
ในขณะที่ฝ่ายนิติบัญญัติมีภารกิจในการ “สร้าง” กฎหมายเพื่อจัดระเบียบสังคม แต่ในทางกลับกัน “กองภูเขากฎระเบียบ” ที่สูงท่วมหัว ทั้งที่ซ้ำซ้อน ล้าสมัย และเป็นอุปสรรคต่อการทำมาหากิน กำลังกลายเป็นโซ่ตรวนที่พันธนาการศักยภาพของประเทศ ด้วยเหตุนี้ “Regulatory Guillotine” หรือ “กิโยตินกฎหมาย” จึงไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็นความจำเป็นเร่งด่วนในการปฏิรูปประเทศ
คำถามสำคัญคือ ท่ามกลางกลไกราชการที่มักหวงแหนอำนาจและกฎระเบียบของตนประดุจสมบัติล้ำค่า เราจะทำให้ “กิโยติน” ที่คมกริบนี้ทำงาน “ตัด” กฎหมายที่ไม่จำเป็นออกไปได้อย่างไร?
คำตอบไม่ได้อยู่ที่การประกาศนโยบายสวยหรู แต่คือการลงมือทำอย่างเป็นระบบและเด็ดขาด โดยถอดบทเรียนความสำเร็จจากทั่วโลกออกมาเป็น 5 ปัจจัยชี้ขาด ดังนี้
1. ‘ผู้นำ’ ต้องเอาจริง: เจตจำนงทางการเมืองที่วัดผลได้
บทเรียนที่ดังที่สุดจากความสำเร็จของเกาหลีใต้ คือ “เจตจำนงทางการเมืองที่แน่วแน่” (Strong Political Will) ผู้นำรัฐบาล ตั้งแต่นายกรัฐมนตรีลงมา ต้องแสดงให้เห็นว่านี่คือ “วาระแห่งชาติ” ไม่ใช่โครงการแก้บน การสนับสนุนนี้ต้องเป็นรูปธรรม ไม่ใช่แค่วาทกรรม โดยต้องประกอบด้วย:
- ตั้งเป้าหมายที่ท้าทาย: ประกาศเป้าหมายที่ชัดเจน เช่น “ลดใบอนุญาตลง 50% ภายใน 1 ปี” เหมือนที่เกาหลีใต้เคยทำ เพื่อสร้างแรงกดดันและมีตัวชี้วัดความสำเร็จที่จับต้องได้
- ให้อำนาจและทรัพยากร: จัดตั้งหน่วยงานกลางที่มีอำนาจจริง ไม่ได้อยู่ใต้อาณัติของกระทรวงใด พร้อมจัดสรรงบประมาณและบุคลากรชั้นดีให้เพียงพอ
- ติดตามอย่างใกล้ชิด: ผู้นำต้องลงมาเป็นประธานการประชุมติดตามผลด้วยตนเอง เพื่อทุบโต๊ะแก้ปัญหาและทะลวงคอขวดที่เกิดจากการต่อต้านของหน่วยงานต่างๆ ได้ทันที
2. กลไกกลางต้องมี ‘เขี้ยวเล็บ’: ตั้งองค์กรอิสระที่ทรงพลัง
การปฏิรูปกฎหมายจะล้มเหลวทันที หากปล่อยให้หน่วยงานราชการเป็นผู้ประเมินและยกเลิกกฎหมายของตัวเอง เพราะไม่ต่างอะไรกับการยื่นมีดให้ “แมวเฝ้าปลาย่าง” ย่อมเกิดผลประโยชน์ทับซ้อนและการปกป้องอำนาจตนเอง สิ่งที่จำเป็นคือ คณะกรรมการหรือองค์กรกลางที่เป็นอิสระ ซึ่งประกอบด้วยตัวแทนจากภาครัฐ ภาคเอกชน นักวิชาการ และภาคประชาสังคม เพื่อทำหน้าที่เป็นแกนหลัก โดยต้องมีอำนาจชัดเจน เช่น:
- กำหนด “เช็กลิสต์” ในการทบทวนกฎหมายที่เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ
- รวบรวมกฎหมายนับแสนฉบับขึ้นทะเบียนในระบบดิจิทัล เพื่อความโปร่งใส
- มีอำนาจเสนอให้ยกเลิกหรือแก้ไขกฎหมายต่อคณะรัฐมนตรีหรือรัฐสภาโดยตรง
แม้ในไทยจะมี ก.พ.ร. หรือทีดีอาร์ไอที่พยายามผลักดัน แต่การจะสำเร็จอย่างยั่งยืน จำเป็นต้องมีโครงสร้างที่เป็นทางการและมีอำนาจตามกฎหมายรองรับที่ชัดเจนกว่านี้
