
เข้าสู่ช่วงนับถอยหลังกำลังจะผ่านพ้นไปแล้วสำหรับปี 2568 หลายภาคส่วนมีการวิเคราะห์-สรุปสถานการณ์ในด้าน”การเมือง-เศรษฐกิจ-สังคม-สิ่งแวดล้อม-เทคโนโลยี”เพื่อให้เห็นฉากทัศน์ของปี 2568 ที่กำลังผ่านไปและการคาดการณ์ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในปีหน้า 2569
สำหรับในส่วนของเรื่อง”แรงงาน”ถือเป็นเรื่องสำคัญสำหรับสังคม-เศรษฐกิจ เพราะเศรษฐกิจของประเทศจะขับเคลื่อนได้ ก็ต้องมีการแรงงาน-มีคนเข้ามาทำงานในระบบเศรษฐกิจและการจ้างงาน
โดยในส่วนของ”แรงงานข้ามชาติ”ที่เข้ามาทำงานในประเทศไทย ก็เป็นเรื่องสำคัญ เพราะอย่างสถานการณ์การสู้รบไทย กับกัมพูชาตอนนี้ ก็ทำให้แรงงานกัมพูชาต้องเดินทางออกจากประเทศไทยกลับภูมิลำเนาที่กัมพูชาตั่งแต่เดือนก.ค.ที่ผ่านมา ทำให้ตอนนี้ ภาคการผลิตบางส่วน ก็ขาดแคลนแรงงานฯ จนกระทรวงแรงงานมีนโยบายที่จะเปิดให้แรงงานต่างชาติบางประเทศเข้ามาทำงานแทนแรงงานกัมพูชา เป็นต้น
สำหรับภาพรวมแรงงานต่างชาติในปีนี้ ก็มีข้อมูลที่น่าสนใจไม่น้อยเพราะพบว่าเมื่อวันที่ 18 ธ.ค.ที่สมาคมผู้สื่อข่าวระหว่างประเทศ (FCCT) อาคารมณียา เครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ (Migrant Working Group :MWG) จัดแถลงข่าวเนื่องในวันแรงงานข้ามชาติสากลปี 2568 (International Migrants Day 2025) ภายใต้หัวข้อ “ปี 2025 จากไซต์งานก่อสร้างถึงสนามรบ : วิกฤติแรงงานข้ามชาติจากชั่วคราวจนเป็นปัญหาชั่วโคตร” โดยเป็นการสรุปภาพรวมสถานการณ์แรงงานข้ามชาติปี 2568 พร้อมประเด็นเด่นการจัดการปัญหาภัยพิบัติ ภัยสงคราม และจับตาสถานการณ์การเลือกตั้งครั้งใหม่ที่เกี่ยวเนื่องกับแรงงานข้ามชาติในประเทศไทย
‘เครือข่ายประชากรข้ามชาติ’ ชำแหละวิกฤตแรงงานข้ามชาติปี 68
โดย””น.ส. โรยทราย วงศ์สุบรรณ จากเครือข่ายประชากรข้ามชาติ” ได้สรุปภาพรวมสถานการณ์แรงงานข้ามชาติในปี 2568 พร้อมประเด็นเด่นเรื่องการจัดการปัญหาภัยพิบัติ ภัยสงคราม และการจับตาสถานการณ์การเลือกตั้งครั้งใหม่ที่เกี่ยวเนื่องกับแรงงานข้ามชาติในประเทศไทย โดยระบุว่า ตลอดปี 2568 มีการเปลี่ยนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานถึง 3 คน แต่กลับไม่ได้มีนโยบายใด ๆ ที่โดดเด่นออกมาเลย ในการช่วยแก้ปัญหาที่ผู้ประกอบการไทย นายจ้าง หรือตัวแรงงานข้ามชาติกำลังเผชิญอยู่ ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม เช่น กรณีตึกสตง.ถล่ม, กรณีแรงงานกัมพูชาเดินทางกลับประเทศจนส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมอ้อย ลำไย ก่อสร้าง, หรือกรณีที่ดีเอสไอจับกุมคอร์รัปชันในการขึ้นทะเบียนเอกสาร ซึ่งสิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทยอย่างมาก และสิ่งที่เห็นได้ชัดในปีนี้คือวิกฤตที่เกิดจากภัยพิบัติและเหตุการณ์ไม่คาดคิด ไม่ว่าจะเป็นกรณีตึกสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินถล่ม ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ที่ทำให้แรงงานกัมพูชากลับประเทศหลักแสนคน และล่าสุดคือน้ำท่วมหาดใหญ่ ซึ่งเป็นพื้นที่จ้างงานสูงในอุตสาหกรรมยางพารา ก่อสร้าง บริการ หรือโรงงานอาหารทะเล ปัญหาคือแม้แรงงานข้ามชาติจะต้องอยู่ในระบบประกันสังคม แต่ความเป็นจริงคือเอกสารการจ้างงานระหว่างแรงงาน นายจ้างตัวจริง และนายหน้า มักจะไม่ตรงกัน ทำให้แรงงานจำนวนมากเข้าไม่ถึงสวัสดิการประกันสังคมและการเยียวยาตามกฎหมายกำหนด ทั้งกรณีผู้เสียชีวิต หรือพิการจากตึกสตง.ถล่ม หรือแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากการหยุดงานในช่วงน้ำท่วมหาดใหญ่
“รัฐบาลไทยออกแบบระบบประกันสังคมมาอย่างดี แต่ในความเป็นจริงกลับปฏิบัติไม่ได้เลย ตั้งแต่เกิดแผ่นดินไหวมาจนถึงน้ำท่วมหาดใหญ่เป็นเวลานานแล้ว แต่กระทรวงแรงงานไม่มีความพยายามใดๆ ที่จะปรับปรุงให้แรงงานข้ามชาติได้รับการช่วยเหลือเยียวยาดูแล หรือบังคับให้นายจ้างเอาจริงเอาจังในการประกันสังคมแรงงาน” นางสาวโรยทรายระบุ
“นางสาวโรยทราย”กล่าวต่อว่า ข้อมูลสถิติระบุว่า ตัวเลขแรงงานข้ามชาติถูกกฎหมายได้เพิ่มขึ้นจากประมาณ 3,064,000 คนในปีที่แล้ว เป็น 3,651,000 คนในปีนี้ จากการเปิดจดทะเบียนรอบใหม่ อย่างไรก็ตาม ตัวเลขผู้ที่เข้าประกันสังคมยังคงอยู่ที่ประมาณ 1,400,000 คนเท่านั้น ช่องว่างของตัวเลขที่หายไปจากระบบ ทำให้คนไทยบางส่วนกังวลว่าแรงงานเหล่านี้อาจเป็นภัยหรือมาแย่งทรัพยากร ทั้งที่ความเป็นจริง สังคมไทยได้เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุและต้องพึ่งพาแรงงานข้ามชาติเป็นกลไกขับเคลื่อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
...การอพยพกลับประเทศของแรงงานกัมพูชาทำให้เกิดวิกฤตแรงงานขาดแคลนในภาคเกษตร โดยเฉพาะธุรกิจลำไยและอ้อย ซึ่งมีช่วงเวลาจำกัดในการเก็บเกี่ยว โดยธนาคารกสิกรไทยประเมินว่า กรณีวิกฤตแรงงานกัมพูชากลับประเทศนี้ ทำให้ธุรกิจลำไยมีความเสียหายสูงถึงประมาณ 2,600 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ากระทรวงแรงงานไร้ประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ จนสร้างภาระให้กับธุรกิจและเอกชนไทย นอกจากนี้ การที่กระทรวงแรงงานยังคงใช้โมเดล "หนึ่งนายจ้าง ต่อ หนึ่งแรงงาน" ทำให้ไม่สามารถตอบโจทย์ภาคเกษตรได้ โดยเฉพาะการเก็บเกี่ยวอ้อยที่ต้องใช้แรงงานตามฤดูกาล และไม่เคยมีวิสัยทัศน์ที่จะปรับปรุงโมเดลให้เกิดความยืดหยุ่นในการรวมกลุ่มแรงงานเพื่อย้ายการเก็บเกี่ยวจากไร่หนึ่งไปอีกไร่หนึ่งได้ ทั้งที่นี่คือปัญหาที่เป็นห่วงโซ่กระทบภาคธุรกิจไทยมานาน”
..แนวทางแก้ไขคือรัฐต้องเปิดให้การจ้างงานแรงงานข้ามชาติมีความสะดวกในการทำเอกสาร ระบบฐานข้อมูลต้องโปร่งใส เพื่อลดภาระนายจ้างและลดโอกาสการแสวงหาประโยชน์จากระบบนายหน้า ที่สำคัญคือต้องสร้างความยืดหยุ่นในการจ้างงาน โดยทบทวนโมเดล “หนึ่งนายจ้าง หนึ่งแรงงาน” ที่ไม่เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจสังคมในปัจจุบัน
