แต่งตั้งนอกฤดูกาล

ดูจะถูกโฉลกกับการแต่งตั้งนอกฤดูกาล บิ๊กเม่น-พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ ผู้บังคับการสืบสวน สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ผบก.สส.สตม.) นรต.รุ่น 48 ในการแต่งตั้งตำรวจวาระเดือนเมษายน

ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการแต่งตั้ง นายพลแก้มลิง เป็นโบนัสให้ตำรวจที่เหลืออายุราชการอีก 6 เดือนได้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น แต่ก็จะมีการแต่งตั้งแทนตำแหน่งว่าง จากผู้ที่สมัครใจเข้าร่วมโครงการเกษียณอายุราชการก่อนกำหนด หรือเออร์ลีรีไทร์

ซึ่งมีไม่กี่ตำแหน่งก็ยังมีชื่อ บิ๊กเม่น ขยับขึ้นเป็น รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 (รอง ผบช.ภ.8) แทน พล.ต.ต.สหรัฐ  ศักดิ์ศิลปชัย รอง ผบช.ภ.8 ที่ขึ้นเป็น ผบช.สตส. เหมือนเมื่อครั้งวาระเดือนเมษายนปี 2563

ส่วนใหญ่ก็ทำบัญชีแก้มลิงกันไป แต่ส่วนน้อยไม่กี่ตำแหน่งที่ทำแทนตำแหน่งว่างจากเออร์ลีรีไทร์ ก็มีชื่อ บิ๊กเม่น สมัยเป็น รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โผล่ขยับติดยศ  พล.ต.ต. ขึ้นเป็น ผู้บังคับการข่าวกรองยาเสพติด แบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย จากนั้นพอถึงการแต่งตั้งนายพลวาระประจำปี เดือนกันยายน 2563 บิ๊กเม่น นั่งเก้าอี้ ผู้บังคับการข่าวกรองยาเสพติด เพียง 6 เดือน ก็มีชื่อโยกระนาบมาเป็น ผบก.สส.สตม. ...ไม่รู้คราวนี้ได้ขึ้นเป็น รองผบช.ภ.8 กลางปี แล้วพอปลายปีจะโยกไปเป็น รอง ผบช.หน่วยไหนอีกดี หรือจะกลับถิ่นเก่า สตม.เอ่ย 

เข้าตามกฎ เข้าตามเกณฑ์ เข้าตามระเบียบได้รับแต่งตั้งเป็น นายพลแก้มลิง สำหรับ พล.ต.ท.ชยพล ฉัตรชัยเดช ผู้ช่วย ผบ.ตร. เพราะเหลืออายุราชการอีกเพียง 6 เดือนจะเกษียณอายุราชการวันที่ 30 กันยายน 2565 ทำให้วงประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ที่มี  นายกฯ ตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหมเป็นประธาน อนุมัติแต่งตั้ง ผู้ช่วยฯ ชยพล ขึ้นเป็น ที่ปรึกษาพิเศษ ตร. เทียบเท่า รอง ผบ.ตร.  ติดยศ พล.ต.อ. ซึ่งหลังจากเสร็จสิ้นขั้นตอนต่างๆ ผู้ช่วยฯ ชยพล ติดยศเป็น พล.ต.อ.ชยพลเรียบร้อย ก็น่าจะยื่นหนังสือลาออกจากราชการ เพื่อไปชิงตำแหน่ง เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือเลขาฯ กกต. ที่เจ้าตัวได้ไปยื่นใบสมัครเอาไว้ในวันสุดท้าย ตามที่ กกต.มีประกาศรับสมัครคัดเลือกบุคคลเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ กกต. โดยเปิดรับสมัครระหว่างวันที่ 10-28 มกราคมที่ผ่านมา โดยมีคู่แข่งสำคัญคือ แสวง​ บุญมี​ รองเลขา​ธิการ กกต. ที่ได้ยื่นสมัครเป็นรายแรก ส่วนใครจะได้นั่งเก้าอี้ “เลขาฯ กกต.” คงต้องรอลุ้น รอติดตามกัน แต่ถ้าไปถาม บิ๊กปู-พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล อดีต รอง ผบ.ตร. ก็คงต้องเชียร์ลูกน้องเก่าอย่าง ผู้ช่วยฯ ชยพล เต็มที่ เต็มกำลังเหมือนเคย 

