แบงก์ชาติบอกว่าพร้อมใช้ ‘ยาแรง’ แต่ ‘เครื่องมือมีจำกัด’

หมดยุคดอกเบี้ยต่ำแล้ว...มีแต่จะเผชิญกับ “เงินเฟ้อ” สูง...ล่าสุดธนาคารแห่งประเทศไทยบอกว่าพร้อมจะใช้ “ยาแรง” ถ้าเงินเฟ้อสูงเกินเป้าหมายที่ตั้งไว้

สถานการณ์เรื่องเงินๆ ทองๆ ของโลกยังอยู่ในภาวะผันผวนหนัก เพราะสงครามยูเครนยังทำท่าว่าจะลากยาว

คณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยมีมติเป็นเอกฉันท์เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ให้ขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% ไปอยู่ที่ 1.00%

ถือว่าเป็นการปรับขึ้นตามแนวทางที่ตลาดคาดเอาไว้

อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินบาทกับดอลลาร์สหรัฐฯ ยังอยู่ในทิศทางที่ดอลลาร์แข็งต่อเนื่อง เงินบาทจึงยังอ่อนต่อ อ่อนไปทางเดียวกับเงินสกุลอื่นๆ ในภูมิภาคนี้

โดยข้อมูลจากแบงก์ชาติแจ้งว่า ในช่วงเวลาตั้งแต่ต้นปีนั้น

ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า 18.4%

เยนอ่อนค่า 20.3%

ปอนด์อ่อนค่า 19.8%

วอนอ่อนค่า 16.4%

เปโซอ่อนค่า 13.6%

ดอลลาร์ไต้หวันอ่อนค่า 12.6%

บาทอ่อนค่า 12.1%

 คุณปิติ ดิษยทัต ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) บอกว่า การอ่อนค่าของค่าเงินในช่วงที่ผ่านมานี้ ยังไม่ได้ส่งผลต่อเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในภาพรวม เนื่องจากการอ่อนค่าของเงินบาท เป็นการแข็งค่าของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ 

สาเหตุหลักก็เป็นเพราะธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเร็วและแรงมาก ซึ่งตั้งแต่ต้นปีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นถึง 18%

“การแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ถือว่าเพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ทำให้เกือบทุกประเทศในโลกนี้มีค่าเงินที่อ่อนลง เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ 

ฉะนั้น การที่เงินบาทอ่อนลงไม่ใช่ปัจจัยเฉพาะเศรษฐกิจไทย และหากมองการอ่อนค่าของเงินบาทแค่ในภูมิภาคเอเชีย เงินบาทยังอยู่ระดับกลางๆ อ่อนลงมา 12% ตั้งแต่ต้นปี อ่อนค่าลงน้อยกว่าไต้หวัน ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น และเกาหลี” คุณปิติบอก

แต่ กนง.ก็บอกว่าเรื่องค่าเงินเป็นสิ่งที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด เพราะในช่วงที่มีความผันผวนสูง 

คณะกรรมการตระหนักว่าความสามารถของนโยบายการเงิน และเครื่องมือที่มีอยู่ ในการที่จะดูแลการแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐ “มีจำกัด”

ถามว่าถ้าดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นอีก ไทยจะทำอะไรได้บ้าง

คุณปิติยอมรับว่า “ก็คงทำได้ไม่เยอะ”

และเสริมว่า “หากต้องทำก็ต้องใช้อะไรที่แรง”

แม้ไทยจะปรับขึ้นดอกเบี้ยเพียง 0.25% ค่าเงินเราก็อ่อนไป 12% 

แต่มีหลายๆ ประเทศ เช่น นิวซีแลนด์ ฟิลิปปินส์ เกาหลี ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากกว่าไทยเยอะ ตั้งแต่ 1-2% ค่าเงินเขาเทียบกับดอลลาร์ก็ยังอ่อนไปมากกว่าของไทย   

แสดงว่าดอกเบี้ยก็เป็นข้อจำกัดว่าจะสามารถดูแลเรื่องค่าเงินเปรียบเทียบกับดอลลาร์ได้มากน้อยขนาดไหน 

เพราะในท้ายที่สุดแล้วการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินเป็นเรื่องของดอลลาร์ที่แข็งเป็นปัจจัยหลัก

                    มีความกังวลเรื่องเงินทุนไหลออกจากประเทศหรือไม่?

เจ้าหน้าที่แบงก์ชาติบอกว่า ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันเงินทุนเคลื่อนย้ายสุทธิเข้าประเทศไทยยังเป็นบวกอยู่ โดยเข้าในระบบการลงทุนหุ้นจำนวนมาก 

จึงเชื่อว่าไทยไม่มีปัญหาเงินทุนเคลื่อนย้ายไหลออก เพราะนักลงทุนยังเห็นศักยภาพของประเทศไทย เพราะเสถียรภาพไทยยังแข็งแกร่ง

เงินทุนสำรองต่างประเทศที่มีอยู่ หากเทียบกับสัดส่วนจีดีพีแล้ว ไทยอยู่อันดับที่ 6 ของโลก และหนี้สินของไทยในต่างประเทศก็ค่อนข้างน้อย หากเทียบกับปริมาณทุนสำรอง โดยมีทุนสำรองปริมาณ 3 เท่าของหนี้สินระยะสั้น