“การเลือกตั้งครั้งใหม่เดือน ก.พ. 2569 พรรคการเมืองหลายพรรคกำลังใช้ประเด็นแรงงานข้ามชาติเป็นประเด็นโจมตีทางการเมืองอย่างไม่สร้างสรรค์ และขอให้ กกต. เริ่มจับตาดูแล้ว เพราะการนำเสนอที่บิดเบือนข้อมูลจะนำไปสู่การทุจริตคอร์รัปชันในอนาคต และบั่นทอนเศรษฐกิจที่ต้องพึ่งพาแรงงานข้ามชาติให้เกิดความไม่มั่นใจในสังคมไทย”
ตึก สตง.ถล่มยังเยียวยาแรงงานต่างชาติไม่ครบ
ด้าน”วรชัย สนั่นสุข มูลนิธิรักษ์ไทย” กล่าวในประเด็น ชีวิตแรงงานหลังฝุ่นตลบตึกสตง.ถล่ม ว่า สำหรับสถิติตัวเลขแรงงานที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ตึก สตง.ถล่มเมื่อวันที่ 28 มี.ค.ที่ผ่านมา มีผู้เสียชีวิตรวม 95 คน สูญหาย 2 คนสามารถยืนยันตัวบุคคลและส่งร่างให้ญาติแล้ว 93 คน เป็นชาวไทย 64 คน ชาวเมียนมา 25 คน ชาวกัมพูชา 3 คน และชาวลาว 1 คน ขณะที่การเยียวยาผู้เสียหายเท่าที่ได้รับข้อมูล มีจำนวน 11 เคสที่ยังไม่ได้รับค่าทดแทนจากกองทุนเงินทดแทนจากสำนักงานประกันคมและ ยอดที่ได้รับจริงปัจจุบันอยู่ 83.2 ล้านบาท ครอบครัวผู้เสียชีวิตได้รับเงินช่วยเหลือแล้ว 82 คน ผู้บาดเจ็บ 9 คน และยังมีอีกจำนวนหนึ่งที่ยังไม่ได้รับเงินเยียวยา ซึ่งเป็นผู้มีสัญชาติเมียนมาและกัมพูชา
...บทเรียนสำคัญจากเหตุการณ์ตึก สตง. ถล่มครั้งนี้ให้บทเรียนสำคัญใหญ่ 2 ประการ คือ 1.การจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐมีปัญหา มีการก่อสร้างสถานที่ของรัฐ ไม่ได้อยู่ภายใต้มาตรฐานกฎหมายตรวจสอบตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร ดังนั้นสถานที่ก่อสร้างตึกของรัฐโครงการดังกล่าว จึงถูกปรับเปลี่ยนแก้ไขแบบก่อสร้างระหว่างทางได้ เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เกิดเหตุตึกถล่มเพียงตึกเดียวทั้งประเทศ การจัดซื้อจัดจ้างมองเพียงมิติงบประมาณและแบบก่อสร้าง ไม่คำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นว่าแรงงานจะได้รับผลกระทบความเสี่ยงอันตรายจากการแก้ไขแบบก่อสร้างหรือไม่ และยังไม่มีผู้รับผิดชอบเรื่องนี้ 2.การไม่มีนโยบายที่มีเสถียรภาพของกระทรวงแรงงาน การจ้างงานแบบซับคอนเทรคในการก่อสร้างตึก สตง. ทำให้สิทธิของแรงงานข้ามชาติไม่เท่ากัน

การเข้าถึงสิทธิแม้กฎหมายจะเปิดให้เท่าเทียม แต่หลายครอบครัวต้องรอเงินเยียวยานาน เพราะขั้นตอนพิสูจน์สิทธิยุ่งยาก นิยามนิติสัมพันธ์อ้างอิงกระทรวงแรงงาน ไม่เหมือนกัน นายจ้าง เอกสารใบอนุญาตการทำงาน ถ้านายจ้างกับสถานที่ทำงานไม่ตรงกัน หรือนายจ้างไม่จ่ายเงินสมทบประกันสังคม มีโอกาสที่ผู้ประสบภัยจะต้องไปฟ้องบังคับคดีด้วยตนเอง และไม่ได้รับการคุ้มครองตาม พ.ร.บ เงินทดแทน 2537 ทั้งนี้ยังมีในเรื่องของบทบาทพนักงานตรวจแรงงานต้องเชิงรุกในไซต์ก่อสร้าง และสามารถสั่งหยุดงานในพื้นที่เสี่ยงได้ทันทีโดยไม่ต้องรอเหตุ
