สังคมอุดมอินฟลูฯ ถึงเวลารัฐต้องจัดระเบียบเสียที!

โซเชียลมีเดีย (social media) หรือ “สื่อสังคม (ออนไลน์)” เป็นเครื่องมือสำหรับการติดต่อสื่อสาร และการแบ่งปันข้อมูลข่าวสารที่มีอิทธิพลต่อคนในยุคปัจจุบันอย่างยิ่ง สำหรับใครหลายคน โซเชียลมีเดียเปรียบเสมือนอวัยวะส่วนที่ 33 ก็ว่าได้ เพราะใช้เวลาหลายชั่วโมงตั้งแต่เช้าจนค่ำในแต่ละวันท่องโลกสังคมออนไลน์เพื่อการทำงานบ้าง เพื่อความบันเทิงบ้าง ด้วยเหตุผลนี้เอง ผู้คนมากหน้าหลายตาจึงเห็นประโยชน์ของโซเชียลมีเดีย และผันตัวมาเป็น “อินฟลูเอนเซอร์” (influencers) หรือ “ผู้ทรงอิทธิพล (ทางความคิด)” ใช้โซเชียลมีเดียในการเผยแพร่ความคิด ความเห็น ให้ความรู้ และยังรวมถึงการสร้างตัวตน ชื่อเสียง และการสร้างรายได้ด้วย จากข้อมูลตัวเลขของบริษัทวิจัยทางการตลาดระดับโลกอย่าง Nielsen พบว่า อาเซียน (ASEAN) มีจำนวนอินฟลูเอนเซอร์รวมกันมากถึง 13.5 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นอินฟลูเอนเซอร์ชาวไทยจำนวน 2 ล้านคน โดยคอนเทนต์ (content) หรือเนื้อหาที่เหล่าอินฟลูเอนเซอร์ผลิต และนำเสนอมีมากมายหลากหลายไม่ว่าจะเป็นคอนเทนต์ด้านการเมือง การลงทุน การท่องเที่ยว หรือแม้แต่เนื้อหาความรู้เรื่องเพศ อันที่จริงแล้ว คอนเทนต์ทั้งหลายเป็นประโยชน์ต่อคนในสังคม อินฟลูเอนเซอร์หลายคนตระเตรียมคอนเทนต์มาอย่างดี หลายคนนำความรู้ที่ล่ำเรียนมามาแบ่งปัน หลายคนแบ่งปันประสบการณ์ตรงของตนเองเพื่อประโยชน์ต่อสังคม

แต่…ต้องยอมรับความจริงว่า อินฟลูเอนเซอร์ไม่ได้มีเจตนาทำประโยชน์ต่อสังคมเหมือนๆ กันทุกคน หลายคนมองผลประโยชน์ของตนเพียงอย่างเดียว ในหลายประเทศทั่วโลก มีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับอิทธิพลของอินฟลูเอนเซอร์ในโซเชียลมีเดียต่อพฤติกรรมของผู้บริโภค ตัวอย่างเช่น งานวิจัยของ ศาสตราจารย์ Yuksel Ekinci และคณะ จาก มหาวิทยาลัยพอร์ตสมัธ (University of Portsmouth) ประเทศอังกฤษ ซึ่งเผยแพร่เมื่อ เดือนมกราคม พ.ศ.2568 ที่ผ่านมา ระบุให้เห็นถึง “ด้านมืด” (dark side) ของอินฟลูเอนเซอร์ในโซเชียลมีเดีย เช่น การที่อินฟลูเอนเซอร์ส่งเสริมการขายสินค้าที่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค (promotion of harmful products) หรือ การให้ข้อมูลผิดๆ ต่อผู้บริโภค (dissemination of misinformation) ในประเทศไทยเองก็มีตัวอย่างอินฟลูเอนเซอร์ที่ถูกดำเนินคดีเพราะนำเสนอเนื้อหาในลักษณะโฆษณาชวนเชื่อ นอกจากนี้ ในยุคสังคมอุดมอินฟลูเอนเซอร์ในปัจจุบัน การแข่งขันในโซเชียลมีเดียสูงมาก อินฟลูเอนเซอร์ทั้งหน้าใหม่ และหน้าเก่าต้องพยายามสร้างตัวตนที่แตกต่าง ผลิตคอนเทนต์ที่แตกต่างเพื่อดึงความสนใจของผู้คนที่รับชมให้กลายมาเป็นผู้ติดตาม ตรงนี้เองทำให้อินฟลูเอนเซอร์บางส่วนไม่ได้ใช้ “วิจารณญาณ” ในการนำเสนอคอนเทนต์ ด้วยเหตุนี้ “คอน             เทนต์ขยะ” ไม่ว่าจะเป็นคอนเทนต์การแสดงออกแบบบ้าระห่ำ หยาบคาย ไม่สนใจกฎกติกาของสังคม คอนเทนต์ที่เข้าข่ายละเมิดสิทธิส่วนบุคคล หรือคอนเทนต์ที่เข้าข่ายเป็นภัยต่อความสงบสุขของสังคม จึงผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด

การผลิต และนำเสนอคอนเทนต์ในโซเชียลมีเดียที่ไม่เหมาะสม สร้างผลเสียแก่ผู้รับชม และสังคม เป็นปัญหาที่ได้รับความสนใจในหลายประเทศทั่วโลก บางประเทศมีความก้าวหน้าในด้านการป้องกันปัญหาที่กล่าวมานี้บ้างแล้ว ตัวอย่างเช่น ประเทศออสเตรเลียมีข้อกำหนดซึ่งออกตาม Online Safety Act 2021 ห้ามผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 16 ปี ในการมีบัญชีผู้ใช้โซเชียลมีเดีย ทั้งนี้ เพื่อป้องกันมิให้เยาวชนตกเป็นเหยื่อคอนเทนต์ที่ไม่เหมาะสม ประเทศอังกฤษมีข้อกำหนดซึ่งออกตาม Online Safety Act 2023 ระบุคอนเทนต์ที่เป็นอันตราย ประกอบด้วย คอนเทนต์อนาจาร คอนเทนต์ที่สนับสนุน ส่งเสริม หรือให้คำแนะนำเกี่ยวกับการทำร้ายตัวเอง ความผิดปกติของการกิน การฆ่าตัวตาย การกลั่นแกล้ง คอนเทนต์หยาบคายหรือแสดงความเกลียดชัง คอนเทนต์ที่แสดง สนับสนุนความรุนแรง การบาดเจ็บร้ายแรง คอนเทนต์ที่สนับสนุนพฤติกรรมผาดโผนและความท้าทายที่อันตราย คอนเทนต์ที่สนับสนุนการรับประทาน การสูดดม หรือการสัมผัสสารอันตราย ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เองได้ออกระเบียบให้อินฟลูเอนเซอร์ต้องได้รับใบอนุญาตจากสภาวิชาชีพ ในขณะที่ประเทศจีนได้ทำโครงการรณรงค์ภายใต้ชื่อ 勤俭节约 อ่านว่า “ฉิน เจี่ยน เจี๋ย เย่ว์” ซึ่งหมายความถึง “ขยันในการทำมาหากิน และประหยัดมัธยัสถ์ในการใช้จ่าย” เพื่อห้ามเผยแพร่คอนเทนต์อวดรวย สุรุ่ยสุร่าย ใช้จ่ายเกินความเป็นจริง