3. ‘ข้อมูล’ ต้องมาก่อน ‘ความรู้สึก’: ปฏิรูปบนฐานของหลักฐาน
การจะ “ตัด” กฎหมายใดทิ้ง ไม่สามารถทำตามความรู้สึกหรือกระแสการเมืองได้ แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลและการวิเคราะห์ผลกระทบอย่างรอบด้าน หัวใจสำคัญคือการ “พลิกภาระการพิสูจน์” (Burden of Proof)
- ให้หน่วยงานพิสูจน์ความจำเป็น: แทนที่ภาคเอกชนจะต้องวิ่งเต้นร้องขอให้ยกเลิกกฎหมาย ให้เปลี่ยนเป็น “หน่วยงานราชการเจ้าของกฎหมาย ต้องแสดงหลักฐานว่าทำไมกฎหมายนี้ยังจำเป็น” หากพิสูจน์ไม่ได้ กฎหมายนั้นต้องถูกเสนอให้ยกเลิกเป็นลำดับแรก
- ประเมินผลกระทบอย่างเข้มข้น (RIA): ทุกกฎหมายทั้งเก่าและใหม่ ต้องผ่านกระบวนการวิเคราะห์ต้นทุนและผลประโยชน์ (Regulatory Impact Assessment) อย่างจริงจัง เพื่อให้แน่ใจว่าประโยชน์ที่สังคมได้รับ คุ้มค่ากับภาระที่ประชาชนและภาคธุรกิจต้องแบกรับ
4. ฟังเสียง ‘ผู้ได้รับผลกระทบ’: สร้างการมีส่วนร่วมที่แท้จริง
ผู้ที่เจ็บปวดที่สุดจากกฎระเบียบที่รุ่มร่ามคือประชาชนและผู้ประกอบการ การปฏิรูปจะตรงจุดได้ก็ต่อเมื่อดึงพวกเขาเข้ามามีส่วนร่วมอย่างแข็งขัน
- เปิดช่องทางแจ้ง ‘Pain Points’: สร้างแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ใช้งานง่าย ให้ประชาชนและภาคธุรกิจสามารถชี้เป้ากฎหมายที่เป็นอุปสรรคได้อย่างสะดวกและต่อเนื่อง
- ดึงภาคเอกชนเป็นคณะทำงาน: เชิญตัวแทนจากสภาหอการค้าฯ สภาอุตสาหกรรมฯ และสมาคมธุรกิจต่างๆ เข้าร่วมในกระบวนการทบทวน เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกและสร้างการยอมรับ
- สื่อสารให้สังคมเห็นประโยชน์: รัฐต้องสื่อสารอย่างต่อเนื่องว่า การตัดกฎหมายที่ล้าสมัย ไม่ใช่การลดอำนาจรัฐ แต่คือการ “ลดต้นทุน ลดขั้นตอน ลดช่องทางคอร์รัปชัน” ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและปากท้องของทุกคน
5. ใช้ ‘ดิจิทัล’ เป็นเครื่องมือตัด: ทลายกำแพงกฎหมายยุคกระดาษ
ท่ามกลางกฎหมายและกฎระเบียบเป็นแสนฉบับ การทบทวนด้วยแฟ้มเอกสารเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เทคโนโลยีดิจิทัลจึงเป็นเครื่องมือที่ขาดไม่ได้
- สร้างฐานข้อมูลกฎหมายกลาง: พัฒนาระบบดิจิทัลที่รวบรวมกฎหมายทุกระดับชั้นไว้ในที่เดียว เพื่อให้ทุกคนสืบค้นได้และง่ายต่อการบริหารจัดการ
- กำหนดวันหมดอายุให้กฎหมาย (Sunset Clause): นำหลักการสากลมาใช้ โดยกำหนดให้กฎระเบียบที่ออกมาใหม่มีอายุใช้งาน เช่น 3-5 ปี เมื่อครบกำหนดจะต้องถูกทบทวนความจำเป็นโดยอัตโนมัติ เพื่อป้องกันการสะสมของกฎหมายขยะในอนาคต
บทสรุป