“วรชัย” กล่าวต่อไปว่า สำหรับชีวิตแรงงานหลังเหตุการณ์ สิ่งที่พวกเขาเผชิญจริงเมื่อเหตุการณ์ผ่านไป แรงงานและครอบครัวต้องเผชิญกับภาระหนี้ค่าใช้จ่ายระยะเวลาว่างงาน และร่างกายที่ต้องฟื้นฟู ใบอนุญาตทำงานที่เสี่ยงหมดอายุ และผู้ประสบภัยมีความสภาวะโรคเครียดหลังผ่านเหตุการณ์ร้ายแรง (PTSD) เรื่องความมั่นคงทางจิตใจ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นแม้ประเทศไทยจะมีกฎหมายรองรับในเชิงหลักการแต่ “ช่องว่างในการบังคับใช้” ทำให้ชีวิตแรงงานข้ามชาติจึงยังคงเปราะบางวันนี้ไม่ใช่เพียงการรำลึกถึงแรงงานที่เดินทางจากบ้านเกิด แต่เป็นวันที่เราต้องถามตัวเองว่า กฎหมายแรงงานไทยที่มีอยู่สามารถปกป้องแรงงานทุกคนได้จริงหรือไม่ เหตุการณ์ตึกถล่มที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน เป็นเหตุการณ์ที่สะเทือนใจ และสะท้อนให้เราเห็นว่า แรงงานโดยเฉพาะแรงงานข้ามชาติคือผู้รับภาระความเสี่ยงสูงที่สุดในระบบเศรษฐกิจ
“วรชัย” กล่าวถึงข้อเสนอในการแก้ปัญหาในอนาคต ว่า นายจ้างต้องจัดสภาพการทำงานที่ปลอดภัย และต้องแจ้งอุบัติเหตุร้ายแรงภายใน 24 ชั่วโมง ซึ่งยังมีปัญหาการบังคับใช้ และหลายครั้งแรงงานไม่กล้าแจ้งเหตุเพราะ กลัวผลกระทบต่อการทำงานจึงไม่กล้าปฏิเสธงานที่มีความเสี่ยง สำหรับ พ.ร.บ.เงินทดแทน พ.ศ. 2537 แรงงานทุกคนที่เป็นลูกจ้าง ไม่ว่าจะไทยหรือข้ามชาติ ต้องได้รับค่ารักษาพยาบาล เงินทดแทนการขาดรายได้ และเงินชดเชยการเสียชีวิต แต่แรงงานหลายคนไม่ได้รับสิทธิเพราะนายจ้างไม่ขึ้นทะเบียนเข้าระบบประกันสังคม อีกทั้งเอกสารใบอนุญาตการทำงานที่ชื่อนายจ้างไม่ตรงกับทำงานจริง เอกสารที่ถือไว้ก็มีโอกาสไม่ได้รับสิทธิตามกฎหมาย และเมื่อนายจ้างไม่จ่ายเงินสมทบเข้ากองทุน ลูกจ้างก็จะไม่ได้รับเงินทดแทนในกองทุนพ.ร.บ.เงินทดแทน เมื่อจ่ายเป็นลักษณะจ่ายนอกกองทุนลูกจ้างต่างชาติต้องติดตามบังคับคดีฟ้องแพ่งกับนายจ้างด้วยตนเอง
“นี้คือความจริงของแรงงานข้ามชาติจำนวนมากในประเทศไทย เมื่อเกิดเหตุมักจะเผชิญสภาพปัญหานี้ สิทธิและกฎหมายที่ควรปกป้องแรงงาน แต่ยังเข้าถึงได้ไม่ทั่วถึง ประเทศไทยมีกรอบกฎหมายที่ค่อนข้างชัดเจนและบทบาทการตรวจสถานที่ทำงานไชต์ก่อสร้างของพนักงานตรวจแรงงาน เพราะทราบว่าบางบริษัทจ่ายค่าจ้าง 2 เดือนต่อหนึ่งครั้งก็มี เรามี พ.ร.บ.ความปลอดภัย อาชีวอนามัยฯ พ.ศ. 2554 พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541พ.ร.บ.เงินทดแทน พ.ศ. 2537 ที่ต้องบังคับใช้อย่างเข้มงวด แรงงานคือผู้สร้างเมือง โรงงาน อาคาร และระบบเศรษฐกิจของประเทศ แต่ในหลายครั้งพวกเขาเป็นคนแรกที่ได้รับผลกระทบ และเป็นคนสุดท้ายที่ได้รับความช่วยเหลือ ดังนั้นแรงงานต้องได้รับความปลอดภัยและการปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชนด้วย ”นายวรชัย กล่าว
