธาร ชินวัตร"พ้นจากการเป็นนายกรัฐมนตรีและรมว.วัฒนธรรม จากปมคลิปเสียงฮุน เซน ได้ส่งผลให้เกิดแรงกระเพื่อมทางการเมืองอย่างรุนแรงตามมา เพราะไม่เพียงทำให้ นส.แพทองธาร หลุดจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรีแต่อาจกำลังทำให้การเมืองพลิกขั้วก็ได้ หากพรรคภูมิใจไทยจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จ อย่างไรก็ตาม คำวินิจฉัยดังกล่าว ที่ทำให้ นส.แพทองธาร พ้นจากการเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมากเห็นว่า อดีตนายกรัฐมนตรีแพทองธาร มีพฤติการณ์ฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมฯตามคำร้องของสมาชิกวุฒิสภา ก็มีหลายประเด็นให้พูดถึงอย่างมาก
“ไทยโพสต์” สัมภาษณ์พิเศษ "รศ.ดร.มุนินทร์ พงศาปาน อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ -อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นักวิชาการ-นักกฎหมายที่ติดตาม-ตรวจสอบการวินิจฉัยคดีของศาลรธน.มาตลอด" เพื่อมาขยายความ-เจาะลึกคำวินิจฉัยดังกล่าวของศาลรธน.ว่ามีประเด็นอะไรที่น่าสนใจในเชิงนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์
"รศ.ดร.มุนินทร์"ให้ความเห็นถึงภาพรวมของคำวินิจฉัยของศาลรธน.ในคดีนี้ว่าคำวินิจฉัยของศาลรธน.คดี นส.แพทองธาร อดีตนายกรัฐมนตรี มีสองประเด็นสำคัญที่ควรต้องกล่าวถึง
ประเด็นแรก มองว่า การที่ศาลรธน.มีอำนาจค่อนข้างกว้างขวางในการวินิจฉัยการกระทำที่เป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดํารงตําแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินและหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระพ.ศ. 2561 ยังคงเป็นสิ่งที่น่ากังวลต่อระบบรัฐสภาในระบอบประชาธิปไตย
เพราะปัญหาการเมือง ควรต้องแก้ไขในระบบรัฐสภา โดยตัวแทนประชาชน ที่ทำผ่านกระบวนการอภิปรายของสมาชิกรัฐสภาที่เป็นตัวแทนประชาชนเช่นการอภิปรายไม่ไว้วางใจฯ จนไปถึงทางออกสุดท้าย ที่ทำโดยประชาชนคือการให้ประชาชนใช้สิทธิ์เลือกตั้ง อันเป็นกลไกปกติของประเทศในระบอบประชาธิปไตย ที่เวลาเจอปัญหาการเมืองใหญ่ๆ กลไกปกติเหล่านี้ก็จะทำงาน แต่ของไทยเรากลไกปกติเหล่านี้ไม่ค่อยได้ทำงาน จนทำให้ฝ่ายที่เข้ามาแก้ปัญหาการเมืองกลายเป็น"ศาลรัฐธรรมนูญ"ผ่านคำวินิจฉัยเช่นการยุบพรรคการเมือง -การตัดสิทธิทางการเมือง ที่ก็เป็นกลไกที่รธน.วางไว้ แต่หากเราใช้กลไกลักษณะของศาลรธน.บ่อยๆคือให้ศาลรธน.ตัดสินใจและแก้ปัญหาทางการเมือง จะทำให้กลไกปกติของระบบการเมืองและรัฐสภาจะไม่ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
