ลุงตู่กับ 'นายกฯ โพล'

วัน-สองวันนี้ ดูผู้คนจะตื่นเต้นกับ "นิด้าโพล" กันมาก

ที่มีผลสำรวจออกมาว่า...........

ผู้ที่ถูกประชาชนหมายตาจะเลือกเป็นนายกฯ คนต่อไป อุ๊งอิ๊งมาเป็นอันดับ ๑

ส่วนนายกฯ ลุงตู่ อยู่ในอันดับ ๔ ต่ำชั้นกว่า นายพิธา  ก้าวไกล ด้วยซ้ำ!

 ฝ่ายสนับสนุนลุงตู่ กังวลใจ ฝ่ายเพื่อไทยทักษิณ  สบายใจ แลนด์สไลด์แน่นอน

แต่สำหรับผม ซึ่งเป็น "กองหนุน" นอกประจำการลุงตู่ เฉยๆ แฮะ!

ไม่ใช่ "เชื่อ-ไม่เชื่อ" นิด้าโพล หากแต่ผมมี "พุทธศาสตร์" เป็นหลักยึดใน "การคิด-การมอง" เป็นแกน

โพล เป็นการสำรวจความคิดเห็นตามหลักสถิติ มันเบี่ยงเบนได้

ดังนั้น ในโลกวิทยาการ จึงมีคำว่า "บังเอิญ" เป็นทางออก

แต่ใน "พุทธศาสตร์" ไม่มี-ไม่ใช้

กระทั่งใน ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ อันเป็นคำสอนพระพุทธองค์ ก็ไม่มีและไม่ทรงใช้

เพราะตามพุทธศาสตร์ ในโลกนี้ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้โดยบังเอิญ ทุกอย่างที่เกิด ล้วนมี "เหตุ-ปัจจัย" ทำให้เกิดทั้งสิ้น!

"เหตุ..คือการกระทำดี-เลว ผล..อันสืบเนื่องมาจากเหตุ ก็ย่อมออกมาดี-เลว"    

ฉะนั้น เมื่อมั่นใจว่า........

๘ ปีที่ลุงตู่เป็นนายกฯ ได้ทำดีต่อสังคมชาติบ้านเมืองเป็นที่ประจักษ์ ทั้งกอปรด้วย สัตย์ซื่อ-สุจริต ทั้งพิทักษ์ "ชาติ-ศาสนา-พระมหากษัตริย์ และประชาชน"

นั่นก็ไม่ต้องไปวิตก-หวั่นไหว ว่าเหตุที่ทำมาดีแล้วนั้น ในเลือกตั้่งปีหน้า ผลจะออกมาไม่ดี

เราต้องมั่นใจในหลัก "เหตุและผล" ซึ่งไม่มีอะไรจะไปเบี่ยงเบนได้

ไม่ว่าอุ๊งอิ๊งหรือใครทุกคน ก็หนีไม่พ้น ต้องอยู่ในหลักเดียวกันนี้เช่นกัน

ส่วนโพลนั้น เป็นแค่ความคิดเห็นจากคนอื่น อันเป็นส่วนนอก-ส่วนหนึ่ง ตามหลักสถิติ

เป็นไทย มีพุทธศาสนาเป็นแก่นชาติ-แก่นใจ ไฉนจึง "หลักลอย" กันอย่างนั้นเล่า

ใครปั่นกระแสอะไร โพลชี้ทางไหน ก็หวั่นไหว ดีใจ-เสียใจ ทึกทักเป็นจริงจังไปตามโพลลาก

ทำไมจึงไม่มั่นใจในหลัก "เหตุและผล" กันล่ะ?

ผมจะยกชาดกมาเป็นนิทัศนอุทาหรณ์ซักเรื่อง จาก...https://m.facebook.com ผู้ใช้นามว่า  Kanlayanatam เขาเขียนไว้ดีแล้ว

.......................................

Kanlayanatam

ไม่มีคำว่า "บังเอิญ" ในทางพุทธศาสนา

หากศึกษาเรื่องธรรมะดีๆ จะเข้าใจว่า ไม่มีคำว่า  "บังเอิญ" ใดๆ ทั้งสิ้น

"กรรม" นี้แม่นยำยิ่งกว่าเรดาร์ตรวจจับของนาซา  พระพุทธเจ้าเคยตรัสว่า

"เราเกิดมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน น้ำตาที่เสียจากความพลัดพรากจากคนที่เรารักนับรวมกันได้เป็นมหาสมุทร

ดังนั้น เราจึงได้เคยพบปะผู้คนมามากมาย จนผู้คนที่เดินบนถนนไปมานี้ต่างก็เคยเกิดมาเป็นพี่น้องเราทั้งสิ้น"

จากคำอธิบายข้างต้น เป็นเหตุให้ "กรรม" จัดสรรให้เราได้พบเจอ รู้จัก พึ่งพา มาเกิดเป็นพ่อ แม่ ลูก พี่น้อง  เพื่อน แฟน คู่รัก มิตร ศัตรู ครู ลูกศิษย์ เมียหลวง เมียน้อย ฯลฯ

เนื่องจาก เคยเกี่ยวพัน มีความสัมพันธ์ และประกอบกรรมร่วมกันมาก่อน จึงได้มาเจอกันอีก เพื่อชดใช้กรรม หรืออาจอธิษฐานให้มาพบกันอีกในชาติต่อๆ ไป

หรือเคยอาฆาตพยาบาทกันมาก่อน บางคนก็เคยอุปถัมภ์ ค้ำชู หรือเคยพึ่งพาอาศัยกันมาก่อน ดังนี้ เป็นต้น

จึงไม่มีคำว่า "บังเอิญ" ในพระพุทธศาสนา

หากใครเคยไปในสถานที่ใด แล้วรู้สึกคุ้นเคยกับสถานที่นั้น โดยไม่เคยไปมาก่อน

รู้สึกคุ้นๆ กับเหตุการณ์นั้น โดยที่เราไม่เคยมีส่วนร่วมมาก่อน เคยรู้สึกประทับใจใคร รู้สึกเกลียดใคร อยากอยู่ใกล้ใคร หรืออยากหนีหน้าใคร โดยที่ไม่เคยพบเจอรู้จักกันมาก่อน

สิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นสัญญาเก่า (การจำได้หมายรู้) ที่ติดตัวมาแต่เก่าก่อน

พระบาลีพุทธวจนะ เป็นภาษาเมื่อหลายพันปีมาแล้ว  คำว่า "บังเอิญ" ดูเหมือนไม่มีในภาษาบาลี มีแต่คำว่า  "เหตุ-ปัจจัย"

พระพุทธศาสนา เป็นเรื่องของเหตุและผล ทุกสิ่งไม่ได้เกิดขึ้นลอยๆ หรือเป็นเรื่องบังเอิญ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนมีเหตุให้เกิดขึ้นทั้งสิ้น

ดังที่ท่าน "พระอัสสชิ" แสดงธรรมแก่ท่าน "พระสารีบุตร" ว่า "ธรรมทั้งหลายย่อมเกิดจากเหตุ"

นั่นคือ การที่ทุกคนเกิดมาแตกต่างกัน เป็นเพราะได้กระทำเหตุ คือ ทำกรรมมาแตกต่างกัน กรรมที่ได้กระทำไว้แล้วนั่นเอง เป็นเหตุให้มีรูปร่างหน้าตา ผิวพรรณ ฐานะ ต่างกัน

มีอุปนิสัยดี-เลวต่างกัน กรรมที่ได้กระทำไว้แล้วนั่นเอง เป็นเหตุให้ได้ลาภ เสื่อมลาภ ได้ยศ เสื่อมยศ ได้รับความสุข ทุกข์ สรรเสริญ นินทา

มีเรื่องเล่าของ "พระเจ้าอโศกมหาราช" เรื่องมีอยู่ว่า  พระมเหสีของพระเจ้าอโศกมหาราช ได้รับการยกย่องจาก พระเจ้าอโศกมหาราชมาก สนมกำนัลนางอื่นก็อิจฉา

ผู้หญิงกระทบกระทั่งกันง่ายอยู่แล้ว ในเมื่ออิจฉาก็มีการเสียดสีกระแนะกระแหนเขาไปเรื่อย พระเจ้าอโศกมหาราชทรงรำคาญ จะพิสูจน์บุญญานุภาพให้ดู

ก็เลยสั่งโรงครัวทำขนมมา 1,000 ชิ้น แสดงว่าพระองค์มีมเหสีรวมนางสนมทั้งหมด 1,000 คนพอดี

แล้วถอดพระธำมรงค์ประจำพระองค์ บอกพ่อครัวให้ใส่พระธำมรงค์ไว้ในขนมชิ้นหนึ่ง

พอถึงเวลานึ่งสุก เอามาให้บรรดาสนม และมเหสีทั้งหมดไปหยิบเอา ถ้าธำมรงค์อยู่ในขนมของใคร จะตั้งคนนั้นเป็นอัครมเหสี

พวกสนมแย่งกันกระจายเลย

ปรากฏว่ามเหสีตัวจริงท่านทรงนั่งอยู่เฉยๆ รอเขาหยิบจนเหลือชิ้นสุดท้าย ท่านจึงหยิบมา และธำมรงค์ก็อยู่ในนั้น

เห็นไหมว่า เขาทำของเขามา เขาต้องได้ ต่อให้เราทำมา ถ้าทำช้ากว่าเขา ก็ต้องรอเขาได้ก่อน ส่วนใหญ่แล้วจะไม่เข้าใจตรงนี้