ในภาคธุรกิจนั้น การที่ค่าเงินบาทอ่อนลงก็ช่วยผู้ส่งออกระดับหนึ่ง 

แต่ที่เป็นห่วงคือ ต้นทุนขานำเข้า ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการนำเข้าต้องจ่ายเงินสูงขึ้นในรูปของสกุลเงินบาท 

ในภาพรวม เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง ตามแรงส่งของภาคท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนเป็นสำคัญ 

ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไปยังอยู่ในระดับสูงจากการส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา แม้แรงกดดันด้านอุปทานจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์มีแนวโน้มคลี่คลาย 

เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวได้ต่อเนื่องที่ร้อยละ 3.3 และ 3.8 ในปี 2565 และ 2566 ตามลำดับ 

ตามแรงส่งของภาคท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนเป็นสำคัญ 

ภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวได้ดีกว่าคาด จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 

อีกทั้งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังมีความทั่วถึงมากขึ้น ทั้งในมิติของสาขาธุรกิจ โดยเฉพาะภาคบริการและในมิติของรายได้ที่เริ่มกระจายตัวดีขึ้น 

ขณะที่เศรษฐกิจโลกที่ชะลอลงกว่า คาดส่งผลต่อภาคการส่งออก แต่ไม่ได้กระทบแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในภาพรวม

อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2565 และ 2566 คาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 6.3 และ 2.6 ตามลำดับ 

โดยมีแนวโน้มปรับลดลงตามราคาน้ำมันโลก และปัญหาห่วงโซ่อุปทานที่ทยอยคลี่คลาย 

ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในปี 2565 และ 2566 คาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 2.6 และ 2.4 ตามลำดับ 

ค่าจ้างแรงงานปรับเพิ่มขึ้นในบางภาคธุรกิจและบางพื้นที่ที่ขาดแคลนแรงงาน แต่ยังไม่เห็นสัญญาณการปรับเพิ่มขึ้นในวงกว้าง แรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์ยังมีจำกัด เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังอยู่ระหว่างการฟื้นตัว 

 แบงก์ชาติบอกว่าระบบการเงินโดยรวมมีเสถียรภาพ ธนาคารพาณิชย์มีระดับเงินกองทุนและเงินสำรองที่เข้มแข็ง ความสามารถในการชำระหนี้ของภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนปรับดีขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ 

แต่ยังมีผู้ประกอบการ SMEs ในบางสาขาธุรกิจที่ฟื้นตัวช้า และครัวเรือนรายได้น้อยบางกลุ่มที่ยังอ่อนไหวต่อค่าครองชีพ

คณะกรรมการเห็นว่าควรดำเนินมาตรการปรับโครงสร้างหนี้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเห็นความสำคัญของการมีมาตรการเฉพาะจุดและแนวทางแก้ปัญหาหนี้อย่างยั่งยืนสำหรับกลุ่มเปราะบาง

ที่น่าสนใจคือ คำแถลงที่ว่าหากแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในระยะข้างหน้าเปลี่ยนไปจากที่ประเมินไว้ คณะกรรมการพร้อมที่จะ “ปรับขนาดและเงื่อนเวลา” ของการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้เหมาะสมต่อไป

นั่นย่อมแปลว่าทุกอย่างยังอยู่ในภาวะของความไม่แน่นอนสูง...และปัจจัยหลายประการที่โยงกับความขัดแย้งระดับสากลก็อยู่นอกเหนือการควบคุมของไทย

ที่ว่าพร้อมจะใช้ “ยาแรง” นั้นยังไม่มีใครบอกได้ว่า “แรง” แค่ไหนจึงจะเรียกว่า “แรงพอ”!.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

แชร์สนั่นโซเชียล ลุกโชนเป็นไฟลามทุ่ง! ‘อนุทิน’ บุกเพจ ‘สุทธิชัย’ แจงกรณีคุยกับ ‘ทรัมป์’

ภายหลัง เพจ Suthichai Yoon  โพสต์ข้อความว่า‘ทรัมป์‘ ให้สัมภาษณ์ Wall Street Journal ว่าเขาได้ใช้ tariff กดดันให้ไทยกับกัมพูชายุติการสู้รบ!

ประเทศเดียวในโลก ‘นายกฯทับซ้อน’ มหันตภัยปี 2568

นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่าสำนักวิจัยต่าง ๆ กำลังวิเคราะห์เพื่อพยากรณ์ว่าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายสาหัสอะไรบ้างใน

บิ๊กเซอร์ไพรส์ 'สุทธิชัย หยุ่น' เล่นซีรีส์ 'The White Lotus ซีซั่น 3'

เรียกว่าสร้างความเซอร์ไพรส์อย่างต่อเนื่อง สำหรับซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 ซึ่งจะสตรีมผ่าน Max ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2025 เพราะนอกจากจะมี ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล หรือ ลิซ่า BLACKPINK ไอดอลเกาหลีสัญชาติไทย ที่กระโดดลงมาชิมลางงานแสดงเป็นครั้งแรก ในบทของ มุก สาวพนักงานโรงแรม

ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน

นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