ประเด็นที่สอง มองว่าเหตุผลที่ทำให้กลไกทางกฎหมายโดยเฉพาะ"ศาลรธน."ถูกใช้บ่อยมาก ก็เพราะนักการเมืองไทยไม่ค่อยมีสำนึกทางการเมือง คือขาดความรับผิดชอบและจิตสำนึกทางการเมือง คือยังมองเรื่องการแย่งชิงอำนาจทางการเมืองเป็นเป้าหมายหลัก โดยไม่ได้คิดถึงประโยชน์ของส่วนรวม ประเทศไทยเราไม่ค่อยมีวัฒนธรรมการเมืองที่แสดงความรับผิดชอบ จะเห็นได้ว่า เวลามีการกระทำเรื่องผิดพลาดทางการเมือง นักการเมืองบ้านเราจะไม่ค่อยแสดงความรับผิดชอบ อย่างมากที่สุดหากโดนกดดันมากๆ ก็แค่ออกมาขอโทษ
"กรณีคลิปเสียงของคุณแพทองธาร ถือว่าเป็นการดำเนินการทางการเมืองที่ไม่เหมาะสม ที่กระทบกับความรู้สึกของคนในสังคมจำนวนมาก และมีผลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งค่อนข้างมาก โดยหากนำมาตรฐานและวัฒนธรรมทางการเมืองของประเทศที่เป็นประชาธิปไตย ถ้าเกิดเหตุลักษณะดังกล่าว นายกรัฐมนตรี ต้องลาออกจากตำแหน่ง แต่พอคุณแพทองธาร ไม่ลาออก คนที่ไม่พอใจ ก็ต้องหาวิธีการอย่างอื่นในการจัดการ”
...หลายกรณีที่่ผ่านมาในสังคมไทย นักการเมืองไม่มีความรู้สึกว่าต้องรับผิดชอบอะไรทางการเมือง ขอเพียงแค่อยู่ในตำแหน่งให้นานที่สุด คนก็เลยต้องพึ่งพากลไกทางกฎหมาย แล้วรัฐธรรมนูญของประเทศไทยมีกลไกเหล่านี้อยู่ก็ใช้กลไกเหล่านี้เป็นที่พึ่ง
ดังนั้น หากพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ ก็ตัวนักการเมืองนั่นเองที่ทำให้คนต้องไปพึ่งกลไกที่คนอาจมองว่าไม่ค่อยเป็นประชาธิปไตย ไม่เหมือนประเทศอื่นๆ กลไกที่คนมองว่าอาจส่งผลเสียต่อระบบรัฐสภา จะไปโทษกลไกทั้งหมดทางกฎหมายคงไม่ได้ ก็ต้องโทษนักการเมืองไทยด้วย วัฒนธรรมการเมืองไทยเหมือนกับไปเตะฟุตบอลเข้าทางศาลหรือกลไกเหล่านี้เอง ทั้งที่นายกฯมีทางเลือกหลายทางหลังเกิดกรณีคลิปเสียงเช่น ลาออกหรือยุบสภาฯ ที่เป็นกลไกปกติที่มีอยู่แล้วแต่นักการเมืองไม่ค่อยเลือกใช้ อยากอยู่ในตำแหน่งแบบทู่ซี้กันไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้สึกว่าต้องแสดงความรับผิดชอบทางการเมือง"
..ทัศนะของผมต่อคำวินิจฉัยคดีดังกล่าวที่แบ่งเป็นสองส่วน ตามที่กล่าวข้างต้นคือ ในส่วนของศาลรธน. ผมรู้สึกกังวลต่อการใช้อำนาจตีความกฎหมายที่เขียนไว้ค่อนข้างคลุมเครือ ที่ตั้งใจเขียนไว้ให้คลุมเครือเพื่อให้ศาลรธน.มีอำนาจกำหนดความหมายและการกระทำที่เป็นเรื่องของการฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมฯอย่างร้ายแรง และการไม่ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ซึ่งไม่เป็นผลดีแน่ๆ กับระบอบประชาธิปไตยในภาพรวมระยะยาว และเป็นเพราะพฤติกรรมและวัฒนธรรมของนักการเมืองไทย จึงทำให้คนรู้สึกว่าต้องพึ่งกลไกเหล่านี้อยู่ ทั้งที่รู้ว่าอาจไม่เป็นประชาธิปไตย
"รศ.ดร.มุนินทร์"กล่าวต่อไปว่า สิ่งที่พบสำหรับปัญหาของศาลรธน.ยังเป็นเรื่องที่เคยพบในเคสอื่นๆก่อนหน้านี้