ถึงเวลาเห็นพระเจ้าอโศกมหาราชท่านเมตตาพระมเหสีมากเป็นพิเศษ โปรดเป็นพิเศษก็คอยอิจฉาอยู่เรื่อย  พิสูจน์ขนาดนั้นแล้ว ก็ยังมีคนไม่เชื่ออยู่ดี

อนาคตเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้วจากกรรมในอดีตนานนับไม่ได้ แต่เป็นสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น เพราะต้องมีเหตุในปัจจุบันร่วมด้วย

ความพยายามในปัจจุบันนั่นแหละ จึงจะทำให้เกิดผลในอนาคตที่สมบูรณ์ แม้จะเปลี่ยนแปลงไม่ได้ทั้งหมด แต่ก็เปลี่ยนแปลงได้บางส่วน

คนเราจึงไม่ควรละความพยายามตลอดชีวิตที่เกิดมา

การกระทำทุกอย่างย่อมมีผล เราเรียกผลนั้นว่า "วิบาก" สิ่งใดจะเกิดได้ ต้องมีเหตุปัจจัยประชุมพร้อม กรรมจึงสามารถส่งผล หรือให้วิบากได้

ไม่มีโชคลาภเกิดขึ้นได้โดยไม่อาศัยบุญ กรรม โชคลาภ ไม่สามารถจะเกิดขึ้นลอยๆ หรือบังเอิญ โดยไม่มีเหตุปัจจัย

ทุกปัญหาเกิดขึ้นอย่างมีสาเหตุทั้งนั้น กิ่งไม้ตกใส่หัว  หกล้ม ฯลฯ ล้วนเกิดจากกรรม เหมือนกับคำว่า "ใครกินคนนั้นก็อิ่ม คนอื่นอิ่มแทนไม่ได้"

เกลือ เค็มเหมือนกันหมด ไทย ฝรั่ง ลาว แขก

กินเกลือในที่ลับ ที่แจ้ง ก็เค็มเหมือนกัน

เกลืออย่างไร กรรมก็อย่างนั้น ทุกชาติศาสนา

ความบังเอิญไม่มีในโลก.....

ทุกสิ่งถูกลิขิตจากกรรมทั้งกุศล และอกุศลที่สัตว์โลกได้กระทำไว้ทั้งในอดีต และปัจจุบัน

ขึ้นอยู่กับว่า "กรรมอันไหนจะส่งผลก่อนกัน"

......................

ลุงตู่น่ะ เลือกตั้งปี ๖๒ พลังประชารัฐ เสียงก็แพ้เพื่อไทย คือได้ ส.ส.น้อยกว่า

แต่เพื่อไทย "เสียงมาก" กลับตั้งรัฐบาลไม่ได้!

นั่นไม่ใช่บังเอิญ หากแต่ด้วย "เหตุ-ปัจจัย" ส่งผลให้ฝ่ายกรรมดีรวมตัวกันตั้งรัฐบาล

และสมาชิกรัฐสภา ด้วยเสียงส่วนใหญ่ เลือกให้พลเอกประยุทธ์เป็นนายกฯ

"โพลจัดสรร" ฤๅจะมาสู้ "กรรมจัดสรร"?             

คนปลายซอย

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'รัฐมนตรีถุงขนม' ๒

เมื่อวาน ........ นำคำสั่งคดี "นายพิชิต ชื่นบาน" ติดคุก ๖ เดือน กรณี "ถุงขนม" ตั้งเป็นโจทย์ให้ศึกษากันไปแล้ว

'รัฐมนตรีถุงขนม' ๑

อีกปัญหาหนึ่งของรัฐบาล "เศรษฐา ๒" คือการแต่งตั้ง "นายพิชิต ชื่นบาน" ที่เรียกกันว่า "ทนายถุงขนม" เป็นรัฐมนตรี!

'ผู้กำลังจะมากับดาว'

"ดาวพฤหัสบดี" เทพเจ้าแห่งคุณธรรม "ดาวปราบมาร" ย้ายบ้านจาก "เมษ" ไปอยู่ "พฤษภ" แล้ว เมื่อวาน (๓๐ เม.ย.๖๗) พฤษภ เป็นภพ "กดุมภะ" ของดวงเมือง

"จะแถกไปได้ซักกี่เดือน?"

เรา "เห็นอะไร"..... จากการลาออกจากตำแหน่ง "รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ" ของท่าน "ปานปรีย์ พหิทธานุกร"?

ความหวังคนกรุง ยกระดับ'รถเมล์ไทย'

ปัญหารถโดยสารประจำทางหรือ”รถเมล์” ยังเป็นที่พูดถึงมาทุกยุคสมัย โดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่ต้องพึ่งพาการเดินทางด้วยรถเมล์ ผู้โดยสารมีทุกกลุ่มทุกวัย ไม่ว่าจะคนทำงาน นักเรียน นักศึกษา คนต่างจังหวัดมาทำงานในเมือง คนแก่ คนพิการ ที่ใช้บริการรถเมล์ไทยสู่จุดหมายทั่วมุมเมือง