การทำให้ Regulatory Guillotine สำเร็จในประเทศไทย ไม่ใช่แค่การตั้งคณะกรรมการขึ้นมาอีกชุดหนึ่ง แต่คือการปฏิรูปเชิงโครงสร้างที่ต้องอาศัย เจตจำนงทางการเมืองที่แน่วแน่, กลไกกลางที่โปร่งใสและมีอำนาจจริง, กระบวนการที่ยึดข้อมูลเป็นที่ตั้ง, การมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน และเทคโนโลยีที่ทันสมัย
หากทำได้ครบทั้ง 5 องค์ประกอบนี้ “กิโยติน” ก็จะสามารถทำหน้าที่ “ตัด” โซ่ตรวนของกฎระเบียบที่ฉุดรั้งประเทศ และปลดปล่อยให้เศรษฐกิจและสังคมไทยสามารถเดินหน้าสู่อนาคตได้อย่างเต็มศักยภาพอย่างแท้จริง
คอลัมน์ พิจารณ์นโยบายสาธารณะ กลุ่มนโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล
ดร มนต์ศักดิ์ โซ่เจริญธรรม
กลุ่มนโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ดร.ณัฏฐ์ ผ่าเกม IPU ใช้โลกล้อมไทยปราบสแกมเมอร์
ดร.ณัฏฐ์ นักกฎหมายมหาชน ชี้ปมมติสหภาพรัฐสภา “IPU” ใช้ทฤษฎีโลกล้อมไทยปราบสแกมเมอร์ “วรภัค”รมช.คลัง ลาออก ไม่จบ-พ่นพิษลุกลามรัฐบาล
ดร.ณัฏฐ์ เตือน สส.ปชน.อย่าใช้ กมธ.เป็นเครื่องมือ ปมคดี ‘ยศสิงห์’
“ดร.ณัฏฐ์” ชี้กรณี “ชุติพงษ์” สส.ปชน.ตรวจสอบประวัติ “ยศสิงห์”รมช.อุตสาหกรรม คดีถึงที่สุดแล้ว ไม่อาจรื้อฟื้นคดีใหม่ได้ เตือนไม่ควรใช้ กมธ.เป็นเครื่องมือ
ดร.ณัฏฐ์ ชี้ประชามติคือด่านสุดท้าย เกมร่างรธน.ใหม่เสี่ยงคว่ำ หากตกลงกันไม่ได้
นักกฎหมายมหาชน “ดร.ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม” ชี้ ร่างแก้ไขเพิ่มเติม รธน. ด่านสุดท้าย จัดทำประชามติ อำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญเป็นของ“ประชาชน” โอกาสร่าง ปชน.-ภูมิใจไทย ผ่านแต่ในวาระ 2-3 หากตกลงกันไม่ได้ อาจถูกคว่ำร่างตกไป
ดร.ณัฏฐ์ ซัดจุลพงศ์-MOAไม่ใช่สัญญาประชาคม แต่คือ ‘สัญญาทาส’
นักกฎหมาย มหาชน ตอกกลับ จุลพงศ์ อยู่เกษ สส.พรรคประชาชน ชี้ MOA ที่ถูกอ้างไม่ใช่สัญญาประชาคม หากแต่เข้าข่าย “สัญญาทาส” ที่ให้ประโยชน์เพียงกลุ่มเดียว ซัดไร้ความเข้าใจรัฐธรรมนูญ เสี่ยงทำพรรคเดือดร้อนถึงขั้นยุบพรรค
'เทพไท' ชำแหละพฤติกรรม 'สส.-สว.' สะท้อนคำตอบ ทำไมการเมืองยุคนี้ตกต่ำ
ตั้งแต่สมาชิกวุฒิสภาและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มีภาพลักษณ์ที่ตกต่ำและไม่มีคุณภาพ จึงเป็นที่มาของข้อครหาของสังคมว่า ฝ่ายนิติบัญญัติในสมัยนี้ หรือสมาชิกรัฐสภาชุดนี้ เป็นสมาชิกรัฐสภาที่ไร้ซึ่งคุณภาพ หรือคุณภาพตกต่ำมากกว่ายุคก่อนๆ
อึ้ง! ภูมิธรรมพูดเต็มปากปมกาสิโนบอกสิ่งที่รัฐบาลทำมาไม่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาแน่
นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