ขณะที่เนื้อหาในช่วงการเสวนาในหัวข้อ “โอกาสประเทศไทยด้วยยุทธศาสตร์การบริหารจัดการแรงงานข้ามชาติทั้งระบบ” ที่มีบุคคลจากหลายภาคส่วนที่เกี่ยวข้องมาให้ความเห็นกัน ก็มีความเห็นและข้อมูลที่น่าสนใจ เช่นกัน
อย่างเช่นความเห็นของ “ศิรดา เขมานิฏฐาไท อาจารย์ประจำสำนักวิชาการระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ “ที่กล่าวในหัวข้อเลือกตั้งพม่า 2025 และแนวโน้มต่อสถานการณ์การย้ายถิ่นจากความไม่สงบ โดยระบุว่า สำหรับผลกระทบข้ามชาติของการเลือกตั้งเมียนมาต่อแรงงานและผู้พลัดถิ่นในไทย การเลือกตั้งในเมียนมาไม่ได้ส่งผลจำกัดอยู่แค่ผลลัพธ์ทางการเมืองภายในประเทศเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบข้ามชาติอย่างลึกซึ้งมายังประชากรชาวเมียนมาที่อยู่ในประเทศไทย
ประกอบด้วย1. การย้ายถิ่นฐานและความรุนแรงที่เพิ่มขึ้น การเลือกตั้งที่จัดขึ้นภายใต้ระบอบทหารในครั้งนี้ จะไม่สามารถหยุดยั้งกระบวนการย้ายถิ่นฐานได้ การเลือกตั้งนี้ไม่ได้นำไปสู่การปฏิรูปทางการเมืองที่แท้จริง แต่มีเป้าหมายเพื่อรวบอำนาจของผู้นำระบอบทหาร และการสู้รบและความรุนแรงจะยังคงดำเนินต่อไป ดังนั้นสถานการณ์จะยิ่งกระตุ้นให้มีจำนวนผู้พลัดถิ่นเข้าสู่ประเทศไทยมากขึ้น เนื่องจาก ความรุนแรงที่ทวีความเข้มข้น จะผลักดันให้ทั้งแรงงานข้ามชาติ, ผู้ลี้ภัย, ชนชั้นกลางที่แสวงหาโอกาสทางเศรษฐกิจ, และเยาวชนที่ต้องการโอกาสทางการศึกษา ต้องหลบหนีออกจากประเทศ นอกจากนี้ สภาพปัจจุบันของเมียนมายังขาดความพร้อมในทุกด้าน ทั้งระบบการศึกษาและสาธารณสุขที่ล้มเหลว ความขัดแย้งที่ยังไม่ยุติเพราะขาดการเจรจา การบังคับการเกณฑ์ทหารก็ยังดำเนินต่อไปและระบบเศรษฐกิจที่ไม่เอื้อต่อคนส่วนใหญ่ แม้แต่ชนชั้นนำทางเศรษฐกิจก็ยังรู้สึกไม่มั่นคง
... 2.การควบคุมข้ามชาติจากรัฐบาลทหารหลังการเลือกตั้ง รัฐบาลทหารที่เกิดขึ้นหลังการเลือกตั้งจะใช้ผลการเลือกตั้งเป็นข้ออ้างในการสร้างความชอบธรรม และดำเนินนโยบายควบคุมการเดินทางออกนอกประเทศหรือการควบคุมข้ามชาติอย่างเข้มงวดมากขึ้น โดยเริ่มเห็นสัญญาณมาตลอดในการควบคุมประชาชนที่อยู่นอกประเทศ ซึ่งจะทวีความรุนแรงมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงและขยายประเภทของหนังสือเดินทาง เพื่อใช้เป็นกลไกในการควบคุม และปัจจุบันพบกรณีการไม่ต่ออายุหนังสือเดินทาง 3.แรงกดดันต่อผู้ย้ายถิ่นฐานในประเทศไทย เมื่อผลการเลือกตั้งได้รับการรับรองหรือถูกมองว่ามีความชอบธรรมจากบางฝ่าย จะทำให้การเลือกตั้งอาจถูกนำมาใช้เป็นเหตุผลในการสร้างแรงกดดันต่อผู้ย้ายถิ่นฐานชาวเมียนมาในไทย ด้วยความเข้าใจที่ไม่ครบถ้วนในความซับซ้อนทางการเมืองของเมียนมา ทางการไทยอาจพิจารณาการให้ความคุ้มครองลดลง หรือร่วมมือกับรัฐบาลเมียนมาหลังการเลือกตั้งในการผลักดันการส่งคนเมียนมากลับประเทศ หรือบังคับให้ชาวเมียนมาต้องมีเอกสารที่ออกโดยรัฐบาลเมียนมาอย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มที่กลุ่มอนุรักษนิยมสุดโต่งของไทยอาจใช้การเลือกตั้งเป็นเหตุผลเพื่อเพิ่มแรงต่อต้านต่อต่อแรงงานข้ามชาติและผู้ลี้ภัย