...เช่นอย่างแรกอาจเป็นที่ตัวกฎหมายเอง คือในรัฐธรรมนูญมาตรา 160(4) และ (5) (เรื่องคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของบุคคลที่จะเป็นรัฐมนตรี) เป็นการเขียนโดยกรรมการร่างรธน.2560 ที่บัญญัติเป็นครั้งแรกในการให้ศาลรธน.เข้ามาวินิจฉัยเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และการฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมฯ โดยให้ศาลธน.มีอำนาจไต่สวนและปลดนายกรัฐมนตรีออกจากตำแหน่งได้ จากเคสของนายเศรษฐา ทวีสินและนส.แพทองธาร ชินวัตร ซึ่งถ้อยคำความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์กับต้องไม่ฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมฯ ดังกล่าวในมาตรา 160 ของรธน.เป็นถ้อยคำที่ค่อนข้างคลุมเครือ มีขอบเขตที่ไม่ชัดเจน
...จริงๆ แล้วไม่ใช่ศาลจะใช้ความคลุมเครือดังกล่าว เพื่อตีความการกระทำได้อย่างกว้างขวาง คือศาลรธน.สามารถเลือกที่จะตีความให้มันกว้างขวางอย่างที่ตัวถ้อยคำมันให้ เพราะถ้อยคำเขียนแบบกว้างๆให้ศาลรธน.ตีความ หรือศาลรธน.จะมีอีกแนวหนึ่งก็คือตีความให้แคบ หรือกำหนดหลักเกณฑ์ให้ชัดเจนว่าในการพิจารณาเรื่องซื่อสัตย์สุจริตฯ กับการฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ศาลใช้หลักเกณฑ์อะไรที่เป็นรูปธรรม ไม่ใช่นามธรรม แต่ให้มีความเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน ศาลรธน.สามารถวางหลักเกณฑ์อย่างชัดเจนลงไปได้
...แต่หากเราเห็นคดีนส.แพทองธารฯ จะพบว่ายังไม่เห็นการกำหนดเงื่อนไขหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนในการพิจารณาปรับใช้ตัวกฎหมาย ศาลรธน.อาจมีการอ้างเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตต่างๆ แต่สุดท้าย ศาลรธน.ก็บอกว่า อดีตนายกฯแพทองธาร ไม่ได้มีการกระทำที่ไม่ซื่อสัตย์สุจริตฯตาม 160 (4) โดยศาลมีการให้เหตุผลประกอบ ที่มีการอธิบายความหมายหลักเกณฑ์ต่างๆ แต่พอไปพิจารณากรณีฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมฯ พบว่าคำวินิจฉัยของศาลรธน.ลงไปดูเรื่องพฤติกรรมของนายกฯที่ต้องรักษาเกียรติศักดิ์ของความเป็นนายกรัฐมนตรีทั้งเวลางานและเวลาส่วนตัว โดยศาลรธน.มีการอธิบายว่าการที่ไม่รักษาเกียรติศักดิ์ ความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่จำเป็นต้องเป็นความเสียหายในเชิงรูปธรรมก็ได้ ไม่ต้องเป็นเรื่องการบาดเจ็บล้มตายของประชาชนหรือทรัพย์สินเสียหาย แต่ว่าเป็นเรื่องของความเชื่อมั่นที่หากคนในสังคมไม่เชื่อมั่นต่อนายกฯ ก็เป็นความเสียหายแล้ว
