หนึ่งในแนวรบที่สำคัญในแนวรบ Donbas ทางตะวันออกของยูเครนคือ Severodonetsk
ถึงขนาดที่ประธานาธิบดีเซเลนสกีบอกว่าผลการสู้รบ ณ จุดนี้จะเป็นเรื่อง “ชี้เป็นชี้ตาย” สำหรับยูเครนเลยทีเดียว
ภาพที่เห็นคือควันที่ลอยเหนือเมือง Severodonetsk ในการสู้รบอย่างหนักระหว่างกองทหารยูเครนและรัสเซียที่ภูมิภาค Donbas ทางตะวันออกของยูเครน
เมืองนี้อยู่ในแคว้น Luhansk ซึ่งกินเนื้อที่เท่ากับครึ่งหนึ่งของภูมิภาค Donbas
ความจริงเมืองนี้เป็นเมืองเล็กๆ ที่ก่อนเกิดสงครามไม่ได้มีความหมายพิเศษอะไรเมื่อเทียบกับเมืองอื่นๆ ในบริเวณนั้น
ก่อนเปิดศึกรอบนี้ เมืองนี้ไม่ได้ติดอันดับใน 40 เมืองใหญ่ที่สุดของยูเครนด้วยซ้ำ
แต่ในช่วงเดือนที่ผ่านมา ที่นี่กลายเป็นแนวรบสำคัญของสงครามรัสเซีย-ยูเครน
กองทหารรัสเซียเข้ายึดพื้นที่ที่อยู่อาศัยของชาวบ้านก่อน
หลังจากนั้นทหารยูเครนและพลเรือนหลายร้อยคนถูกถล่มด้วยปืนใหญ่
ทหารรัสเซียเข้ายึดโรงงานอุตสาหกรรมเคมีที่ชื่อ Azot ทางทิศตะวันตก
และต่อมารัสเซียได้ทำลายสะพานสุดท้ายที่เชื่อม Severodonetsk กับเมือง Lysychansk ที่อยู่ใกล้เคียง
ประโยคที่ทำให้หลายคนตื่นตัวขึ้นมาจับตาการสู้รบในจุดนี้ เพราะประธานาธิบดีเซเลนสกีประกาศว่า
“ในหลายๆ ด้าน ชะตากรรมของ Donbas กำลังถูกตัดสินที่นั่น”
หากย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์ก็จะเห็นว่าเมืองนี้มีบทบาทสำคัญเกี่ยวกับความขัดแย้งทางการเมืองและการทหารระหว่างรัสเซียและยูเครนเป็นเวลา 2 ทศวรรษแล้ว
ในปี 2004 เมื่อการประท้วงในการเลือกตั้งที่รุนแรงปะทุขึ้นที่เมืองหลวงเคียฟ นักการเมืองท้องถิ่นใน Severodonetsk มีบทบาทสำคัญในการปลุกระดมให้แยกส่วนนี้ออกเป็นรัฐอิสระ ไม่ขึ้นอยู่กับรัฐบาลกลางของยูเครน
ตามมาด้วยคำขู่ว่าจะขอความช่วยเหลือทางทหารจากรัสเซียเพื่อสู้กับทหารยูเครนที่รัฐบาลกลางส่งมาปราบปราม
พอเกิดการประท้วงและตามมาด้วยเหตุการจลาจลเพื่อโค่นล้มประธานาธิบดียูเครนที่สนับสนุนรัสเซียในปี 2014 รัสเซียก็ส่งทหารเข้ามายังภูมิภาคตะวันออกคือ Donbas
ณ เวลานั้นเองที่กองทหารที่สนับสนุนรัสเซียเข้ายึดครอง Severodonetsk ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงกรกฎาคมของปีนั้น
แต่ต่อมากองกำลังของยูเครนยึดคืนได้หลังจากมีการสู้รบกันอย่างดุเดือดอย่างต่อเนื่อง
นับแต่นั้นมา เมืองนี้ก็ยังคงอยู่ในมือของฝ่ายยูเครน
แต่ทางด้านเหนือของเมืองนี้เกิดมีเส้นแบ่งระหว่างกองกำลังรัสเซียและยูเครนในดอนบาสที่ตั้งป้อมกันมายาวนาน
