เรื่องดีดี มิติใหม่การเมือง แก้ไข พรบ.ล้มละลาย ฟื้นฟูหนี้บุคคลธรรมดา

วันที่เขียนต้นฉบับตรงกับวันที่ 14 กันยายน 2568  หลังวันเกิดนายก อนุทิน ชาญวีรกุล หนึ่งวัน เริ่มนับเป็นเรื่องดีดี เรื่องแรก ขอให้ท่านนายกสามารถบริหารคณะรัฐมนตรี นำความเจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืน ความผาสุกสู่ประชาชนอย่างเท่าเทียมตลอดอายุรัฐบาลที่มีเวลา 4 เดือนก่อนยุบสภา  นายกรัฐมนตรีได้แถลงต่อสื่อมวลชน   ผมไม่ต้องตอบแทนบุญคุณของผู้ใดยกเว้นประชาชนเท่านั้น นั่นเป็นสัญญาณแรกที่ชัดเจน  ตามมาด้วยการคัดเลือกและเปิดตัวทีมเศรษฐกิจ ว่าที่รัฐมนตรีจากคนนอกประกอบด้วยนักบริหารมืออาชีพที่ประสบความสำเร็จ เทคโนแครต ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดียิ่งในวงกว้างของสังคม เป็นการเปลี่ยนค่านิยม “ เปลืองตัว “  ขอเวลา 4 เดือนเป็นบทพิสูจน์การทำงานพร้อมกับคำมั่น อำนาจเต็มแก่ผู้ทำงานที่นายกอนุทินได้ลั่นวาจาไว้ เราเคยเห็นคุณอนุทินตั้งแต่สมัยยังหนุ่มจบนอกด้วยบุคลิกภายนอกภูมิฐานมีความอ่อนน้อมพร้อมช่วยเหลือในการทำงานวิเคราะห์สินเชื่อโครงการที่บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ช่วงเวลาไม่นานก่อนที่จะออกไปช่วยงานบริษัทของครอบครัว

เรื่องดีดีที่สองนับเป็นครั้งแรกของประเทศไทยที่อดีตนายกรัฐมนตรียอมรับการตัดสินของศาลและยอมเข้าคุก คุณทักษิณ ชินวัตร ตั้งแต่วันที่ 9 กันยายน 2568 ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญา ได้ตัดสินความผิดของคุณ ทักษิณ ชินวัตรในคดีที่เรียกกันทั่วไปว่า ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ โดยมีคำพิพากษาจำคุกเป็นเวลา 1 ปี จะด้วยเหตุผลใดที่อดีตนายก ทักษิณ เดินทางกลับจากดูไบก่อนหน้าหนึ่งวันเพื่อเข้ารับฟังการตัดสินของศาล เรามองในมุมของความรับผิดชอบ หน้าที่ พลเมืองไทยที่ต้องให้ความเคารพต่ออำนาจตุลาการ ย่อมได้รับคำชื่นชม นับได้ว่าเป็นเรื่องดีดียิ่งในเรื่องจริยธรรมของนักการเมือง จึงฝากคำสอนของหลวงพ่อวิริยังค์ ลูกศิษย์หลวงปู่มั่น ให้นักการเมืองที่อาจมีเรื่องบาดหมางกันขอให้มี เมตตา สามัคคี และให้อภัยต่อกันและกัน มีสมาธิสามารถรวบรวมจิตให้เกิดสติสัมปชัญญะและปัญญา ในการบริหารบ้านเมืองอย่างสงบสุข

เรื่องดีดีที่สาม  สภาผู้แทนราษฏรได้มีมติผ่ารวาระสองดำเนินการแก้ไข พรบ.ล้มละลาย เมื่อวันที่ 10 กันยายน2568    เราได้ติดตามเรื่องการแก้ไขภาระหนี้อย่างต่อเนื่องเป็นลำดับ สมการการแก้หนี้ไม่น่ามีอะไรที่ต่างกันมากนัก ต้องมีรายได้ลดค่าใช้จ่ายจัดลำดับการจ่ายหนี้ให้เวลาเพียงพอรวมถึงการลดหนี้เมื่อลูกหนี้มีความสุจริตและมุ่งมั่นร่วมมือในการแก้ไขหนี้  จากวิกฤตโควิดมาร่วมหกปี รัฐบาล ธนาคารแห่งประเทศไทยสถาบันการเงินต่าง ๆ ช่วยกันออกมาตรการแก้ไขหนี้ ล่าสุดคุณสู้เราช่วย  เพื่อพยุงลูกหนี้อย่างถึงที่สุด

การแก้ไข พรบ.ล้มลาย เป็นหนึ่งในทางเลือกสำหรับลูกหนี้ที่ประพฤติสุจริตสามารถเป็นผู้เลือกและร่วมกำหนดการแก้ไขหนี้ได้มากกว่าเป็นผู้ถูกเลือกอย่างที่ผ่านมา แนวคิดสำคัญการแก้ไข พรบ.ล้มละลายจากท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม “ เป็นการสร้างโอกาสครั้งที่สอง โดยการนำกลไกฟื้นฟูสู่บุคคลธรรมดา ลูกหนี้ที่ปฏิบัติตามแผนฟื้นฟูจนสำเร็จจะไม่ถูกตราหน้าว่าเป็นบุคคลล้มละลาย “

การใช้แผนฟื้นฟูกิจการ เป็นประโยชน์ต่อการแก้ไขหนี้ชัดเจน เมื่อเร็ว ๆนี้ บมจ.การบินไทย สามารถฟื้นฟูกิจการสำเร็จสามารถนำธุรกิจกลับเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้ ผู้ถือหุ้น เจ้าหนี้ ต่างได้รับประโยชน์จากการร่วมแก้ไขหนี้ผ่านกลไกฟื้นฟู  ในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง ปี พศ.2542ได้มีการปรับแก้ไข พรบ.ล้มละลายฉบับแรก พศ.2483  โดยเพิ่มกลไกฟื้นฟูกิจการ ช่วยให้ธุรกิจขนาดใหญ่สามารถแก้ไขปัญหาหนี้สินได้

ข้อมูลจากร่างแก้ไข พรบ.ล้มละลายในปัจจุบัน มีลูกหนี้บุคคลธรรมดาจำนวน 5359382 ราย และลูกหนี้นิติบุคคลจำนวน 32216 รายที่มีหนี้ต่ำกว่า 50 ล้านบาทเป็นหนี้ที่มีปัญหา  จึงเป็นที่มาของการเปิดช่องทางกลไกฟื้นฟู ในพรบ.ล้มละลายสู่การแก้ไขหนี้บุคคลธรรมดาและเอสเอ็มอี  

จากร่างแก้ไข เราประเมินในมุมของผู้ผ่านงานด้านสินเชื่อและแก้หนี้ เพื่อประโยชน์ต่อการนำร่าง พรบ.ไปใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติจะเน้นเรื่องการฟื้นฟูบุคคลธรรมดาซึ่งเป็นเป้าหมายใหญ่กว่า

5 ล้านคน ข้อสำคัญที่นำเสนอเรื่องเงื่อนไขการชำระหนี้


ขอเริ่มจากข้อกำหนดคุณสมบัติลูกหนี้ที่สามารถยื่นฟื้นฟู

1 มีรายได้ และมีหนี้ชัดเจนไม่ต่ำกว่า 100000 บาท

2 ประกอบกิจการ และมีหนี้ไม่ต่ำกว่า 100000 บาทไม่เกิน 1000000 บาท

แผนฟื้นฟู  ต้องมีผู้ทำแผนฟื้นฟู  โดยลูกหนี้เป็นผู้จัดทำแผนฟื้นฟูได้  โดยในแผนต้องมีรายละเอียด
1.เหตุผลที่มีการให้ฟื้นฟู   

2.รายละเอียดทรัพย์สิน หนี้สินและภาระผูกพัน 

3  ฟื้นฟูฐานะลูกหนี้  แผนต้องกำหนดให้ชำระเงินต้น ดอกเบี้ย หรือประโยชน์อื่นใดและเงินเพิ่ม  ตามลำดับ

4  กำหนดระยะเวลาตามแผนได้ไม่เกิน 5 ปี

5  การไม่ยอมรับทรัพย์สินของลูกหนี้หรือสิทธิสัญญาที่มีภาระเกินการทำประโยชน์ที่พึงได้