..หากแปลความก็คือ ศาลรธน.ก็ดูว่าคนรู้สึกอย่างไร คนไม่เชื่อมั่นแล้ว จึงเป็นการสร้างความเสียหายในความเห็นของศาลรธน. ซึ่งตรงนี้วัดยากเพราะเป็นเรื่องความรู้สึก พอเป็นเรื่องความรู้สึกทางการเมือง จะมีความเห็นที่แตกต่างหลากหลาย เพราะประชาชนมีความเห็นที่แตกต่างทางการเมืองกันอยู่แล้ว ตรงนี้ยังขาดความชัดเจนในการให้ความหมายหรือคำนิยาม ของการกระทำจึงยังเป็นเรื่องค้างคาใจอยู่ว่า มันควรเป็นการกระทำแบบใดบ้างในการที่ต้องดำรงตนให้มีเกียรติศักดิ์ รักษาเกียรติภูมิของความเป็นนายกฯ จึงเป็นการสร้างความไม่แน่นอนในการทำหน้าที่
..และผมยังคิดว่าศาลรธน.ยังใช้เกณฑ์ของผู้พิพากษาค่อนข้างเยอะ หากสังเกตุจะเห็นได้ว่าศาลรธน.ใช้หลักคิด ของการดำรงตนของผู้พิพากษามาปรับใช้กับนายกฯด้วย เพราะผู้พิพากษาต้องแสดงให้เห็นว่าทำหน้าที่อย่างยุติธรรม ให้คนไม่สงสัยว่าตัวเองทำหน้าที่ไม่ยุติธรรม ศาลรธน.ก็ใช้หลักคิดคล้าย ๆกันในการอธิบายในการทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี ซึ่งผมคิดว่ามันอาจมีปัญหา เพราะศาลรธน.หรือองค์กรอิสระ เช่น คณะกรรมการ ป.ป.ช.ที่จะทำหน้าที่คล้ายกันคือ ใช้อำนาจแบบกึ่งตุลาการ แต่พอเป็นฝ่ายบริหารโดยธรรมชาติของการทำงานจะเป็นอีกแบบหนึ่ง จะไม่เหมือนกับตุลาการที่ทำหน้าที่ตัดสินคดี เพราะฉะนั้นมาตรฐานจริยธรรมของตุลาการศาลรธน.-องค์กรอิสระฯ มันอาจไม่สอดคล้องกับมาตรฐานจริยธรรมของนักการเมืองหรือรัฐมนตรี ที่อาจจะมีวิธีคิดอีกแบบหนึ่ง ตรงนี้เลยยังทำให้เกิดความไม่ชัดเจนมากนัก ทำให้การปรับใช้กฎหมาย ตามรธน.มาตรา 160(4) และ (5) เลยยังมีคำถามและข้อสงสัยเยอะ จากความเป็น"นามธรรม"ของถ้อยคำในบทบัญญัติ ที่ก็คือ ตัวกฎหมายมีปัญหา การปรับใช้เลยก่อให้เกิดคำถาม เพราะถ้อยคำความหมายค่อนข้างกว้าง

ยังไม่เห็นพยานหลักฐาน ที่มีน้ำหนักมากเพียงพอ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องนามธรรม
"รศ.ดร.มุนินทร์"กล่าวอีกว่านอกจากนี้ กระบวนการวิธีพิจารณาคดีของศาลรธน.ตามมาตรา 27 ตามพรบ.ระเบียบวิธีพิจารณาคดีศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561ค่อนข้างให้อำนาจศาลรธน.มากเกิน เพราะให้ศาลรธน.ใช้อำนาจไต่สวนและให้ใช้ดุลยพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานตามที่เห็นสมควร ซึ่งเรื่องนี้อาจทำให้สิทธิในกระบวนการยุติธรรมของคู่พิพาท(ผู้ร้อง-ผู้ถูกร้อง) อาจถูกจำกัดไปโดยไม่รู้ตัวด้วยระบบไต่สวน กับการที่ศาลรธน.บอกว่า รับฟังพยานหลักฐานแค่นี้เพียงพอแล้ว หรือจะรับฟังอย่างไร ก็แล้วแต่ศาลรธน.เห็นสมควร ซึ่งบางทีพอใช้ระบบไต่สวนแบบนี้มากๆ ก็จะทำให้บุคคลที่เป็นผู้ถูกกล่าวหา(ผู้ถูกร้อง) ไม่ได้รับสิทธิในการต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ที่อาจทำให้ผลคำวินิจฉัยอาจเกิดปัญหาขึ้นมาได้ว่าเกิดจากการรับฟังพยานหลักฐานที่เป็นธรรมหรือไม่
