นักกฎหมายมหาชน “ดร.ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม” ชี้ ร่างแก้ไขเพิ่มเติม รธน. ด่านสุดท้าย จัดทำประชามติ อำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญเป็นของ “ประชาชน” โอกาสร่าง ปชน.-ภูมิใจไทย ผ่านแต่ในวาระ 2-3 หากตกลงกันไม่ได้ อาจถูกคว่ำร่างตกไป
15 ตุลาคม 2568 - สืบเนื่องการประชุมรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญฉบับร่างพรรคประชาชน พรรคเพื่อไทย พรรคภูมิใจไทย ทั้ง 3 ร่าง ยังตกลงกันไม่ได้ว่าจะใช้ร่างใดเป็นร่างหลัก ทั้ง สส.และ สว.ต่างอภิปรายถึงจุดอ่อนจุดแข็งรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 ต่างตอบโต้กันไปมานั้น
ล่าสุด “ดร.ณัฏฐ์” หรือ ดร.ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม นักกฎหมายมหาชน ได้ให้ความเห็นเพื่อประโยชน์สาธารณะและกล่าวว่า การหยิบยกวาทกรรมทางการเมืองเพื่อสร้างคะแนนนิยมทางการเมืองในร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ในประเด็น แก้ไขเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกกครองฯและเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐ เป็น บทบัญญัติ “ข้อห้าม” รัฐสภาจะกระทำไม่ได้ ตาม รธน.มาตรา 255 ส่วนการแก้ไขเพิ่มเติมหมวด 1 บททั่วไป หมวด2 พระมหากษัตริย์ ตาม รธน.มาตรา 256(8) เป็นบทบังคับที่จะต้องสอบถามประชาชนก่อน โดยวิธีการจัดทำออกเสียงประชามติ ว่าจะให้แก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเพื่อนำไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ ด่านสุดท้ายอยู่ที่ “ประชาชน” มิใช่พรรคการเมือง
“เป็นการพูดจาเอาเท่ๆ ของนักการเมืองเพื่อสร้างคะแนนนิยม โดยไม่มีจำเป็นใดๆ ต้องระบุในร่างพิมพ์เขียวแต่ละพรรคการเมืองให้เสียของ” ดร.ณัฐวุฒิ ระบุและว่า เท่าที่ติดตามฟังอภิปราย ไม่มีสมาชิกรัฐสภารายใดอภิปราย หักล้างว่า รัฐธรรมนูญ 2560 ฉบับปราบโกงว่า ไม่ดีอย่างไร ไม่มีประชาธิปไตยอย่างไร หากออกแบบรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ประเทศไทยจะดีขึ้นกว่าเดิมอย่างไร ยกระดับประชาธิปไตยอย่างไร แก้ปัญหานักการเมืองทุจริตอย่างไร แล้วพี่น้องประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศจะได้ประโยชน์อย่างไร
“ปัจจุบันปัญหาภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ไม่ใช่เรื่องจำเป็นเร่งด่วน ที่พี่น้องประชาชนเดือดร้อน ทุกหย่อมหญ้าอย่างไร รัฐธรรมนูญสำคัญกว่าปากท้องของพี่น้องประชาชนอย่างไร หากแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้วนำไปสู่จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เศรษฐกิจจะดีขึ้นกว่าเดิมอย่างไร ต่างชาติเชื่อมั่นการลงทุนอย่างไร ไหนบอกว่าประชาธิปไตยกินได้”
ดร.ณัฐวุฒิ กล่าวต่อไปว่าแต่กลับไปถกเถียงกัน ที่มาของรัฐธรรมนูญมาจาก คสช. พูดเอาดี เข้าตัว เอาชั่วใส่คนอื่น เพื่อผลประโยชน์ในทางการเมือง เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะพรรคประชาชนและพรรคเพื่อไทย ใช้เป็นนโยบายหลักในการรณรงค์หาเสียงในการเลือกตั้งปี 2566 โดยจะนำนโยบายแก้รัฐธรรมนูญไป อ้างความชอบธรรมในการรณรงค์หาเสียงว่าได้ดำเนินการแล้วในสนามเลือกตั้ง สส.ปี 2569