6 การไถ่ถอนหลักประกันในกรณีที่มีเจ้าหนี้มีประกันและความรับผิดชอบของผู้ค้ำประกัน

ความสำคัญที่สุดของการฟื้นฟูลูกหนี้คือแผนฟื้นฟูซึ่งจะต้องทำโดยสุจริต  ในสองข้อแรกเราเชื่อว่าลูกหนี้สามารถจัดทำได้ ส่วนข้อสามถึง หก เริ่มเป็นเรื่องทางเทคนิคการเงิน เราจะมีข้อเสนอที่เป็น template

ให้ต่อไป อย่างไรก็ต้องทราบสิ่งที่ต้องชดเชยหากกระทำอย่างไม่สุจริต  มีการต้องโทษทั้งจำและปรับ

ทั้งผู้บริหารแผน ลูกหนี้ และเจ้าหนี้  ปรับไม่เกิน ห้าแสนบาท โทษจำคุกหกเดือน  และมีค่าใช้จ่ายในการยื่นขอฟื้นฟูพร้อมเงินค่าประกัน รวม 5500 บาท  ในอีกมุมหนึ่ง การยื่นฟื้นฟูเป็นทางที่ลูกหนี้สามารถเลือกได้ถึงแม้จะต้องได้รับการยินยอมจากเจ้าหนี้หรือศาลอนุมัติแผนได้หากเจ้าหนี้ยังคงได้รับการชำระหนี้คืนทั้งหมด  หากมีการดำเนินการตามแผนสำเร็จ ศาลก็จะสั่งปลดลูกหนี้ออกจากการฟื้นฟูฐานะ

กลับมาเรื่องข้อเสนอ template แผนการชำระหนี้เราเห็นว่าการให้โอกาสเป็นครั้งที่สอง จากจุดสตาร์ทที่มีหนี้ต้องชำระ ต้องมีมาตรการชัดลดดอกเบี้ยจ่าย ลดดอกเบี้ยปรับ รวมถึงลำดับการตัดหนี้เพื่อสนับสนุนความสำเร็จของแผน  เราเอา model การปรับแก้ไขการชำระหนี้ กยศ.ตามการแก้ไข พรบ.ล่าสุดมาเทียบเคียง

    กยศ.เดิม   กยศ. ใหม่       แผนฟื้นฟูบุคคลธรรมดา
1การตัดหนี้ เบี้ยปรับ-ดอกเบี้ย-เงินต้นเงินต้น-ดอกเบี้ย-เบี้ยปรับ  เงินต้น-ดอกเบี้ย-เบี้ยปรับ
2งวดผ่อน    รายปี  รายเดือน / ไตรมาศ /ปี       รายสัปดาห์/เดือน/ไตรมาศ/ปี
3ผู้ค้ำประกัน   มี   ไม่มี  คนเดิม
4อัตราดอกเบี้ย   1 % 0.5 %อัตราดอกเบี้ยกนง.+2.5%
5ดอกเบี้ยปรับ    7.5% 0.5%     7%
6ดอกเบี้ยปรับเดิม  ชำระก่อนชำระเป็นลำดับสุดท้ายและ จะรับยกเว้นที่ตั้งพักทั้งหมดชำระเป็นลำดับสุดท้ายและ ชำระเพียงร้อยละ 25 ของที่ตั้งพัก
7ระยะเวลาชำระหนี้  15 ปี อายุไม่เกิน 65 ปี5-15 ปีอายุไม่เกิน65 ปี

      
                เราเชื่อว่า หากผู้ทำแผนใช้แนวทางนี้โอกาสชำระหนี้สำเร็จตามแผนเป็นไปได้สูง การขอลดดอกเบี้ย

ลดดอกเบี้ยปรับ เป็นเรื่องปกติในการเจรจาตราบใดที่เจ้าหนี้ยังคงได้ต้นเงินคืนครบถ้วนลูกหนี้พร้อมไถ่ถอนหลักประกัน

นี่คือโอกาสของคนไทยที่เป็นหนี้มีทางเลือก ยิ่งหากได้รับการสนับสนุนจากผู้เกี่ยวข้องเช่น ศาล เจ้าหนี้

รวมถึงผู้คุมนโยบาย ทั้งกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย สามารถออก soft loanดอกเบี้ยตามประกาศ กนง.ให้สถาบันการเงินเพื่อสนับสนุนกการแก้ไขหนี้บุคคลธรรมดา

ตราบใดที่ลูกหนี้ใช้ความสุจริตในการแก้ไขหนี้ความยุติธรรมจะเกิดกับลูกหนี้เสมอ

ปิดท้ายขอฝากเวทีแลกเปลี่ยนบทเรียนและความก้าวหน้าโครงการบริหารจัดการวัดในพระพุทธศาสนาตามหลักธรรมาภิบาลวันที่ 3 ตุลาคม 2568 เวลา13-17.00นณ.หอจดหมายเหตุพุทธทาสอินทปัญโญ



วงศกร พิธุพันธ์

กลุ่มนโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ประเทศไทย…ต้องไปต่อ (อย่างไร?)