..ก่อนศาลรธน.มีคำวินิจฉัย ผมก็คิดว่านอกจากคลิปเสียง จะมีพยานหลักฐานอื่นหรือไม่ที่แสดงให้เห็นถึงการกระทำที่เชื่อมโยง แสดงให้เห็นว่ามีการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ตอบแทน หรือมีการช่วยเหลืออะไรที่เป็นรูปธรรม กับทางกัมพูชาหรือไม่ แต่จากการอ่านคำวินิจฉัยเมื่อวันศุกร์ที่ 29 สิงหาคมที่ผ่านมา ยังไม่เห็นพยานหลักฐานอะไร อาจต้องรอคำวินิจฉัยฉบับเต็ม แต่ที่เห็นคือยังไม่มีพยานหลักฐานอะไรที่มีน้ำหนักมากเพียงพอ ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของนามธรรมที่ศาลรธน.หยิบยกและเรื่องความรู้สึกของคนในสังคมที่แสดงออกมา ซึ่งเป็นเรื่องที่ทุกคนก็รู้ว่าคนในสังคมไม่พอใจ เพียงแต่ว่าความรู้สึกพอใจ ไม่พอใจทางการเมือง มันวัดออกมายาก และเป็นเรื่องทางการเมือง เรื่องความชอบ ไม่ชอบต่างๆ ที่ปกติต้องใช้การแก้ปัญหาทางการเมืองด้วยความรับผิดชอบทางการเมือง จึงยังไม่เห็นพยานหลักฐานอะไรที่ชัดเจนเป็นรูปธรรม
"รศ.ดร.มุนินทร์"ให้ความเห็นต่อไปว่า หากเปรียบเทียบการให้เหตุผลของศาลรธน.ในสองวงเล็บคือ (4) และ(5)ของมาตรา 160 จะเห็นได้ว่ามีส่วนที่ขัดแย้งกันเองอยู่เหมือนกัน เพราะในส่วนของ (4) ศาลรธน.บอกว่าไม่มีปัญหาเรื่องความไม่ซื่อสัตย์สุจริตฯ โดยบอกว่าไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายอะไร เพราะนายกฯต้องการระงับข้อพิพาทต่างๆ ไม่ได้มีการปลดแม่ทัพภาคที่ 2 แต่พอไปเรื่องการฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรม ตาม(5) กลับมีการหยิบกเรื่องความเสียหายแต่เป็นความเสียหายที่มีผลต่อความเชื่อมั่น เกียรติศักดิ์-เกียรติภูมิ เลยกลายเป็นว่ามีการขัดกันอยู่ ตรงนี้ก็เป็นปัญหาในเรื่อง"กระบวนการพิจารณาคดี"ของศาลรธน.อยู่เหมือนกัน เพราะด้วยความที่เป็นกระบวนการที่มีระยะเวลาสั้นเลยมีข้อจำกัดในการรับฟังพยานหลักฐานอย่างรอบด้าน
..นอกจากนี้ ด้วยการที่ศาลรธน.ใช้วิธีการตัดสินคำร้องด้วยวิธีการให้ตุลาการศาลรธน.โหวต โดยศาลมีเวลาน้อยมาก ซึ่งหากนับจากวันที่ให้ทั้งผู้ร้องและผู้ถูกร้องยื่นเอกสารแถลงการณ์ปิดคดี(25 ส.ค.) มาถึงวันที่อ่านคำวินิจฉัย 29 ส.ค. เท่ากับศาลรธน.มีเวลาแค่สี่วัน ในการพิจารณาพยานหลักฐานทั้งหมด แล้วมาประชุมโหวตตัดสินในช่วงเช้าวันที่ 29 ส.ค. ซึ่งวิธีการทำคำวินิจฉัยกลางที่นำมาอ่าน ก็เกิดจากการนำความเห็นหรือคำวินิจฉัยส่วนตนที่ตุลาการศาลรธน.แต่ละคนเตรียมร่างเอาไว้ เอามาปะติดประต่อกัน เลยทำให้คำวินิจฉัยกลางที่นำมาอ่าน พบว่าการเรียบเรียงมีบางส่วนในคำวินิจฉัยที่ไม่สอดคล้องกัน ซึ่งพอเตรียมไม่ดีแล้วนำมาอ่านโดยมีคนทั้งประเทศติดตามฟัง ก็จะไม่เข้าใจ เกิดข้อสงสัย-คำถามตามมามากมาย ซึ่งจะเกิดขึ้นค่อนข้างบ่อยเพราะศาลรธน.มีเวลาในการเตรียมทำคำวินิจฉัยกลางมาอ่านค่อนข้างมีเวลาน้อย อันนี้เป็นปัญหาในระบบของศาลรธน.