เคยเห็นแต่พวก นักเลงคีย์บอร์ด โพสต์ถ้อยคำสะใจตัวเอง กล่าวร้ายพาดพิงคนอื่น พอโดนไล่บี้ โดนตามจับ ก็รีบลบโพสต์ทิ้งป้องกันตัวเอง มาคราวนี้ก็เพิ่งเคยเห็น  ตำรวจ ก็มี นักเลงคีย์บอร์ด แถมไม่ใช่ตำรวจเล็กๆ  ตำรวจเด็กๆ แต่เป็นตำรวจใหญ่ มียศ มีตำแหน่ง ลุกมาโพสต์กลางดึก เหน็บแนมแกมประชดแม่บ้านตำรวจ ในทำนองพวกคุณนายชอบสั่งโน่นสั่งนี่ แต่พอรุ่งสางแรงกดดัน แรงบีบเริ่มเยอะ เลยลบโพสต์ออกทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เลยนึกไปถึงพฤติกรรมของนักเลงคีย์บอร์ดทั่วไปที่ชอบสะท้อนอารมณ์ของตัวเองกระแทกผ่านทางแป้นพิมพ์   พอระบายเสร็จสมอารมณ์หมาย ทีนี้ฟีดแบ็กเริ่มเหวี่ยงกลับเลยชิงลบทิ้ง เห็นแล้วก็อดนึกถึงตอนที่ ผบ.ปั๊ด-พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข แม่ทัพใหญ่สีกากี มอบหมายให้ บิ๊กหิน-พล.ต.อ.วิสนุ ปราสาททองโอสถ จเรตำรวจแห่งชาติ (จตช.) เป็นประธานโครงการจัดทำแนวทางการใช้สื่อสังคมออนไลน์ เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ อินสตาแกรม TIKTOK  ของข้าราชการตำรวจ ที่ตอนหนึ่ง บิ๊กหิน บอก "ความเป็นตำรวจอยู่ในตัวตลอดเวลา เพราะฉะนั้นการแสดงออกอะไรก็ต้องเหมาะสม ไม่ปิดกั้น แต่ต้องพิจารณาเองว่าผลอะไรจะตามมา อย่างผมกับท่าน ผบ.ตร.ถอดเครื่องแบบก็ยังเป็นตำรวจ จะไปเต้นอะไรออกสื่อก็คงไม่เหมาะสม จึงต้องทำโครงการนี้มาย้ำเตือนตำรวจ โดยยึดแนวทางหลัก คิดดี คิดได้ คิดเป็น คิดก่อนโพสต์" เดี๋ยวจะหาว่าหล่อไม่เตือน (ฮา) 

เห็นตัวเลขการแจ้งความออนไลน์ ที่ เดอะแจ๊ก-พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ออกมาเปิดเผยสถิติหลังเปิดศูนย์รับแจ้งความออนไลน์ตั้งแต่วันที่ 1-9 มี.ค.65 หรือแค่เพียง 9 วัน ก็มีคนแห่แจ้งความแล้วถึง 1,600 คดี บ่งบอกถึงความเดือดร้อนของประชาชนในสังคมเกี่ยวกับภัยออนไลน์มีสูงมาก คงต้องฝาก ผบ.ปั๊ด และ บิ๊กเด่น-พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. ที่ดูแลหน้างานปราบปรามภัยออนไลน์ กระตุ้นให้ บิ๊กแจง-พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบช.สอท.) หรือ ผบช.ไซเบอร์ กระตุ้นลูกน้องเร่งกวาดล้างภัยทางออนไลน์เหล่านี้ให้ประชาชนอุ่นใจหน่อย เพราะต่างเดือดร้อนกันไปทั่ว ขนาด บิ๊กแจง เองยังถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์โทร.ไปหลอก จนมีคลิปการปะทะคารม การประกาศศักดากันมาแล้ว แต่สำหรับชาวบ้านไม่มีตำแหน่งใหญ่โตไปขู่พวกมัน มีแต่ตกหลุมพรางโดนหลอกหมดตัว อย่างไรเสียก็ฝาก บิ๊กแจง ช่วยชาวบ้านด้วย 