“เกมการเมือง การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในมาตรา 256องค์ประกอบ วาระ 1 คือ เสียงข้างมาก หมายถึง เสียงเกินกึ่งหนึ่งของสมาชิกรัฐสภา จำนวน 347 เสียง (สส.492 + สว. 200 =692) ขณะที่พรรคฝ่ายรัฐบาลเสียงข้างน้อย มี 146 เสียง พรรคประชาชน มี 143 เสียง และพรรคเพื่อไทยมี 130 กว่าเสียง”
ดร.ณัฐวุฒิ กล่าวว่าหากวิเคราะห์คณิตศาสตร์ทางการเมือง ฝ่ายรัฐบาลผสมมีเพียง 146 เสียง จับมือกับ สว.ขั้วสีน้ำเงิน (ว่ากันว่ามีประมาณ 160 เสียง) รวบรวมเสียงได้เพียง 306 เสียง แต่ยังไม่ถึงกึ่งหนึ่ง หากพรรคประชาชน ไม่โหวตเสียงให้ จะทำให้ร่างนั้น คว่ำตกไปในทันที เพราะในวาระ 1 วาระ 2 และ วาระ 3 ตาม รธน.มาตรา 256(3) (4) (6) เป็นเงื่อนไขหลัก ในการแก้ไขเพิ่มเติม รธน.ฉบับแก้ไขยาก ต้องมติสมาชิกรัฐสภาเสียงข้างมาก ส่วนในวาระ 1 และวาระ 3 ต้องใช้มติ เสียง “สว.” หนึ่งในสาม หรือ จำนวน 67 คน
“หากผ่านร่างพรรคประชาชนและร่างพรรคภูมิใจไทย รวม 2 ร่าง ในวาระ 1 เพื่อนำไปปรับแก้ให้สมดุลและบูรณาการระหว่างกัน ในชั้นตั้งกรรมาธิการร่วมของสองสภา ย่อมสามารถนำไปปรับแก้ไขร่างได้ เพื่อให้เหลือเพียงร่างหลัก 1 ร่างเท่านั้น” แต่จะมีปัญหาในวาระ 2 หากร่างของพรรคประชาชน ไม่ได้ถูกนำมาเป็นส่วนร่วมของร่างหลักของพรรคภูมิใจไทย จะทำให้ฝ่ายรัฐบาลเสียงไม่พอ โอกาสถูกคว่ำร่างนั้นเป็นไปได้สูง
ส่วนร่างของพรรคเพื่อไทย ฝ่ายค้าน จะต้องพึ่งพิง ทั้งเสียงข้างมากและ สว.จำนวน 67 คน มีโอกาสที่ร่างนั้น จะตกไปในวาระ 1 เพราะแม้จะ สส.ต่างพรรคสนับสนุน แต่ซีก สว.ไม่อาจหาเสียงสนับสนุนให้ตัวเลข ครบได้ ทำให้ร่างเพื่อไทยมีโอกาสเป็นหมันสูง เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะร่างแต่ละพรรคที่บรรจุญัตติต่อรัฐสภา ต้องแยกร่างต่างหากจากกัน มิได้เหมารวมทุกร่าง โดยแต่ละร่าง ต้องมีเสียงสนับสนุนตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ ไว้ในการแก้ไขเพิ่มเติม รธน.มาตรา 256(3)
แม้ร่างพรรคประชาชนและพรรคภูมิใจไทย ทั้ง 2 ร่าง มีโอกาสผ่านสูง ในวาระ 1 ขั้นตอนต่อไป ต้องตั้งกรรมาธิการร่วมสมาชิกรัฐสภา เพื่อพิจารณาปรับแก้ไขร่าง หากพิจารณาในขั้นตั้งกรรมาธิการร่วมสมาชิกรัฐสภา เป็นโอกาสในการต่อรอง และปรับเนื้อหาได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย “เป็นการเมืองในเชิงประนีประนอม” ก่อนที่จะเสนอพิจารณา วาระ 2 ชั้น พิจารณาเรียงลำดับรายมาตราต่อไป
แต่หากร่างของพรรคประชาชน ไม่ถูกนำมามีส่วนร่วมและได้ประโยชน์สมดังหวังตามเป้าประสงค์ ในการปรับเป็นร่างหลักร่างเดียว จะถูกตีรวนและคว่ำร่างในชั้น วาระ 2 ชั้น ย่อมเป็นไปได้ เพราะการเมืองเป็นเรื่องผลประโยชน์ เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะในวาระที่ 2 ต้องใช้เสียงข้างมาก ตาม รธน.มาตรา 256(4)