วันนี้ขออนุญาตที่จะไม่กล่าวถึงประเด็นปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ สงครามและภาษีการค้าแต่ขอเชิญชวนผู้อ่านทุกท่านในฐานะพลเมืองไทยได้ร่วมคิดวิเคราะห์กันว่าในภาพรวมนั้น ประเทศของเรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไรและต้องไปต่อกันด้วยแนวทางใดภายใต้บริบทของระบบสังคมและความเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน

บัญชีวัด: โอกาสและความท้าทายระหว่างทางสู่ความโปร่งใส

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2565 ดิฉันเคยเขียนบทความเรื่อง "จัดระเบียบการเงินวัด เริ่มต้นด้วยการทำบัญชีให้ถูกต้อง" เพื่อชี้ให้เห็นว่าการทำบัญชีวัดไม่ใช่เพียงเรื่องของตัวเลขบนกระดาษ แต่คือเครื่องมือสำคัญในการเสริมสร้างความศรัทธา ความโปร่งใส และธรรมาภิบาลให้แก่องค์กรทางศาสนาที่มีบทบาทอย่างสูงในสังคมไทย บทความดังกล่าวได้รับความสนใจอย่างมาก ทั้งจากฝ่ายสงฆ์ ภาคประชาชน และผู้เกี่ยวข้องในภาครัฐ

การพัฒนาประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการเงิน :  มุมมองด้านการกำกับดูแล

คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568 เห็นชอบหลักการของร่าง พ.ร.บ. ศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน พ.ศ.......... ผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน (Financial Hub) เพื่อเป็นผู้เล่นสำคัญทางเศรษฐกิจในเวทีโลก และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

ปีแห่งความร่วมมือ ร่วมใจในการพัฒนาสังคมไทยสู่ความเสมอภาค

ผู้อ่านหลายท่านน่าจะเห็นตรงกันว่าปีพ.ศ. 2567 ที่ผ่านมานั้น ประเทศไทยได้เผชิญกับความ  ท้าทายหลายประการท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์  ผลการเลือกตั้งในสหรัฐอเมริกาภายใต้นโยบาย Trump 2.0 ที่จะทำให้สงครามทางการค้าเข้มข้นมากขึ้นและประเทศไทยย่อมจะได้รับผลกระทบหลายประการอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ความไม่เสมอภาคทางเศรษฐกิจ-มองต่างมุม

เมื่อต้นปี 2567 มีหนังสือตีพิมพ์ใหม่เล่มหนึ่ง ชื่อ The Trading Game: A Confession ผู้เขียน คือ Gary Stevenson ได้รับความชมชอบจากผู้อ่าน (4.2 ดาว จาก website Goodreads) และมีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในสื่อสังคมออนไลน์อยู่ 2 ประเด็นว่า ผู้เขียนโอ้อวดเกินจริงว่าตนเป็นนักค้าเงินอันดับหนึ่งของโลก และอีกประเด็นในเรื่องแนวความคิดเกี่ยวกับความไม่เสมอภาคทางเศรษฐกิจที่ผู้เขียนมองว่า เป็นแนวความคิดใหม่ที่นักเศรษฐศาสตร์มองไม่เห็นมาโดยตลอด

ประเทศชาติจะเปลี่ยนไป เมื่อคนไทยเปลี่ยนแปลง 

ประเทศไทยจะอยู่กับวิกฤติการเมืองที่เลวร้าย หรือจะก้าวต่อไปสู่อนาคตที่ดีกว่า 2เส้นทางเดินสำคัญที่คนไทยจะต้องเลือกเดิน คือ…1.เมื่อโลกเปลี่ยนแปลงไป คนไทยต้องเปลี่ยนตาม(When the world changes and we change with it.) หรือ 2.เมื่อคนไทยเปลี่ยนแปลงไป ประเทศไทยก็จะเปลี่ยนตาม(When we change, the world changes.)