ถ้าย้อนกลับไปเมื่อครั้งที่กองทัพอากาศ (ทอ.) จัดซื้อเครื่องบิน Gripen จากบริษัท SAAB ในขณะนั้นเป็นช่วงหลังรัฐประหารปี 2549 ไม่นาน อาจจะดูเหมือนง่าย แต่ ทอ.ก็ต้องฝ่าหลายด่าน เนื่องจากเป็นช่วงที่สหรัฐฯ  ก็จับจ้องเรื่องการเมืองที่ไม่เป็นประชาธิปไตยของไทย และไม่ขายของให้ไทยอยู่แล้ว และเมื่อสวีเดนมีตัวเลือกที่ดีในการขายระบบ Network Centric ให้ไทย และเป็นจุดเริ่มต้นเครื่องบิน Gen.4.5 ที่ ทอ.ไทยได้รับองค์ความรู้และได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีพอสมควร สิ่งที่  ทอ.ในครั้งนั้นให้ความสำคัญคือ ความพยายามชี้แจงทุกข้อสงสัย มีการแถลงชี้ข้อดี ข้อเสีย และความคุ้มค่า เรียกว่ากระแสสังคมในช่วงนั้นที่ “โซเชียลมีเดีย” ยังไม่ฟีเวอร์ ก็เลยทำให้ไทยมี Gripen ประจำการที่กองบิน 7  สุราษฎร์ธานี แบบไม่ยากเย็น มาปีนี้ บิ๊กป้อง-พล.อ.อ.นภาเดช ธูปะเตมีย์ ผบ.ทอ. แสดงความมุ่งมั่นในการจัดหา F35 แทนเครื่องที่จะปลดประจำการ ในแวดวงอาวุธแม้จะเห็นแตกเป็นสองทาง แต่ส่วนใหญ่ยังยกให้ F35  คือตัวเลือกที่ดีที่สุด แต่ก็ใช่ว่าสหรัฐฯ จะขายให้ง่ายๆ  เหมือนเครื่องรุ่นอื่น เพราะเกรงข้อมูลด้านเทคโนโลยีจะรั่วไหลไปยังประเทศคู่ตรงข้าม จึงไม่ใช่ว่าไทยจะซื้อ F35 ได้ราบรื่น

ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา พล.อ.ต.ประภาส สอนใจดี  โฆษกกองทัพอากาศ ได้ทำข้อชี้แจงความคืบหน้าในเรื่องการจัดซื้อออกมา 3 ฉบับ ไล่มาตั้งแต่กระบวนการจัดซื้อเครื่องบินขับไล่ สเปกที่ ทอ.ต้องการ รวมไปถึงการตอบข้อสังเกตเรื่องการถ่ายทอดเทคโนโลยี ที่จะครอบคลุมไปยังอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของไทยหรือไม่ และคาดว่า  ทอ.จะทยอยให้ข้อมูลเช่นนี้ปูพรมไปถึงช่วงที่จัดสรรงบประมาณ ระหว่างนี้ก็ดำเนินการควบคู่ไปกับการประสานกับ JUSMAG ไทย ก่อนจะส่งเรื่องไปที่สหรัฐฯ และต้องผ่านหลายหน่วยงานในการพิจารณา ในช่วงนี้ ผบ.ป้อง จึงใช้กำหนดการเดินทางไปเยือนประเทศต่างๆ โดยเฉพาะสหรัฐฯ ในการแสดงเจตจำนงของ ทอ.ไทย โดยช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็ได้เดินทางไปเยือนกองทัพอากาศสหรัฐฯ ประจำภาคพื้นแปซิฟิก ที่เกาะกวม และในเดือนเมษายนนี้ก็มีกำหนดการเดินทางไปเยือน เพนตากอน ด้วย

