คุณค่าทางจิตใจ

วานนี้ (๒๘ กรกฎาคม) วันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พบเห็นเรื่องราวที่มีคุณค่าทางจิตใจหลายเรื่องด้วยกัน

"อากงจุน- จุน วนวิทย์"  ผู้ก่อตั้งบริษัท ฮาตาริ อิเลคทริค จำกัด และครอบครัว ร่วมบริจาคเงิน ๙๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท แก่มูลนิธิรามาธิบดีฯ

เจตนาเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่เจ็บป่วย

ชาวโซเชียลพากันยกย่อง เจ้าของพัดลมฮาตาริ นี่คือผู้เสียสละเพื่อสังคมอย่างแท้จริง

แต่คนบางกลุ่มแสดงความไม่พอใจ คงเพราะชื่อมูลนิธิรามาธิบดีฯ กระมัง

การจับโยงทุกอย่างไปหาการเมืองแล้วเสี้ยมให้แตกแยก ด้อยค่าฝ่ายที่คิดไม่เหมือนตัวเองเป็นพวกสร้างภาพ สลิ่มล้าหลัง   พฤติกรรมแบบนี้ห่างจากความเป็นมนุษย์เข้าไปทุกที

เศรษฐีอาณาจักรหมื่นล้านแสนล้าน บริจาคเงินหลักพันล้านเพื่อสังคมส่วนรวมมีอยู่หลายคนครับ แต่ในนั้นไม่มี "ทักษิณ" และ "ธนาธร"

ฉะนั้นหากจะเอาการเมืองมาตำหนิการเสียสละเพื่อสังคมของ "อากงจุน" ควรหันไปรอบๆตัวเองก่อน ในหมู่สามนิ้่ว อมเงินบริจาคกันบ่อยไม่ใช่หรือ

อีกเรื่องร่ายยาว   พลเรือตรีทองย้อย แสงสินชัย ปราชญ์ชาวพุทธ อดีตผู้อำนวยการกองอนุศาสนาจารย์ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ ดีกรีเปรียญธรรม ๙ ประโยค โพสต์เฟซบุ๊กเรื่อง "คุณค่าทางจิตใจ"

-------------------

...เมื่อวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๖๕ ผมไปเข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณ ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต พร้อมกับคณะนายทหารและนายตำรวจชั้นนายพล

อันที่จริงควรจะพูดว่า คณะนายทหารและนายตำรวจชั้นนายพลเข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณ และผมร่วมอยู่ในคณะนั้นด้วย

นายทหารและนายตำรวจชั้นนายพลที่เข้าเฝ้าครั้งนี้จำกัดเฉพาะผู้ที่ได้รับพระราชยศใน “วาระประจำปี ๒๕๖๔” (ตามสำนวนภาษาของทางราชการทหาร)

เหตุที่ผมต้องร่วมอยู่ในคณะนั้นด้วยก็เพราะผมเป็นผู้หนึ่งที่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานยศ พลเรือตรี เป็นกรณีพิเศษ ตั้งแต่วันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๖๔ จึงอยู่ในเกณฑ์ “วาระประจำปี ๒๕๖๔”

ในขั้นการเตรียมการ กองทัพเรือได้แจ้งกำหนดการต่างๆ ให้ทราบล่วงหน้า มีข้อความตอนหนึ่งที่ผมชอบมาก คือกองทัพเรือบอกว่า

... การเข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณเป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดี กรณีไม่สามารถเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทได้ ให้เสนอรายงานชี้แจงเหตุผลความจำเป็น กรณีป่วย สุขภาพไม่ดี ไปราชการต่างประเทศ ขอให้ชี้แจงเหตุผลความจำเป็นโดยแนบใบรับรองแพทย์หรือคำสั่งเดินทางไปราชการ ทั้งนี้ให้ทำเป็นลายลักษณ์อักษร ...

