ทำไม นายกฯ ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องนำทีมประเทศไทยไปร่วมประชุม COP26 ที่เมืองกลาสโกว์, สหราชอาณาจักรในช่วงนี้?
น่าจะเป็นเพราะรัฐบาลมั่นใจว่าจะสามารถแสดงตนว่ามีความพร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหาโลกร้อน หรืออาจจะเป็นเพราะว่าต้องการให้เกิดภาพของผู้นำไทยมีความเป็นสากล
แต่ตราบที่ยังไม่สามารถทำให้คนไทยตระหนักร่วมกันถึงอันตรายของปัญหาโลกร้อนในชีวิตประจำวัน ก็คงยังไม่อาจจะสรุปว่ารัฐบาลไทยประสบความสำเร็จในประเด็นนี้
ทำไมคนไทยต้องสนใจการประชุม COP26?
COP26 คือการประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตามกรอบอนุสัญญาของ UNFCCC ที่มีการลงนามตั้งแต่ปี 1992
ข้อตกลงนี้มีความสำคัญอย่างไรหรือ?
ที่คนไทยต้องรับรู้คือ การพบปะระดับโลกมีจุดประสงค์เพื่อหารือแนวทางที่แต่ละประเทศจะรับมือกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ให้ทุกประเทศได้สร้างความตระหนักถึง “ความรับผิดชอบร่วมกัน” ในการรักษาโลกใบนี้ไว้ เพราะมนุษยชาติมีหน้าที่ร่วมกันในการไม่ทำให้เกิดหายนะกับสิ่งแวดล้อมโลก
คนรุ่นนี้จะส่งโลกใบนี้ต่อให้คนรุ่นต่อไปอย่างรับผิดชอบอย่างไร คือคำถามใหญ่ที่ต้องร่วมกันหาทางออกระดับโลก
COP26 ย่อมาจาก Conference of the Parties ครั้งที่ 26 ปีนี้จัดขึ้นที่เมืองกลาสโกว์, สกอตแลนด์ของสหราชอาณาจักรช่วง 1-12 พฤศจิกายน
เจ้าภาพร่วมคือสหราชอาณาจักรกับอิตาลีจะเข้าร่วมประชุมคือผู้นำจากประเทศภาคีสมาชิก 197 ประเทศ
ถึงวันนี้ได้รับคำยืนยันว่าคนระดับโลกที่จะเข้าร่วม เช่น สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 (หากคณะแพทย์ประจำพระองค์อนุญาต), Sir David Attenborough, Pope Francis รวมถึงนักรณรงค์สิ่งแวดล้อมคนดังอย่าง Greta Thunberg
ไม่นับสื่อมวลชนและองค์กรเอ็นจีโออีกจำนวนมากมายที่ต้องการจะกดดันให้ผู้นำโลกทำตามเงื่อนไขตามข้อตกลงอย่างเป็นรูปธรรม
ปีนี้มีการตอกย้ำถึงความสำคัญของการประชุมรอบนี้อย่างมาก มีความเห็นและแนววิเคราะห์จากบุคคลระดับโลกหลายคนที่ตอกย้ำที่ความจำเป็นเร่งด่วนของการแก้ปัญหาโลกร้อนอย่างจริงจัง พูดมามากแล้ว ถึงเวลาต้องลงมือทำ
เลขาธิการสหประชาชาติอันโตนิโอ กูเตอร์เรส อ้างถึงรายงานของผู้เชี่ยวชาญล่าสุดที่บอกว่า สัญญาณต่างๆ ยืนยันตรงกันว่าโลกกำลังเผชิญกับสิ่งที่เรียกว่า A code red for humanity แปลว่านี่คือการเตือนภัยแบบ 'รหัสแดง'
เท่ากับเป็นสัญญาณเตือนภัยที่รุนแรงอย่างยิ่งต่อมวลมนุษยชาติ อีกนัยหนึ่งคือคำเตือนที่ว่าภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศจะไม่จบสิ้นจนกว่ามนุษย์จะหยุดการปล่อยมลพิษเหล่านี้ได้
สาเหตุแห่งโลกร้อนนั้นส่วนใหญ่เป็นฝีมือมนุษย์ทั้งสิ้น
ใครที่ได้อ่านรายงานล่าสุดของคณะผู้เชี่ยวชาญที่ระดมสมองเพื่อวิเคราะห์แนวโน้มหัวข้อนี้จะตระหนักว่าโลกกำลังตกอยู่ในสภาพที่เปราะบาง, สุ่มเสี่ยงและอันตรายเป็นอย่างยิ่ง
คณะทำงานพิเศษชุดนี้มีชื่อว่า คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC หรือ Inter-governmental Panel on Climate Change)
ความจริงย้อนกลับไปรายงานเมื่อปี 2013 คณะนักวิจัยชุดนี้ก็ยืนยันว่า ต้นเหตุหลักของการเกิดภาวะโลกร้อนและภัยพิบัติทั้งสิ้นทั้งปวงนี้ล้วนเกิดจาก "การกระทำของมนุษย์ทั้งสิ้น"
จึงคาดหวังกันว่าการประชุมระดับโลกอย่าง COP26 จะเป็นความหวังสำคัญเพื่อแก้ปัญหาร่วมกัน โดยเฉพาะความร่วมมือและการทำงานอย่างจริงจังของประเทศมหาอำนาจที่เป็น “จำเลยหลัก” ของปัญหานี้
เพราะประเทศยักษ์ๆ ที่มีเศรษฐกิจระดับนำของโลกนั้นมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนเป็นลำดับต้นๆ
ทำให้ประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะชาติกำลังพัฒนาต้องได้รับผลกระทบรุนแรงจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ
การพบปะกันครั้งที่สำคัญที่สุดในเรื่องนี้น่าจะเป็น COP21 เมื่อปี 2015 นั่นคือจุดกำเนิดของ “ความตกลงปารีส” (Paris Agreement) ที่กลายเป็น “เสาหลัก” ของการเรียกร้องให้มีความร่วมมืออย่างจริงจังในระดับโลก
ทุกประเทศต้องมาประกาศเป้าหมายของตนเองว่าจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขึ้นไปในชั้นบรรยากาศเท่าไหร่, เมื่อไหร่ และด้วยแผนปฏิบัติการอย่างไร
ข้อตกลง Paris Agreement ระบุถึงความร่วมมือในการจัดการกับสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง
เช่น การรักษาอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกให้ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส
และพยายามควบคุมให้เพิ่มขึ้นไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส
เมื่อเทียบกับยุคก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม ซึ่งนับเป็นการสร้างความร่วมมือครั้งแรกๆ และหากมวลมนุษชาติทำได้ จะเป็นการลดการเผชิญหน้ากับผลกระทบที่ร้ายแรงที่สุดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
การประชุมรอบที่แล้ว หรือ COP25 ที่ผ่านมาเดิมทีจะมีการกำหนดเป้าหมายการดำเนินงานให้ชัดเจน
เหตุเพราะปีถัดมาคือ 2020 เป็นปีที่ความตกลงปารีสเริ่มมีผลบังคับใช้แล้ว แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะการประชุมครั้งนั้นจบลงแบบไร้ข้อสรุปชัดเจน
ผลก็คือทำให้การบรรลุเป้าหมายตาม Paris Agreement ต้องร้องเพลงรอต่อไป การประชุม COP26 ในปีนี้จึงต้องพิสูจน์ว่าจะไม่เหลวอีก
เช่น จะต้องให้เร่งสร้างความร่วมมือจากแต่ละประเทศเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามข้อตกลงปารีสให้ได้อย่างจริงจัง
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเลิกใช้ถ่านหิน การส่งเสริมการลงทุนในพลังงานหมุนเวียน และการผลักดันการใช้รถยนต์ไฟฟ้า รวมถึงการระดมทุนครั้งใหญ่เพื่อผลักดันให้ทำสัญญาให้เป็นความจริง
ชาติยักษ์ๆ ได้รับปากว่าจะลงขันกันอย่างน้อย 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อช่วยประเทศกำลังพัฒนาในการร่วมมือแก้ปัญหาโลกร้อนให้ได้
แต่ถึงวันนี้ยังไปไม่ถึงไหน!
(พรุ่งนี้ : ไทยอยู่ตรงไหนของสมการโลกร้อน?)
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
แชร์สนั่นโซเชียล ลุกโชนเป็นไฟลามทุ่ง! ‘อนุทิน’ บุกเพจ ‘สุทธิชัย’ แจงกรณีคุยกับ ‘ทรัมป์’
ภายหลัง เพจ Suthichai Yoon โพสต์ข้อความว่า‘ทรัมป์‘ ให้สัมภาษณ์ Wall Street Journal ว่าเขาได้ใช้ tariff กดดันให้ไทยกับกัมพูชายุติการสู้รบ!
มีแม้วไม่มีเรา! วัดใจจุดยืน 'พรรคส้ม' หลังทักษิณขีดเส้นแบ่งข้างทุกเวทีแล้ว
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า "พรรคส้มกล้าไหม? มีแม้วไม่มีเรา!
ประเทศเดียวในโลก ‘นายกฯทับซ้อน’ มหันตภัยปี 2568
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่าสำนักวิจัยต่าง ๆ กำลังวิเคราะห์เพื่อพยากรณ์ว่าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายสาหัสอะไรบ้างใน
‘หยุ่น’ ฟันเปรี้ยงรอดยาก! ชั้น 14 ดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุด
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า เรื่องชั้น 14 จะดิ้นอย่างไรก็หลุดยาก จึงเห็นการเฉไฉ, ตีหน้าตาย
บิ๊กเซอร์ไพรส์ 'สุทธิชัย หยุ่น' เล่นซีรีส์ 'The White Lotus ซีซั่น 3'
เรียกว่าสร้างความเซอร์ไพรส์อย่างต่อเนื่อง สำหรับซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 ซึ่งจะสตรีมผ่าน Max ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2025 เพราะนอกจากจะมี ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล หรือ ลิซ่า BLACKPINK ไอดอลเกาหลีสัญชาติไทย ที่กระโดดลงมาชิมลางงานแสดงเป็นครั้งแรก ในบทของ มุก สาวพนักงานโรงแรม
ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน
นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ


