อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล...หรือการแถลงผลงานของรัฐบาล

การอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีในรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เกิดขึ้นทุกครั้งที่กฎหมายเปิดโอกาสให้ฝ่ายค้าน ที่มีพฤติกรรมเป็นฝ่ายแค้นเสียมากกว่า สำหรับในครั้งที่ผ่านมาอาจจะเรียกได้ว่าเป็นการทวงแค้นครั้งสุดท้าย มีการโฆษณาเชิญชวนประชาชนติดตามด้วยโปสเตอร์ที่น่าสนใจเหมือน

หนังนักสืบของเกาหลี และใช้ถ้อยคำที่ฟังดูดุเดือดมาก นั่นคือ “เด็ดหัว สอยนั่งร้าน” แต่คำว่า “นั่งร้าน” ที่พวกเขาหมายถึงรัฐมนตรีจากพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะคนที่เป็นหัวหน้าพรรค แต่คำนี้กลับเตือนใจผู้คนให้คิดถึงนั่งร้านหลังกระสอบข้าวในโกดังเก็บข้าวที่ชาวนาเอามาจำนอง 

เป็นการชี้ให้เห็นว่ามีการทุจริตจำนวนข้าวที่ปรากฏในบัญชีการจำนองของชาวนา ดังนั้นคำดังกล่าวนี้กลายเป็นศรที่ย้อนกลับไปยิงหัวของฝ่ายที่อภิปรายนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่ถูกมองว่าเป็นนั่งร้านเสียมากกว่า และหัวที่ถูกเด็ดนั้น ไม่ใช่นายกรัฐมนตรี แต่กลายเป็นหัวของใครบางคนที่อยู่แดนไกล

       ในที่สุดการอภิปรายที่เป็นการทวงแค้นครั้งสุดท้าย ก็จบลงโดยที่นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายผ่านการอภิปรายไม่ไว้วางใจได้กันทุกคน แม้ว่าจะได้คะแนนไม่เท่ากัน แต่ก็ไม่มีใครที่มีคะแนนเฉียดฉิว แม้คนที่ได้คะแนนน้อยที่สุดก็ไม่ได้เฉียดฉิวแต่อย่างใด นอกจากจะสามารถผ่านการซักฟอกได้แล้ว ฝ่ายรัฐบาลยังได้โอกาสในการแถลงผลงานอีกด้วย ทั้งนี้เพราะข้อกล่าวหาที่ฝ่ายค้านนำมาอภิปรายนั้น หลายเรื่องเป็นเพียงวาทกรรมที่หาความจริงเชิงประจักษ์มาสนับสนุนไม่ได้ หลายเรื่องก็เป็นข้อมูลที่ผิดพลาด ไม่รู้ว่าไม่หาข้อมูลให้ดีพอ หรือจงใจที่จะบิดเบือน ไม่ว่าข้อมูลที่ผิดพลาดจะมีที่มาที่ไปอย่างไร ประชาชนก็มองว่าฝ่ายค้านทำงานไม่ดีพอ ข้อมูลไม่แน่น ไม่สามารถหาความจริงเชิงประจักษ์มาเล่นงานรัฐบาลได้ และข้อกล่าวหานั้นก็กลายเป็นการหยิบยกประเด็นออกมาให้ฝ่ายรัฐบาลได้โอกาสในการแถลงผลงาน แม้ว่าจะมีรัฐมนตรีบางคนตอบได้ไม่กระจ่างนัก แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดจะเด็ดหัวหรือสอยนั่งร้านได้อย่างที่คุยเอาไว้

       แม้ว่าดาวสภาฝ่ายค้าน จะใช้ลีลาและวาทกรรมอย่างดุเดือดเพียงใด ก็ไม่สามารถเด็ดหัว สอยนั่งร้านได้สำเร็จ สำหรับแฟนคลับของฝ่ายค้าน พวกเขาจะมองว่าบรรดา ส.ส.ที่ยกมือให้นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีทุกคนผ่านนั้นไม่ฟังเสียงประชาชน ก็ไม่รู้ว่าเขาหมายถึงประชาชนกลุ่มไหนที่พวกเขาต้องการให้ ส.ส.ทั้งหลายฟังและยกมือให้ถูกใจประชาชน แล้วแฟนคลับของรัฐบาลที่มองว่าฝ่ายค้านยังทำงานไม่ดีพอ และฝ่ายรัฐบาลชี้แจงได้ดีเพียงพอที่จะผ่านนั้นเล่า พวกเขาไม่ใช่ประชาชนหรือไร ถ้าหาก ส.ส.เขาจะฟังประชาชนกลุ่มนี้จะได้ไหม เขาผิดไหม ถ้าหากเขาจะฟังประชาชนกลุ่มนี้ หรือจะต้องฟังเฉพาะประชาชนที่เป็นแฟนคลับของฝ่ายค้านเท่านั้น เพราะพวกเขาเป็น “ประชาชน” แบบนี้แล้วยังจะเรียกตัวเองว่าเป็น “ฝ่ายประชาธิปไตย” อีกหรือ