ทั้งหมดคือปัญหาหลักๆที่ผมสังเกตุ ก็คือเรื่องของกฎหมายที่เขียนโดยใช้ถ้อยคำที่คลุมเครือเลยทำให้ศาลรธน.ใช้ดุลยพินิจที่ค่อนข้างกว้าง และเมื่อไม่ได้กำหนดหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนก็ทำให้เกิดปัญหา และกระบวนการพิจารณาคดีของศาลรธน.ที่อาจทำให้คู่พิพาทไม่มีโอกาสเต็มที่ในการเสนอพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ รวมถึงวิธีการทำคำวินิจฉัยกลางที่ตุลาการศาลรธน.ใช้วิธีการโหวต ที่ทำแบบค่อนข้างเร่งรีบ เลยทำให้คำวินิจฉัยยังขาดการเรียบเรียงที่ทำให้คนสามารถเข้าใจเหตุและผลในคำวินิจฉัยของศาลรธน.ได้

เมื่อถามว่า เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยและมติของศาลรธน.ในคดีอดีตนายกฯแพทองธาร หรือไม่ "รศ.ดร.มุนินทร์ -อาจารย์คณะนิติศาสตร์-มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์"กล่าวตอบว่า เรื่องนี้ต้องแยกเป็นสองส่วน ในส่วนที่หนึ่งคือ ไม่เห็นด้วยกับการให้ศาลรธน.มีอำนาจในการตัดสิทธินักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งและยุบพรรคการเมือง คิดว่าศาลรธน.ควรมีแค่อำนาจในการตรวจสอบกฎหมาย ทั้งพระราชบัญญัติและพระราชกำหนดว่าขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ คิดว่าควรมีอำนาจเช่นนี้เหมือนกับศาลรธน.ประเทศอื่น แต่ผมเห็นว่าระบบในการควบคุมนักการเมืองควรจะมีและควรมีองค์กรในการเข้ามาจัดการแต่ไม่ควรจะเขียนไว้ในรธน.แต่ควรไปอยู่ในพระราชบัญญัติ โดยให้มีองค์กรที่ทำหน้าที่คล้ายศาลรธน.ในการพิจารณาเรื่องจริยธรรม แต่เรื่องบทลงโทษก็ไปพิจารณากันอีกทีว่าควรมีโทษอย่างไรบ้าง แต่คิดว่าบทลงโทษมีได้หลายระดับ เหมือนกับบทลงโทษทางวินัยของข้าราชการประจำที่มีตั้งแต่ตักเตือนไปจนถึงไล่ออกจากราชการ