ดร.ณัฐวุฒิ ระบุต่อว่าขณะเดียวกันในวาระที่ 3 ต้องใช้เสียง สว.หนึ่งในสาม หาก สว.เห็นว่า ร่างที่ปรับแก้ถูกสอดใส้และขัดต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ห้ามมีการเลือก สสร.แม้ในขั้นตอนหนึ่งขั้นตอนใด ทำให้กระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ ย่อมอาจถูกตีตกได้เช่นกัน
แม้จะเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย แต่สมาชิกวุฒิสภา สภาสูงส่วนใหญ่ เป็นขั้วสีน้ำเงิน เกมแก้รัฐธรรมนูญ อยู่ที่พรรคภูมิใจไทยเช่นกัน ถือเป็น “มวยคนละหมัด” ในเกมอำนาจต่อรองทางการเมือง นอกเหนือ MOA
แต่หากร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ผ่านวาระ 3 แต่ยังไม่สิ้นสุด ยังเป็นอำนาจของภาคประชาชนในการออกเสียงประชามติ ตาม รธน.มาตรา 256(8) จะผ่านร่างหรือไม่ อยู่ที่ปลายปากกาของพี่น้องประชาชน
ด่านสุดท้าย มีกระบวนการตรวจสอบโดยองค์กรตุลาการ ก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะทูลเกล้าฯเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญสส.หรือ สว.ไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบยื่นคำร้องให้ประธานสภาแห่งนั้น ยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญ ตีความว่าขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ โดยมีกรอบเวลาศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาภายใน 30 วัน ตาม รธน.มาตรา 256(9)
“ผลผลิต คสช.คือ รัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขยาก ฉบับปราบโกง”.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ฟันธง! สถานการณ์บีบ 'ปชน.' ต้องยื่นซักฟอก ยอมทิ้งแก้รธน.
นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า สุดท้าย พรรคส้ม ต้องยื่นซักฟอกรัฐบาล
ดร.ณัฏฐ์ ชี้ปมยุบ ‘ปชน.’ พิสูจน์ที่มาของเงินเทายาก กกต.อายัดบัญชีพรรคไม่ได้
นักกฎหมายมหาชน ชำแหละปมยุบพรรค “ปชน.” ที่มาของเงินเทา พิสูจน์ยาก สส.ออกเงินค่าสมาชิกแทนกันมีโทษทางอาญา-ตัดสิทธิทางการเมือง “กกต.” ไม่อาจอายัดเงินบัญชีพรรค ปชน.ได้
เกมวัดใจ! 'พท.-ปชน.' ซักฟอก 'รัฐบาลอนุทิน'
นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า อภิปรายไม่ไว้วางใจ เกมวัดใจล้วนๆ
'ภราดร' ชงสภาฯ เปิดประชุมวิสามัญ 8-10 ธ.ค. เร่งแก้ รธน. หวังวาระ 3 จบก่อนปีใหม่
“ภราดร” ชง สภา เปิดวิสามัญ 8-10 ธ.ค. พิจารณาแก้ รธน. หวังโหวตวาระ 3 เสร็จก่อนปีใหม่ มีเวลาให้ กกต. ทำประชามติพร้อมเลือกตั้ง ยํ้า กมธ.เห็นพ้อง หาทางรอดคำวินิจฉัยศาล เล็งสูตรคนละครึ่ง สมัครก่อน ให้สภาจับกลุ่มเคาะ เลี่ยงเข้าคูหาโดยตรง
ดร.ณัฏฐ์ ชี้ 'สิ่งที่เชื่อ' ไม่มีกฎหมายรองรับ ชูป้ายประจานอภิสิทธิ์คือการละเมิด
สืบเนื่องจากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ได้รับเชิญไปบรรยายพิเศษวิชานโยบายสาธารณะ หลักสูตรปริญญาเอกปรัช
ดร.ณัฏฐ์ ชำแหละปมกฎหมายท้องถิ่น ถอยหลังลงคลอง เปิดทางผูกขาดอำนาจ
“ดร.ณัฏฐ์” นักกฎหมายมหาชน ชำแหละ ปมแก้ไขกฎหมายท้องถิ่น กรณีผู้บริหารท้องถิ่น “ลดอายุ” และ “ไม่จำกัดวาระ” ไม่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ ผูกขาดอำนาจท้องถิ่น