       คำว่า “นั่งร้าน” และข้อกล่าวหาว่า “พลเอกประยุทธ์อยู่ 8 ปีไม่มีผลงาน” ตลอดจนข้อกล่าวหาว่า “มีการทุจริต” นั้น นอกจากจะไม่ระคายผิวนายกรัฐมนตรีแล้ว วาทกรรมและข้อกล่าวหาที่สาดออกไปนั้นกลับไปโดนคนหนีคุกไปอยู่แดนไกลอย่างจัง เพราะ “นั่งร้าน” คือส่วนหนึ่งของการทุจริตของคนแดนไกล มีคนเอาผลงาน 8 ปีของลุงตู่กับผลงานมากกว่า 10 ปีของรัฐบาลก่อนหน้านี้ว่าใครสร้างผลงานมากกว่ากัน และยังนำเอาตัวเลขของความเสียหายหลายแสนล้านจากการทุจริตของนายกรัฐมนตรีก่อนหน้าที่ลุงตู่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรี ทุกอย่างเป็นความจริงเชิงประจักษ์ ดูได้จากคำพิพากษาของศาล ดังนั้นหัวที่ถูกเด็ดจึงไม่ใช่หัวลุงตู่ เพราะกระสุนที่สาดมานั้น ไม่ได้กระทบลุงตู่แต่อย่างใด แต่มันทำให้คนแดนไกลหัวขาด

       การร่ายยาวด่าลุงตู่ พร้อมกับสรรเสริญคนแดนไกลของฝ่ายค้านนั้นเป็นเรื่องที่สวนกับความจริงเชิงประจักษ์ ถ้อยคำที่ร่ายยาวมานั้น มันคือการสร้างวาทกรรมด่าลุงตู่ พยายามจะด้อยค่าลุงตู่ว่าเป็นคนโง่ เป็นคนไม่เก่ง เป็นคนไม่มีภาวะผู้นำ เป็นคนนำพาประเทศชาติล้มเหลว ประชาชนเดือดร้อนจากเศรษฐกิจ และล้มตายจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 การร่ายยาวเช่นนี้ทำให้มีคนเอาประวัติความเก่งของลุงตู่ออกมาฉายกันเต็มพื้นที่ Social Media ขณะเดียวกัน เรื่องใหญ่ 2 เรื่อง คือ เรื่องการจัดการกับโควิด และการบริหารเศรษฐกิจในยามวิกฤตที่หยิบยกมาเล่นงานลุงตู่นั้น ไม่ใช่ความฉลาดอะไรเลย เพราะทั้ง 2 เรื่องที่ว่านี้ลุงตู่ทำได้ดี มีตัวเลขเชิงประจักษ์ ทั้งสถิติภายในประเทศ การจัดอันดับของต่างประเทศ ยกย่องประเทศไทยว่าสามารถจัดการกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ดีเป็นอันดับ 1 ของโลก และเป็นประเทศที่จะฟื้นตัวด้านเศรษฐกิจได้อย่างรวดเร็ว จำนวนนักท่องเที่ยว รายได้จากการท่องเที่ยว การเติบโตของการส่งออก เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ เป็นตัวเลขที่แสดงให้เห็นความสำเร็จในการบริหารบ้านเมืองของลุงตู่