... เช่นเดียวกันโทษของนักการเมือง ควรมีได้หลายระดับ ที่แตกต่างหลากหลายไป โดยกำหนดให้ชัดเจนในพรบ.ซึ่งอาจให้แยกส่วนกันระหว่างรัฐมนตรี-ส.ส. -สว.อย่างชัดเจนตามลักษณะงานของตัวเอง ไม่ควรไปใช้มาตรฐานจริยธรรมฯอย่างที่ใช้อยู่ในปัจจุบันซึ่งผู้ที่ยกร่างขึ้นมาในช่วงนั้นก็คือตุลาการศาลรธน.และประธานองค์กรอิสระต่างๆ ตามรธน. ซึ่งในช่วงยกร่างฯ ที่มีการรับฟังความคิดเห็นจากฝ่ายนิติบัญญัติ ที่ช่วงดังกล่าวเป็นช่วงที่ฝ่ายนิติบัญญัติคือสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ยุคคสช. ที่ไม่ได้เป็นตัวแทนประชาชนแบบส.ส.-สว. ตรงนี้เห็นว่าควรต้องทำแยกออกมา ไม่ใช่ให้อยู่ในมือศาลรธน.ทั้งหมด ระบบที่เป็นอยู่ ผมจึงไม่เห็นด้วยเพราะไม่ถูกต้องในหลักการ
ประเด็นที่สอง คือผมมองว่า อดีตนายกรัฐมนตรี(นส.แพทองธาร ชินวัตร)ต้องรับผิดชอบกับคลิปเสียงที่ออกมา โดยเป็นความรับผิดชอบทางการเมืองที่ต้องลาออกตั้งแต่หลังมีคลิปเสียงออกมา หรือไม่ก็ยุบสภาฯตั้งแต่แรก ไม่ควรดื้อและปล่อยให้บานปลายมาถึงขณะนี้ ที่ได้เห็นแล้วว่ากำลังเกิดความไม่แน่นอนทางการเมืองว่าส.ส.พรรคการเมืองต่างๆ ก็มีการต่อรองกันเพื่อขอให้ได้อยู่ในอำนาจต่อไป
... เพราะนักการเมืองมีลักษณะแบบนี้ คือไม่ได้มีความรู้สึกว่าต้องรับผิดชอบกับประชาชนและสังคม คิดกันแต่เรื่องของอำนาจในการบริหารแต่ไม่ได้คิดกันว่าจะจัดระบบกันอย่างไร โดยไม่ต้องไปกลัวองค์กรอิสระมากแต่เป็นระบบที่วางขึ้นมาเพื่อให้ประชาชนเชื่อมั่นได้ว่านักการเมืองจะมีความรับผิดชอบทางการเมืองอย่างแท้จริง ซึ่งผมเชื่อว่าหากนักการเมืองมีความจริงจังในการสร้างระบบขึ้นมาตรวจสอบนักการเมืองและมีการเปลี่ยนวัฒนธรรมการเมืองใหม่ คนจะรู้สึกว่าระบบที่เป็นอยู่มันเวิร์ค ไม่จำเป็นต้องไปพึ่งศาลรธน. -องค์กรอิสระ แต่นักการเมืองไทยไม่มีวัฒนธรรม-ไม่มีความคิดแบบนี้เลย คนก็เลยรู้สึกว่าไม่มีที่พึ่ง เลยต้องไปพึ่งศาลรธน. -องค์กรอิสระอยู่ร่ำไป
ตรงนี้ก็เป็นปัญหาของนักการเมือง ผมคิดว่าปัญหาที่เกิดขึ้นปัจจุบัน เกิดจากทั้งกลไกทางกฎหมายที่อาจไม่สอดคล้องกับหลักประชาธิปไตยครึ่งหนึ่งและปัญหาจากกนักการเมืองอืกครึ่งหนึ่ง สองส่วนนี้มันสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันอยู่
การเมืองถึงทางตัน รักษาการนายกฯยุบสภาฯได้หรือไม่?
