คำเตือนจาก IMF : วิกฤตเศรษฐกิจ จะดันให้ผู้คนออกมากลางถนน!

หัวหน้าใหญ่ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) Kristalina Georgieva ออกมาเตือนโลกหลายเรื่อง...ที่ล้วนสร้างความน่ากังวลต่อเศรษฐกิจโลกในปีนี้และปีหน้าทั้งสิ้น

ล่าสุดเธอบอกว่า การที่ OPEC+ มีมติให้ลดการผลิตน้ำมันดิบลงวันละ 2 ล้านบาร์เรล จะมีผลต่อเศรษฐกิจโลกในหลายๆ ด้าน

นอกจากเรื่องพลังงานแล้ว เธอก็ยังฝาก 5 คำเตือน” สำหรับทุกประเทศที่จะต้องตั้งรับสถานการณ์ที่ผันผวนปรวนแปรจากนี้ไปให้ดี

หาไม่แล้วอาจจะเจอกับวิกฤตที่คาดไม่ถึงได้อีกมากมาย

“ถ้าเราไม่ลดอัตราเงินเฟ้อลง สิ่งนี้จะทำร้ายผู้ที่อ่อนแอที่สุด เพราะการเพิ่มขึ้นของราคาอาหารและพลังงานสำหรับผู้ที่อยู่ในฐานะที่ดูแลตัวเองได้ก็อาจจะคือความไม่สะดวก แต่สำหรับคนยากจนมันคือโศกนาฏกรรม ดังนั้นเราจึงคิดถึงคนจนก่อนเมื่อเราสนับสนุนการลุกขึ้นต่อสู้กับปัญหาเงินเฟ้อที่รุนแรง” จอร์จีวา, นักเศรษฐศาสตร์จากบัลแกเรียกล่าว

และหลายประเทศก็จะเห็นผู้ประสบภัยวิกฤตเศรษฐกิจออกมาอยู่กลางถนน เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลทำอะไรที่แก้ปัญหาที่หนักหน่วงที่สุดในหลายสิบปี

เธอเสริมว่าธนาคารกลางทั่วโลกไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อ

ในคำปราศรัยของกรรมการผู้จัดการของ IMF ก่อนการประชุมใหญ่ประจำปีของผู้ว่าแบงก์ชาติและรัฐมนตรีคลังประเทศต่างๆ ที่วอชิงตัน ดีซี เธอฝากคำเตือนหลายประการที่ควรแก่การนำมาพิจารณาและแก้ไขปรับปรุงก่อนจะสายเกินไป

คำเตือนข้อแรกคือ เศรษฐกิจโลกกำลังทรุดตัวลงอย่างน่ากังวลใจ

เธอย้ำว่าโอกาสที่จะเกิดการถดถอยของเศรษฐกิจโลกที่เธอเรียกว่า Global Recession กำลังเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

IMF เตรียมประกาศปรับลดประมาณการเศรษฐกิจลงเป็นครั้งที่ 4 สำหรับปี 2023 

ที่น่าเป็นห่วงเป็นพิเศษคือ 1 ใน 3 ของเศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่การหดตัวของเศรษฐกิจ 2 ไตรมาสต่อกันภายในปีนี้และปีหน้า

คำเตือนข้อ 2 คือ ประเทศทั้งหลายต้องมีความระมัดระวังเป็นพิเศษที่จะหลีกเลี่ยงการดำเนิน “นโยบายผิดพลาด"

เหตุเพราะมีปัจจัยที่สลับซับซ้อนมากขึ้น และหนทางการแก้ปัญหาก็ยากขึ้นกว่าเดิมมากนัก

เพราะสัญญาณทั้งหลายส่อไปในทางที่ว่าเงินเฟ้อยังขยับขึ้นต่อเนื่อง หรือไม่ขึ้นก็ไม่ลง ยังอยู่ในภาวะดื้อแพ่ง

เธอย้ำว่ารัฐบาลทั้งหลายต้องเดินหน้าใช้นโยบายการเงินที่เข้มข้นต่อไปอย่างไม่ลังเล

เพราะรัฐบาลในหลายประเทศอาจจะเจอกับแรงกดดันทางการเมืองในยามที่ข้าวยากหมากแพง จึงอาจเริ่มผ่อนปรนมาตรการต่างๆ

คำเตือนจากผู้อำนวยการ IMF ก็คือผู้กำกับนโยบายต้องไม่ใจอ่อน

“อย่าหยุดยั้งมาตรการเหล่านั้นก่อนเวลาอันควร”

โดยย้ำว่าแม้จะเป็นเรื่องยากลำบากและฝืนกระแสของสังคม แต่รัฐบาลก็ต้องเด็ดเดี่ยว

ถึงขั้นที่อาจจะต้องยอมแม้ว่าเศรษฐกิจจะชะลอลง

เพราะในความเห็นของเธอ หากประเทศไหนเริ่มอ่อนล้า ใจอ่อน สิ่งที่ตามมาคือความเสียหายในวันข้างหน้าอาจจะใหญ่โตกว่าเดิมอีกก็ได้

ข้อนี้ยากเป็นพิเศษ และหลายรัฐบาลอาจจะบอกว่าเธอนั่งอยู่ที่สำนักงานใหญ่ IMF ก็พูดอย่างนั้นได้

แต่หากเธอลองมานั่งบริหารวิกฤตปากท้องและความคาดหวังของประชาชนเองก็จะเข้าใจว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

ข้อควรระวังข้อที่ 3 จากผู้อำนวยการกองทุนการเงินระหว่างประเทศคือ ประเทศต่างๆ ระวังการออกนโยบายการคลังที่ "ไม่เหมาะสม"