เมื่อรัสเซียบุกยูเครนอีกครั้งในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ปีนี้ หนึ่งในเป้าหมายของ “ปฏิบัติการพิเศษทางทหาร” ของประธานาธิบดีปูตินของรัสเซียหวังว่าจะปิดล้อมกองกำลังยูเครนใน Donbas
ทหารรัสเซียใช้ยุทธการเคลื่อนทัพแบบก้ามปูขนาดใหญ่ โดยเคลื่อนทัพขึ้นเหนือจากแนวชายฝั่งทะเลอาซอฟ และลงใต้จากคาร์คิฟ (เมืองทางตะวันออกเฉียงเหนือ ใหญ่อันดับ 2 ของประเทศ)
เป้าหมายของฝ่ายรัสเซียคือ ให้ทหารรัสเซียมาบรรจบกันที่เมืองดนิโปร
แต่แผนใหญ่ไม่อาจจะบรรลุเป้าหมายได้ เพราะทหารยูเครนตีโต้กลับมาอย่างดุเดือดเช่นกัน
ทหารรัสเซียจึงปรับแผน หันไปใช้ “ยุทธการก้ามปู” แทน
นั่นหมายถึงการเคลื่อนทัพไปทางใต้ ด้านหนึ่งเคลื่อนทัพจากเมืองอิซีอุม และอีกด้านทางเหนือจากเมืองโปปัสนา
เป้าหมายหลักคือการยึดครองดินแดนยูเครนที่มีที่ยื่นออกไปในดินแดนที่รัสเซียยึดครอง
Severodonetsk ตั้งอยู่ที่ขอบด้านตะวันออกของบริเวณที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ภาคพื้นดินนี้
ที่สำคัญคือ เป็นประตูสู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของจังหวัด Donetsk ซึ่งก็คืออีกส่วนหนึ่งของภูมิภาค Donbas
นักยุทธศาสตร์บอกว่า การเดินตามแผนนี้จะทำให้ปฏิบัติการของทหารรัสเซียง่ายขึ้น
เพราะกองกำลังยูเครนที่อยู่ลึกเข้าไปในพื้นที่ไม่อาจจะได้รับการคุ้มกันทางอากาศและปืนใหญ่
หากทำสำเร็จ ณ จุดนี้ ทหารรัสเซียก็จะสามารถเดินหน้าพิชิตเมือง Lysychansk ซึ่งก็จะเป็นการเปิดเส้นทางไปทางตะวันตกสู่ Slovyansk ซึ่งเป็นเมืองแรกที่ตกอยู่ใต้การยึดครองของรัสเซียในปี 2014 และเมือง Kramatorsk ซึ่งเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมของยูเครน
เป้าหมายใหญ่ก็คือ การที่รัสเซียสามารถอ้างว่าได้บรรลุวัตถุประสงค์ในสงครามที่ระบุไว้ในการ "ปลดปล่อย" Donbas
จึงไม่ต้องแปลกใจที่การสู้รบระหว่างทหารยูเครนกับรัสเซียเป็นไปอย่างร้อนแรงและยาวนาน
เพราะต่างฝ่ายต่างผลัดกันรุกและรับ
ไม่มีฝ่ายไหนสามารถประกาศว่าสามารถจะ “เผด็จศึก” อีกฝ่ายหนึ่งได้อย่างเด็ดขาด
ยิ่งเมื่อฝ่ายตะวันตกเร่งการส่งอาวุธยุทโธปกรณ์รุ่นใหม่ๆ มาให้กับทหารยูเครนในช่วงนี้ก็ยิ่งทำให้รัสเซียต้องโหมการโจมตีที่หนักหน่วงขึ้น
เพื่อไม่ให้ทหารยูเครนสร้างความได้เปรียบในสนามรบ
เป็นที่มาของคำประกาศทั้งจากเซเลนสกีของยูเครน และนายกฯ อังกฤษ บอริส ยอห์นสัน ว่า
“ปัจจัยสำคัญที่สุดขณะนี้สำหรับยูเครนคือเวลา...”