4.ความสนใจจากนานาชาติที่ลดลง ประชาคมโลกตะวันตกมีแนวโน้มที่จะลดความสนใจในการช่วยเหลือทางมนุษยธรรมลง ทั้งในแง่ของการให้สถานะคุ้มครอง และการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้พลัดถิ่นภายในประเทศ ซึ่งปัจจัยนี้จะส่งผลให้ผู้พลัดถิ่นเลือกที่จะเดินทางเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น เพื่อแสวงหาความอยู่รอด 5.การแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์และรูปแบบการพลัดถิ่นใหม่ การแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการที่ระบอบทหารเมียนมากระชับความสัมพันธ์กับรัสเซียและจีน อาจจะนำไปสู่การพลัดถิ่นรูปแบบใหม่ ๆ เพิ่มเติม เช่น โครงการพัฒนาขนาดใหญ่ เขตเศรษฐกิจพิเศษ การสร้างโรงไฟฟ้า และ เหมืองแร่ เป็นต้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ บทบาทใหม่ บนถนนการเมือง หวั่นใช้ทุนเทาซื้อเสียงเลือกตั้ง!
สนามเลือกตั้งเมืองหลวง ประเทศไทย"กรุงเทพมหานคร"เป็นอีกหนึ่งสนามเลือกตั้งที่คนทั้งประเทศจับตามองกันว่าผลการเลือกตั้ง 8 ก.พ.2569 "พรรคประชาชน"
เสธ ทบ. เผยพบร่างทหาร 2 นาย เหตุปะทะพื้นที่ปราสาทตาควาย 'เนิน 350' แล้ว
พล.อ.ชัยพฤกษ์ ด้วงประพัฒน์ เสนาธิการทหารบก เปิดเผยความคืบหน้ากรณีการปะทะในพื้นที่ปราสาทตาควาย และบริเวณเนิน 350 จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการสู้รบอย่างหนั
'เพื่อไทย' ต้อนรับว่าที่ผู้สมัคร สส. 3 เขตโคราช
ที่พรรคเพื่อไทย นำโดย นายชูศักดิ์ ศิรินิล รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วยนายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย
โคราชเดือด! ถล่มยิงเป้าผู้นำเขมร
สโมสรกีฬายิงธนูโคราชเปลี่ยนเป้าซ้อมเป็นรูปผู้นำกัมพูชา ทั้งฮุน เซน–ฮุน มาเนต รวมถึงโฆษกกองทัพและอินฟลูเอนเซอร์เขมร ลูกค้าแห่ทดลองยิง ระบุเป็นกิจกรรมผ่อน
ทัพเรือเผยเหตุเขมรบุกหนัก เคยใช้สไนป์เปอร์ลอบยิง ผบ.หน่วย ก่อนเปิดฉากรบ
โฆษกกองทัพเรือเปิดเผย ช่วงก่อนการโจมตีบ้านเรือน 3 หลัง ฝ่ายกัมพูชามีความพยายามยั่วยุหลายครั้ง รวมถึงเหตุใช้พลซุ่มยิงลอบยิงผู้บังคับหน่วยระดับผู้นำ ก่อนสถานการณ์พัฒนาไปสู่การสู้รบ
ทภ.2 สรุปชายแดนไทย-กัมพูชา ปะทะเป็นระยะ โดรนฝ่ายตรงข้ามหนาแน่น
กองทัพภาคที่ 2 รายงานภาพรวมสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา พบการปะทะต่อเนื่องในหลายพื้นที่ ฝ่ายตรงข้ามใช้งานโดรนและอาวุธหนักหนาแน่น ขณะฝ่ายไทยยิงตอบโต้ทำลายที่ตั้งยิงและยานพาหนะได้หลายครั้ง สถานการณ์ยังอยู่ในการควบคุม