ทั้งนี้เว็บไซต์สถานทูตสหรัฐฯ เผยแพร่ข่าวการเยือนดังกล่าวทันที โดยนำเสนอเป็นคำกล่าวของ พล.อ.อ.เคน  วิลส์บาก ผู้บัญชาการกองทัพอากาศสหรัฐฯ ภาคพื้นแปซิฟิก (PACAF) ที่กล่าวคำต้อนรับ โดยระบุว่า  การประชุมระหว่างผู้นำกองทัพอากาศสหรัฐฯ และกองทัพอากาศไทย จะยังประโยชน์ในขณะที่กองทัพของเราทั้งสองชาติมุ่งมั่นปฏิบัติหน้าที่เพื่ออินโด-แปซิฟิกที่เสรี เปิดกว้าง และมั่งคั่งต่อไป กองทัพอากาศสหรัฐฯ มุมานะที่จะยกระดับความสัมพันธ์กับกองทัพอากาศไทย ขณะที่กองทัพอากาศไทยปรับการทำงานให้ทันสมัย พลอากาศเอก นภาเดช เป็นเพื่อนและหุ้นส่วนกับสหรัฐฯ มาเป็นเวลานาน โดยได้เข้าร่วมการฝึกอบรม United States Air  Force Undergraduate Pilot Training  และเข้าศึกษาที่สถาบัน Air Command and  Staff College ในเวลาต่อมา ผมยินดีที่ได้ใช้โอกาสนี้หารือในประเด็นที่จะเป็นประโยชน์ต่อการยกระดับสัมพันธไมตรีด้านความมั่นคงระหว่างสหรัฐฯ และไทยต่อไป.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เหยื่อ 'แก๊งนักรบ' โผล่อีก! ผู้บังคับบัญชาพาพลทหารมอบตัวแล้ว

จากกรณีที่นายวิ่งและนางสาวกุลนันท์ ชาว อ.ละหานทราย จ.บุรีรัมย์ ซึ่งเป็นพ่อและแม่ของ นายระพีพัฒน์ หรือแพต อายุ 16 ปี ได้นำคลิปหลักฐานขณะลูกชายถูกรุมทำร้ายร่างกาย

ชาวบ้านผวา! แจ้งตำรวจช่วย โจ๋ปาประทัดลูกบอล ยิงปืนทางเข้าชุมชน

พ.ต.อ.รักศักดิ์ เมฆจินดา ผกก.สภ.สำโรงใต้ จังหวัดสมุทรปราการ ได้รับแจ้งจากนายประเทศ เข็มนิล อายุ 65 ปี ชาว ตำบลสำโรงกลาง อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ

'โจ๊ก' ยื่นอุทธรณ์คำสั่งให้ออกจากราชการ ปูดแผนผังแก๊ง 4x100 สยบปีกพระพรหม

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) เดินทางมายังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อยื่นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม (ก.พ.ค.ตร.) กรณี พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ร

'บิ๊กต่าย' เซ็นแบ่งงานรองผบ.ตร. 'ธนา-สราวุฒิ' แทน 'บิ๊กโจ๊ก-บิ๊กรอย'

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.รรท.ผบ.ตร.) มีคำสั่ง ตร.ที่ 176/2567 ลงวันที่ 17 เม.ย. 2567 เรื่องกำหนดลักษณะงานและการมอบอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบให้รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