เพราะแม้จะมีอาวุธและเงินทองมาสนับสนุนจากตะวันตก แต่หากมาช้าเกินไป หรือหากทหารรัสเซียสามารถยึดครองพื้นที่ส่วนใหญ่ทางตะวันออกได้ เกมก็จะเปลี่ยน
และอำนาจต่อรองก็จะเป็นของฝ่ายรัสเซีย
แม้หากมีการเจรจาระหว่างปูตินกับเซเลนสกี แต่หากรัสเซียมีความได้เปรียบในสนามรบ “สันติภาพ” ที่จะได้มาก็เป็นไปตามเงื่อนไขของมอสโก
ซึ่งเท่ากับเป็นชัยชนะของปูตินอย่างเบ็ดเสร็จ
นายกฯ เยอรมนี Olaf Scholz เรียกสันติภาพแบบนี้ว่า “dictated peace”
หรือ “สันติภาพที่เผด็จการสั่งลงมา”
ซึ่งเท่ากับเป็นความพ่ายแพ้ของฝ่ายตะวันตก
ซึ่งไม่อาจจะเป็นที่ยอมรับของนาโตและสหภาพยุโรปได้ด้วยประการทั้งปวง.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
อิหร่าน-อิสราเอล: ทุกฉากทัศน์ล้วนเสี่ยงสูง
คณะรัฐมนตรีสงครามหรือ War Cabinet ของอิสราเอลประชุมกันเคร่งเครียดมาหลายรอบ...สรุปได้เพียงว่าจะต้องตอบโต้อิหร่านแน่...แต่ไม่ระบุว่าเมื่อไหร่และด้วยยุทธการแบบใด
สิงคโปร์ผลัดใบการเมืองครั้งสำคัญ ‘หลี่’ (72) ส่งไม้ต่อ ‘หว่อง’ (52)
นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของสิงคโปร์ Lawrence Wong ที่จะรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการวันที่ 15 พฤษภาคมนี้ต้องถือว่ามาจากครอบครัวชนชั้นทำงานจริง ๆ
“เซฟโซน” ฝั่งเมียวดีอาจจะเป็น ก้าวเล็กๆ ของกระบวนการเจรจา?
ความเคลื่อนไหวตรงข้ามชายแดนไทยฝั่งพม่ามีการปรับเปลี่ยนตลอดเวลา และความไม่แน่นอนนี้เองที่ทำให้รัฐบาลไทยต้องให้ความสำคัญกับการสร้างกลไกติดตามอย่างมีประสิทธิภาพ
ไบเดนควงคิชิดะ มาร์กอสประกาศสกัดการขยายอิทธิพลจีน!
ผมเห็นนายกฯฟูมิโอะ คิชิดะของญี่ปุ่นปราศรัยต่อสภาคองเกรสสหรัฐฯเป็นภาษาอังกฤษปลายสัปดาห์ที่ผ่านมากล่าวหาจีนว่าเป็น “ภัยคุกคามต่อภูมิภาคนี้อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน” แล้วก็พอจะรู้ว่าความตึงเครียดจะต้องถูกยกระดับขึ้นมาอย่างแน่นอน
ปูติน-คิม: ยิ่งโลกยุ่ง สองสหายยิ่งแน่นแฟ้น
ยิ่งนับวันเกาหลีเหนือก็ยิ่งขยับใกล้รัสเซียมากขึ้น...หลักฐานอาวุธจากเปียงยางไปปรากฏในสมรภูมิยูเครนตอกย้ำว่า “คิม จองอึน” กับ “วลาดิมีร์ ปูติน” กำลังสานสัมพันธ์ใกล้ชิดมากขึ้นทุกวัน
เมื่อบริษัทมะกันถอนตัวจาก แหล่งก๊าซ‘ยาดานา’พม่า
ผลข้างเคียงจากสงครามกลางเมืองพม่าต่อไทยคือการบริหารแหล่งก๊าซยาดานา (Yadana) ที่ผู้ถือหุ้นสหรัฐฯ คือเชฟรอน เพิ่งประกาศถอนหุ้นออกไปเมื่อวันที่ 1 เมษายนที่ผ่านมา