นั่นย่อมแปลว่า นโยบายการเงินและการคลังต้องมีความสอดคล้องต้องกัน

อย่าเดินไปคนละทาง หรือย้อนแย้งกันเอง

หากจะช่วยประชาชนก็ต้องเลือกเฉพาะกลุ่ม โดยเน้นที่กลุ่มเปราะบาง และมีกรอบเวลาจำกัดที่ชัดเจน อย่าพยายามช่วยทุกคน

อย่าเดินแบบประชานิยมเพื่อคะแนนเสียงทางการเมือง

เพราะถ้าเหวี่ยงแหเพื่อช่วยทุกคน

ก็จะมีผลกระทบในภาพรวมหมด

ลงท้าย ความพยายามของรัฐบาลที่จะช่วยทุกคนก็จบลงด้วยการไม่สามารถช่วยใครได้เลย

คำเตือนประการที่ 4 คือ ให้ระวังมรสุมที่กำลังก่อตัวจนอาจจะกลายเป็นวิกฤตของประเทศที่อยู่ในเกณฑ์เป็น “เศรษฐกิจใหม่” หรือ Emerging Markets Debt Crisis

อาการที่เห็นก็คือ เมื่อดอลลาร์แข็ง เงินสกุลท้องถิ่นก็อ่อน และเมื่อดอกเบี้ยกู้สูงขึ้น เงินก็จะไหลออก

นั่นจะทำให้ประเทศเกิดใหม่เริ่มมีอาการโซซัดโซเซ 

ผอ.ไอเอ็มเอฟประเมินว่า โอกาสที่เงินจะไหลออกจากกลุ่ม Emerging Markets ใน 3 ปีข้างหน้าเพิ่มขึ้นเป็น 40%

และอาการป่วยที่น่าเป็นห่วงก็คือ กว่า 25% ของประเทศ Emerging Markets ได้ผิดนัดชำระหนี้แล้ว

หรือไม่ก็มีผลทำให้ราคาพันธบัตรรัฐบาลร่วงลงมาอย่างแรง

จนหล่นมาอยู่ระดับ "Distressed Level"

ความหมายก็คือ ทำให้ประเทศเปราะบางเหล่านี้กู้เงินยากขึ้นในวันข้างหน้าต่อไป

ยิ่งถ้าเป็นกลุ่มประเทศรายได้ต่ำ สถิติของกองทุนการเงินระหว่างประเทศบอกว่า 60% กำลังมีหรือจะมีปัญหา Debt Distress

อันแสดงออกด้วยราคาพันธบัตรตก ดอกเบี้ยพุ่ง เกิดปัญหาในการกู้ยืมจากตลาดในภาวะที่มีความจำเป็นต้องหาเงินกู้มาประคองสถานการณ์

คำเตือนสุดท้ายจากเบอร์ 1 ของ IMF คือทั้งโลก “ต้องทำงานร่วมกัน”

เพราะหากยังต่างคนต่างคลำหาทางออกเอง ก็จะรอดยาก

เหมือนกับตอนเกิดโรคระบาดโควิด-19 ที่ต่างคนต่างตุนวัคซีนเพื่อแก้ปัญหาของตัวเอง

จนกลายเป็นวิกฤตทั่วโลก เพราะทุกอย่างของโลกใบนี้ล้วนแล้วแต่มีความเชื่อมโยงกันและกัน

เศรษฐกิจถดถอยในประเทศกลุ่มเกิดใหม่ก็สามารถลามไปถึงประเทศร่ำรวย

และยิ่งหากเกิดวิกฤตทางการเมือง เพราะประชาชนในโลกจำนวนมากลุกขึ้นมาประท้วง ออกมาต่อต้านรัฐบาลของตนกลางถนน ความวุ่นวายปั่นป่วนจากซีกโลกหนึ่งก็ย่อมจะลามไปถึงประเทศอื่นๆ ได้

ในภาวะเช่นนี้ไม่มีประเทศกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ไม่ว่าจะร่ำรวยเพียงใดก็ไม่อาจจะแยกตัวเองออกจากส่วนอื่นๆ ของโลกได้

สัญญาณเตือนภัยปรากฏชัดเจนมากขึ้นทุกวัน.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

แชร์สนั่นโซเชียล ลุกโชนเป็นไฟลามทุ่ง! ‘อนุทิน’ บุกเพจ ‘สุทธิชัย’ แจงกรณีคุยกับ ‘ทรัมป์’

ภายหลัง เพจ Suthichai Yoon  โพสต์ข้อความว่า‘ทรัมป์‘ ให้สัมภาษณ์ Wall Street Journal ว่าเขาได้ใช้ tariff กดดันให้ไทยกับกัมพูชายุติการสู้รบ!

ประเทศเดียวในโลก ‘นายกฯทับซ้อน’ มหันตภัยปี 2568

นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่าสำนักวิจัยต่าง ๆ กำลังวิเคราะห์เพื่อพยากรณ์ว่าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายสาหัสอะไรบ้างใน

บิ๊กเซอร์ไพรส์ 'สุทธิชัย หยุ่น' เล่นซีรีส์ 'The White Lotus ซีซั่น 3'

เรียกว่าสร้างความเซอร์ไพรส์อย่างต่อเนื่อง สำหรับซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 ซึ่งจะสตรีมผ่าน Max ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2025 เพราะนอกจากจะมี ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล หรือ ลิซ่า BLACKPINK ไอดอลเกาหลีสัญชาติไทย ที่กระโดดลงมาชิมลางงานแสดงเป็นครั้งแรก ในบทของ มุก สาวพนักงานโรงแรม

ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน

นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