ที่ผมว่าชอบมากก็เพราะ นี่คือการย้ำบอกถึงหน้าที่ ความรับผิดชอบ และ “ธรรมชาติ” ของทหาร

พูดภาษานักเลงปากท่อก็ว่า-ถ้าเห็นเป็นเรื่องเล็กเรื่องเล่น ก็อย่ามาเป็นทหารเรือ

สำหรับผม-และสำหรับทหารทั้งปวงแห่งกองทัพไทย-การถวายสัตย์ปฏิญาณเป็นคุณค่าทางจิตใจที่สำคัญยิ่ง ในบรรดาคุณค่าทางจิตใจที่มนุษย์จะพึงแสวงหาไว้สำหรับชีวิตของตน

กองทัพเรือปฏิบัติการด้านบริการทุกอย่างให้แก่นายพลทั้งหมดของกองทัพเรือที่ไปเข้าเฝ้าครั้งนี้ ตั้งแต่ต้นจนจบภารกิจการเข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณด้วยความเรียบร้อย

ขออนุญาตบันทึกไว้เป็นข้อมูลส่วนตัวว่า ในจำนวนนายทหารและนายตำรวจชั้นนายพลรวมทั้งสิ้น ๑,๐๐๗ คน ที่เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายสัตย์ปฏิญาณวันนั้น พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย นายทหารพ้นราชการสังกัดกองทัพเรือ มีอายุมากที่สุด คือ ๗๗ ปี

ในการนี้ กองทัพเรือมอบหมายให้นายทหารชั้นนายพลคนหนึ่งที่เข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณและมีชื่อขึ้นต้นด้วยอักษรใกล้กับผมซึ่งจะต้องยืนใกล้กันในพิธี เป็นผู้กำกับดูแลอำนวยความสะดวกให้ผม ตั้งแต่ขึ้นรถออกจากหอประชุมกองทัพเรือ และทุกลำดับขั้นตอนระหว่างอยู่ในพิธี จนกระทั้งขึ้นรถกลับถึงหอประชุมกองทัพเรือ และส่งผมขึ้นรถกลับเคหสถานอย่างเรียบร้อย

ทหารเรือที่แท้จริงไม่ทิ้งกัน-โปรดให้เกียรติตราไว้ในดวงใจของท่านทั้งปวงด้วยเถิด

ต่อมา สื่อต่างๆ ก็เสนอข่าว สรุปความได้ดังนี้

เมื่อเวลา ๑๙:๒๑ น. วันที่ ๒๓ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จลง ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นำนายทหารชั้นนายพล จำนวน ๘๐๙ คน และนายตำรวจชั้นนายพล จำนวน ๑๙๘ คน รวมทั้งสิ้น ๑,๐๐๗ คน ที่ได้รับพระราชทานยศ เฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณ ในโอกาสนี้ พลเอก ชัยชาญ ช้างมงคล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และคณะ ร่วมเข้าเฝ้าฯ ด้วย

ผมเข้าใจว่า ไม่มีสื่อแขนงไหนถ่ายทอดข้อความที่เป็นคำถวายสัตย์ปฏิญาณ และคนภายนอกหรือคนส่วนมากก็น่าจะไม่เคยได้ยินเต็มๆ ด้วย จึงขออนุญาตนำมาบันทึกไว้ในที่นี้

คำถวายสัตย์ปฏิญาณเมื่อวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๖๕ ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต มีข้อความดังนี้

ข้าพระพุทธเจ้า (ยศ..ชื่อ..สกุล..) ขอพระราชทานกระทำสัตย์ปฏิญาณต่อใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ตลอดจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ท่ามกลางมหาสันนิบาตนี้ว่า

ข้าพระพุทธเจ้าผู้ได้รับพระราชทานยศสูงขึ้น จะจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ จะภักดีต่อชาติบ้านเมือง จะซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ จะปฏิบัติการทุกอย่างโดยเต็มสติปัญญาความสามารถ ด้วยความเสียสละ เพื่อความเจริญ ความสงบสุข ความมั่นคงไพบูลย์ของชาติไทย ตราบเท่าชีวิตร่างกายจะหาไม่

หากข้าพระพุทธเจ้าประพฤติปฏิบัติฝืนคำสัตย์ปฏิญาณนี้เมื่อใด ขอความวิบัติจงเกิดแก่ข้าพระพุทธเจ้าเมื่อนั้นโดยฉับพลันทันที อย่าให้มีความสุขความสวัสดีด้วยประการทั้งปวง

หากข้าพระพุทธเจ้าดำรงมั่นในสัตย์ปฏิญาณนี้ยั่งยืนไป ขออานุภาพคุณพระศรีรัตนตรัย และพระสยามเทวาธิราช ตลอดจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย จงบันดาลความสุขสวัสดีแก่ข้าพระพุทธเจ้า และขอให้ข้าพระพุทธเจ้ามีความเจริญในหน้าที่ราชการ เป็นกำลังทำนุบำรุงประเทศชาติ ตามปณิธานปรารถนาจงทุกประการ