       แม้จะมีปัญหาเรื่องราคาน้ำมันและราคาสินค้าที่แพงขึ้น ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะจัดการเด็ดหัวลุงตู่ได้ เพราะปัญหาดังกล่าวนี้เป็นเรื่องที่สามารถอธิบายได้ เป็นคำอธิบายที่สมเหตุสมผล เพราะสถานการณ์ดังกล่าวนั้นเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก และไทยเราก็สามารถจัดการได้ดีกว่าประเทศอื่น ราคาน้ำมันก็ไม่ได้แพงไปกว่าประเทศอื่น ยังถูกกว่าอีกหลายประเทศ ที่สำคัญคือยังมีให้เติม ราคาสินค้าที่แพงขึ้น หากดูตัวเลขเงินเฟ้อ เราก็มีอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำกว่าอีกหลายๆ ประเทศ ประชาชนฟังคำอธิบายของรัฐบาลก็เข้าใจ พวกเขาจึงมองว่าฝ่ายค้านยังทำการบ้านมาไม่ดีพอ การอวดอ้างความฉลาดของคนแดนไกลนั้น ลุงตู่สวนกลับได้เจ็บแสบดีว่า "ถ้านายของสูเจ้าฉลาดจริง ก็ต้องหาทางกลับประเทศไทยได้"

       นอกจากเนื้อหาแล้ว ถ้อยคำและลีลาที่ใช้ในการอภิปรายของ ส.ส.บางคนก็หยาบคาย ต่ำตม แบบที่ไม่น่าเชื่อว่าคนที่เรียกตัวเองว่า “ผู้ทรงเกียรติ” จะใช้ภาษาและลีลาอย่างที่ได้เห็นนั้น นอกจากนั้นแล้วมีการนำสิ่งของมาเป็นองค์ประกอบในการอภิปรายที่ดูเป็นเรื่อง “เล่นๆ” มากกว่าที่จะเป็นเรื่องของการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล และบางอย่างก็เอามาใช้แบบไม่ถูกต้อง ข้อมูลไม่ดีพอ และที่ประชาชนรับไม่ได้เลยก็คือการวางดอกไม้จันทน์ที่ป้ายชื่อนายกรัฐมนตรี มันเป็นการกระทำที่ไร้จริยธรรม และเป็นการกระทำที่ไม่มีมารยาท คนที่คิดเป็นและมีคุณสมบัติของผู้ดี เขาคงไม่ทำกันแบบนี้ ขอบคุณที่ทำให้พวกเราได้เห็นผลงานของรัฐบาล และคิดว่าลุงตู่คงอยู่อีกนาน นั่งร้านยังไม่พัง หัวยังไม่ขาดนะ...ขอบอก.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

จะมาจากแหล่งไหน....ก็ไม่สบายใจทั้งนั้น

ก่อนการเลือกตั้ง เมื่อมีการหยั่งเสียงคะแนนนิยมว่าก้าวไกลมีคะแนนชนะเพื่อไทย ความร้อนรนกลัวแพ้ บนเวทีปราศรัยของพรรคเพื่อไทยก็มีการประกาศทันทีว่าจะแจกเงินดิจิทัล

ความแตกต่างระหว่าง'มนุษย์'กับ'สัตว์เดียรัจฉาน'

คำพูด บทสนทนา ในบทละครเรื่องพระเจ้า Richard ที่ 3 ของคุณปู่ William Shakespeare ที่กลายมาเป็นคำคม เป็นวาทะ อันถูกนำไปเอ่ยอ้างคราวแล้ว คราวเล่า คือคำพูดประโยคที่ว่า

ประวัติศาสตร์สีกากี

ต้องบันทึกเป็นประวัติศาสตร์อีกหน้าของ "กรมปทุมวัน" ที่มีการเซ็นคำสั่งให้ นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ระดับ "รอง ผบ.ตร." ออกจากราชการไว้ก่อน ผลพวงจากการต้องคดีฟอกเงินเว็บพนันออนไลน์

สุขสันต์วันเกิดเมืองยาวหนึ่งปี

ดวงชะตาเมืองรัตนโกสินทร์ที่ถือกำเนิดจากพิธีวางเสาหลักเมือง หรือพระราชพิธีพระนครฐาน สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัช

ยโสโอหังไม่ฟังใคร ไม่สนใจกระแส...คิดว่าแจงได้

อ่อนอกอ่อนใจจริงๆ กับสถานการณ์บ้านเมืองเวลานี้ ตั้งแต่ถ้อยคำ วาจา ท่าที ลีลาการหาเสียงของคนที่ถูกวางตัวว่าวันหนึ่งจะได้เป็นผู้นำประเทศ ตะโกนด้วยสุ้มเสียงมั่นอกมั่นใจในสิ่งที่พูด ท