ในประเทศไทยเอง เริ่มมีเสียงเรียกร้องจากหลายฝ่ายให้มีการออกกฎหมายเพื่อจัดระเบียบอินฟลูเอนเซอร์เสียที เพราะที่ผ่านมา แม้จะมีกฎหมายหลายฉบับที่อาจนำมาใช้จัดการปัญหาที่อินฟลูเอนเซอร์ในโซเชียลมีเดียสร้างขึ้น เช่น พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2560 พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.2522 แต่กฎหมายที่กล่าวมานี้ไม่มีการให้คำจำกัดความ คำว่า “โซเชียลมีเดีย หรือสื่อสังคม” ที่ชัดเจนแน่นอน และการบังคับใช้กฎหมายหลากหลายฉบับในการจัดการกับปัญหาอินฟลูเอนเซอร์ย่อมหมายความถึงการขาดกลไกที่มีระบบ ไม่ครอบคลุมมิติต่างๆ ของปัญหาอย่างเพียงพอ ร่าง พ.ร.บ. การคุ้มครอง สิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรม และมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน พ.ศ. …. ที่ยังอยู่ระหว่างพิจารณานั้น ก็เน้นไปที่การตรวจสอบ ตักเตือน และแก้ไขคอนเทนต์ที่ไม่เหมาะสม แต่ยังขาดการกำกับดูแลการผลิตคอนเทนต์ตั้งแต่ต้น ด้วยเหตุนี้ รัฐจึงควรออกระเบียบควบคุมอินฟลูเอนเซอร์อย่างเป็นกิจจะลักษณะ โดยคำนึงถึงประเด็นสิทธิเสรีภาพ กับความสงบเรียบร้อยของสังคม ในการผลิตคอนเทนต์บางประเภทควรขออนุญาตจากภาครัฐ และมีการตรวจสอบก่อนเผยแพร่ เช่น คอนเทนต์ด้านยา และการรักษาโรค คอนเทนต์การเสริมความงาม คอนเทนต์ที่มีเนื้อหาพฤติกรรมทางเพศ คอนเทนต์กิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อชีวิต และเนื้อตัวร่างกาย รัฐควรจำกัดอายุของเด็กในการมีบัญชีผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียด้วยเช่นกัน เพื่อป้องกันมิให้เด็กเข้าถึงคอนเทนต์ที่เป็นโทษต่อตนเอง เช่น คอนเทนต์ที่แฝงความรุนแรง

นอกจากระเบียบกฎหมายแล้ว การให้ความรู้กับประชาชนทุกเพศทุกวัยให้รู้เท่าทันทั้งประโยชน์ และโทษของโซเชียลมีเดีย รวมทั้งการส่งเสริมให้อินฟลูเอนเซอร์ผลิต และนำเสนอคอนเทนต์ด้วยวิจารณญาณที่เหมาะสมก็สำคัญเช่นกัน ทั้งหมดนี้ เพื่อให้การใช้โซเชียลมีเดียเกิดประโยชน์กับทั้งประชาชนผู้ติดตาม และอินฟลูเอนเซอร์ผู้นำเสนอคอนเทนต์ อย่างไรก็ตาม ขอกล่าวทิ้งท้ายว่า คอนเทนต์ที่ดี และมีการนำเสนออย่างเหมาะสม ไม่สร้างความเดือดร้อน ไม่ว่าจะเป็นคอนเทนต์เชิงพาณิชย์หรือไม่ก็ตาม ย่อมได้รับการคุ้มครองตามหลักสิทธิเสรีภาพ และสามารถดำเนินการต่อไปได้อยู่แล้ว

ทความ คอลัมน์ พิจารณ์นโยบายสาธารณะ กลุ่มนโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล

รศ.ดร. ติญทรรศน์ ประทีปพรณรงค์
กลุ่มนโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล

                                                                                                    

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ถึงคิวโอ๊คหรือยัง พานทองแท้ในวันที่พรรคเพื่อไทยต้องหานายกฯคนใหม่

ภาพสามพี่น้องชินวัตรเดินเข้าเยี่ยมพ่อที่เรือนจำคลองเปรม กลายเป็นไวรัลในพริบตา ไม่ใช่เพราะใครอยากรู้อะไรเกี่ยวกับเรือนจำ แต่เพราะ “โอ๊ค” พานทองแท้ ปรากฏตัวในลุคใหม่ สดใส อารมณ์

'แพรรี่' ฟาดเดือด! ชาวเน็ตแซะ ปมให้กำลังใจทหารไทย

"แพรรี่" ไพรวัลย์ วรรณบุตร อินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กตอบโต้ผู้ใช้เฟซบุ๊กหญิงรายหนึ่ง ซึ่งได้แคปโพสต์ของ แพรรี่, บุ๋ม ปนัดดา และคนดังอีกหลายคน

รบ.ย้ำทุกอาชีพที่มีรายได้ต้องยื่นภาษีเบี้ยวเจอปรับและคุก

รัฐบาลย้ำทุกอาชีพที่มีรายได้ต้องยื่นภาษี หากพบเจตนาหลบเลี่ยงภาษี อาจถูกจำคุกไม่เกิน 1 ปี - ปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เตือนอย่าหลงเชื่อ E-mail แอบอ้างโครงการลดหย่อนภาษี