ลำดับนี้ ขออัญเชิญพระบรมราโชวาทที่พระราชทานในวันนั้นมาบันทึกไว้ ดังนี้

พระบรมราโชวาท

พระราชทานแก่นายทหารและนายตำรวจชั้นนายพลที่ได้รับพระราชทานยศ เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณ

ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต

วันพุธที่ ๒๓ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕

เวลา ๑๙:๒๑ นาฬิกา

--------------------

ข้าพเจ้ามีความยินดีที่ได้มาพบกับนายทหาร และนายตำรวจชั้นนายพล ในโอกาสที่ทุกท่านได้มาถวายสัตย์ปฏิญาณตนอย่างพร้อมเพรียงกัน

การถวายสัตย์ปฏิญาณตนนี้ เป็นทั้งการประกาศความตั้งใจในการปฏิบัติหน้าที่ และเป็นทั้งการเตือนใจให้ตระหนักถึงความรับผิดชอบซึ่งย่อมจะมีมากขึ้น ในฐานะที่ทุกท่านได้รับยศสูงขึ้นเป็นนายทหารและนายตำรวจชั้นนายพล

ท่านทั้งหลายเมื่อให้คำสัตย์ปฏิญาณไว้แล้วอย่างเข้มแข็ง จึงจำเป็นต้องรักษาไว้อย่างเคร่งครัด ด้วยการปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริต เที่ยงธรรม ระมัดระวัง รอบคอบ และทุ่มเทเสียสละอย่างสูงสุด ถ้าท่านปฏิบัติหน้าที่ได้ด้วยดีสมกับความรับผิดชอบที่มีแล้ว ผลงานของท่านก็จะอำนวยประโยชน์แก่ประเทศชาติโดยตรง และทุกท่านก็จะภูมิใจได้เต็มที่ ทั้งในการรักษาหน้าที่และรักษาคำสัตย์ปฏิญาณ

ขออำนวยพรให้ทุกท่านมีความสุขในชีวิต มีความสำเร็จในการปฏิบัติหน้าที่ทุกอย่าง และประสบแต่ความสุขความเจริญจงทั่วกัน

-----------------------

พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย

๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๕

---------------------

พอจะนึกภาพออกว่า "คุณค่าทางจิตใจ" จากการได้เข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณตนนั้น มีความสำคัญมากสำหรับผู้ที่นำคำถวายสัตย์ปฏิญาณตนไปปฏิบัติอย่างจริงจัง เช่น พลเรือตรี ทองย้อย

แต่สำหรับนักการเมืองนั้นบางคนอาจต่างออกไป

รัฐธรรมนูญมาตรา ๑๖๑ บัญญัติว่า ก่อนเข้ารับหน้าที่ รัฐมนตรีต้องถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ด้วยถ้อยคำดังต่อไปนี้

 “ข้าพระพุทธเจ้า (ชื่อผู้ปฏิญาณ) ขอถวายสัตย์ปฏิญาณว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ และจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ”

"จะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต" ประโยคนี้จะมีนักการเมืองสักกี่คนที่จำใส่ใจแล้วปฏิบัติตาม           

ครับ..สำหรับนักการเมืองบางคนแล้วถวายสัตย์ปฏิญาณ เป็นเพียงพิธีการก่อนเข้าสู่อำนาจเท่านั้น  ไม่ได้มีคุณค่าทางจิตใจแต่อย่างใด

ไม่งั้นจะมีรัฐมนตรีติดคุก นายกฯหนี หรือ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

มันมากับความเงียบ

งานเลี้ยงใกล้เลิกรา... สมาชิกวุฒิสภาชุดปัจจุบันจะหมดวาระลงเดือนพฤษภาคมนี้แล้วครับ

แผนแทรกแซงกองทัพ

ก็ยังไม่เห็นว่าหน้าตาชัดๆ เป็นอย่างไร หมายถึงกฎหมายต้านการปฏิวัติรัฐประหารครับ

ประชาธิปไตยแบบไทยๆ

นักการเมืองคนไหนที่บอกว่า "รวยพอแล้ว" อย่าไปเชื่อ เพราะถ้าพอจะไม่แสวงอำนาจการเมือง

นายทุนก้าวไกล

เริ่มต้นด้วยเรื่องเงินๆ ทองๆ วานนี้ (๑๗ เมษายน) สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) สรุปยอดเงินบริจาคของพรรคการเมือง ประจำเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ ทั้งสิ้น ๑๓ พรรคการเมือง