เมื่อถามปิดท้ายถึงอำนาจในการยุบสภาฯว่านายกรัฐมนตรีรักษาการสามารถยุบสภาฯได้หรือไม่"รศ.ดร.มุนินทร์-อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์"ให้ความเห็นว่า ประเด็นดังกล่าวมีข้อโต้แย้งกันมากในหมู่นักกฎหมาย โดยมีทั้งความเห็นว่านายกรัฐมนตรีรักษาการ มีอำนาจยุบสภาฯได้ เพราะว่านายกฯรักษาการทำหน้าที่เหมือนกับนายกรัฐมนตรีได้ทุกอย่างตามพรบ.ระเบียบบริหาราชการแผ่นดินฯ และการให้นายกฯรักษาการยุบสภาฯได้ ก็เป็นการตีความที่สอดคล้องกับหลักประชาธิปไตย เช่นหากการเมืองถึงทางตัน นายกรัฐมนตรีรักษาการยุบสภาฯ เพื่อให้ประชาชนตัดสิน แนวทางดังกล่าวจึงน่าจะสอดคล้องกับหลักประชาธิปไตย
... กับอีกแนวทางหนึ่ง คือมองว่า อำนาจนายกรัฐมนตรีรักษาการไปผูกไว้กับพรบ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดินฯ แต่เรื่องยุบสภาฯ เป็นเรื่องทางรัฐธรรมนูญที่เป็นเรื่องสำคัญมาก ที่ควรต้องให้นายกรัฐมนตรีตัวจริงเท่านั้นเป็นผู้ยุบสภาฯ
"ประเด็นนี้ผมเห็นว่าทั้งสองฝั่ง ก็มีเหตุผลที่มีน้ำหนักทั้งสองความเห็น แต่ก็เชื่อว่าสุดท้าย ไม่ว่าจะไปทางไหน สุดท้ายก็อาจจบที่ศาลรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะหากนายกฯรักษาการยุบสภา ก็จะมีคนไม่เห็นด้วย ก็จะไปยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ศาลวินิจฉัย ที่ก็ต้องรอฟังว่าศาลรัฐธรรมนูญจะว่าอย่างไร ก็จะมีความไม่แน่นอนเกิดขึ้นอีก"
-หากก่อนยุบสภาฯ ถ้าครม.มีมติให้ส่งประเด็นอำนาจการยุบสภาฯ ตัวนายกรัฐมนตรีรักษาการทำได้หรือไม่โดยยื่นเป็นคำร้องส่งไปให้ศาลรธน.วินิจฉัย ทางศาลก็อาจไม่รับคำร้องไว้เพราะยังไม่มีการยุบสภาฯเกิดขึ้น?
ใช่ หากเกิดนายกรัฐมนตรีรักษาการ คุณภูมิธรรม เวชยชัย เกิดยุบสภาฯ ก็อาจมีคนไปร้องต่อศาลรธน. ทางศาลก็อาจออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวก่อนไม่ให้มีการดำเนินการใดๆ ที่จะเกิดขึ้นหลังยุบสภาฯ ให้รอไว้ก่อนจนกระทั่งศาลรธน.วินิจฉัยเสร็จก่อนว่ารักษาการนายกฯยุบสภาฯได้หรือไม่ สุดท้ายก็ต้องไปที่ศาลรธน.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เอาแล้ว! นักวิชาการหนุนพรรคประชาชน ยก 2 เหตุผล จี้ ‘เท้ง’ ไขก๊อกพ้นหัวหน้าพรรค
“ไชยันต์ รัชชกูล” อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา ซึ่งแสดงตัวเป็นผู้สนับสนุนพรรค
กกต. เคาะ 8 ก.พ.69 วันเลือกตั้ง สส. พร้อมเปิดไทม์ไลน์กำหนดการ
กกต. เห็นชอบร่างแผนการจัดการเลือกตั้ง หย่อนบัตรอาทิตย์ที่ 8 ก.พ.69 รับสมัคร 27-31 ธ.ค.นี้
🛑LIVE ชำแหละเกม ปลุกกระแส..ไม่เอาสงคราม!! | ห้องข่าวไทยโพสต์
ห้องข่าวไทยโพสต์ : วันจันทร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2568
พฤฒสภา คือ สภาปรีดี จริงหรือ ? (30)
ก่อนจะเกิดรัฐธรรมนูฉบับที่ 4 หรือรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2490 เรามีรัฐธรรมนูญฉบับที่ 2 คือฉบับ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475
รู้แล้วฝีมือใคร! จุดเริ่มต้นดรามา 'ซีเกมส์ 2025'
รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า วิพากษ์วิจารณ์กันจนเป็นดรามา คือเรื่องพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 33 ที่ไทยเป็นเจ้าภาพ
เผด็จศึกเขมร ต้องทุบให้เดี้ยง! ไม่ควรทิ้งปัญหาให้ลูกหลาน
จากสถานการณ์การสู้รบระหว่างไทยกับกัมพูชา ซึ่งล่าสุดจนถึงวันที่ 12 ธ.ค. มีทหารไทยเสียชีวิตแล้วรวมเป็น 11 นาย รายการ "ไทยโพสต์ อิสรภาพแห่งความคิด" สัมภาษณ์พิเศษ

