ข่าวรัฐบาลจีนจะขยับออกจาก ‘โควิดเป็นศูนย์’ มาจากไหน?

มีคนถามผมว่าได้ยิน “ข่าวลือ” ว่าจีนกำลังจะผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิดและอาจจะเปิดประเทศต้นปีหน้า

จริงหรือ?

ผมตอบว่าอย่าเพิ่งเชื่ออะไรจนกว่าจะมีคำยืนยันจากทางการของปักกิ่ง

เพราะฟังดูคำประกาศของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ตอนประชุมสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์เมื่อต้นเดือนนี้ก็ยังประกาศขึงขังว่า “สุขภาพของประชาชนคนจีนต้องมาก่อน”

หลังจากนั้นก็มีข่าวกระเซ็นกระสายว่า ทางการจีนกำลังวางแผนในรายละเอียดเพื่อเตรียมการประกาศผ่อนปรนนโยบาย “โควิดต้องเป็นศูนย์”

นักค้าหุ้นในหลายตลาดได้อ่าน “ข่าวคาดการณ์” จากบางแหล่งก็เริ่มจะเห็นแสงสว่าง

เกิดการไล่ซื้อหุ้นจีนกันเป็นการใหญ่จนดันราคาขึ้นไปอย่างน่าตื่นเต้น

สำนักข่าวรอยเตอร์อ้างแหล่งข่าวจีนที่ระบุว่า อีกไม่กี่เดือนจากนี้ทางการปักกิ่งอาจเปลี่ยนมาตรการป้องกันการระบาดของโคโรนาไวรัสอย่างมีนัยสำคัญ

รอยเตอร์อ้างข้อมูลจาก เจิ้ง กวง อดีตหัวหน้านักระบาดวิทยาที่ศูนย์ป้องกันและควบคุมโรค หรือ CDC ของจีน กล่าวที่การประชุมที่มีบริษัท Citi เป็นเจ้าภาพว่าการผ่อนมาตรการโควิดอาจจะเกิดขึ้นจากแผนการนี้

โดยอ้างเหตุผลมาจากงานวิจัยที่จีนทำได้คืบหน้าในเรื่องยาต้านไวรัส รวมถึงวัคซีนชนิดใหม่ๆ

ที่การประชุมนี้ ซึ่งมีชื่อหัวข้อว่า “China’s Exit Strategy from Zero COVID”

หัวข้อนี้บอกว่าเป็นการพูดถึง “ยุทธศาสตร์ทางออกจากโควิดเป็นศูนย์ของจีน”

พอเห็นหัวข้อนี้เท่านั้นแหละ บรรดานักวิเคราะห์ที่เฝ้าคอย “ข่าวดี” มายาวนานก็กระโดดใส่ทันที

ออกรายงานว่ามี “สัญญาณ” ว่าจะมีการ “ผ่อนคลาย” ในเร็วๆ นี้แหละ

ทั้งๆ ที่นั่นคือหัวข้อการถกแถลง “ทางวิชาการ” เท่านั้น

ส่วนการปรับเปลี่ยนนโยบายใดๆ ที่ระดับนำของพรรคและรัฐบาลได้ประกาศเป็นยุทธศาสตร์ระดับชาติขนาดนี้นั้นต้องเป็นการตัดสินใจของฝ่ายการเมืองเท่านั้น

และ “การเมือง” ในที่นี้ย่อมหมายถึงท่านผู้นำสี จิ้นผิง แต่เพียงผู้เดียว

ในการสัมมนาวันนั้น ตอนหนึ่งหัวหน้านักวิเคราะห์เศรษฐกิจจีนของบริษัทการเงิน Citi หยู เซียงหรง ถาม เจิ้ง กวง เกี่ยวกับกรอบเวลาที่จะเกิดการปรับแผน

ได้รับคำตอบว่า ถ้าจีนจะเปิดประเทศ ก็น่าจะเกิดหลังการประชุมสภาประชาชน ซึ่งตามปกติจะมีขึ้นในต้นเดือนมีนาคม

แต่ต้องระวังคำว่า “ถ้า” ไว้ด้วย

เพราะทุกคนมีความเห็นได้ในเรื่องนี้ และทุกคนมีสิทธิ์จะแสดงความโน้มเอียงที่อยากจะเห็นการผ่อนคลาย

แต่นั่นมิได้มาจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งก็จะต้องคอยฟังเสียงจากหัวหน้าของหัวหน้าของหัวหน้าอีกทีหนึ่ง

รอยเตอร์บอกว่าข้อมูลเหล่านี้มาจากรายงานการประชุมเท่านั้น มิได้มีข้อสรุปว่านโยบายจะเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยนแต่อย่างใด

Citi ไม่ยอมให้ความเห็นในเรื่องนี้

น่าจะเป็นเพราะเรื่องอย่างนี้มีความ “ละเอียดอ่อน” เกินไปที่จะนำมากล่าวในที่สาธารณะได้

แม้จะเป็นแค่การ “ประเมินจากข้อมูลเบื้องต้น” แต่หากไม่สอดคล้องกับแนวทางของทางการ คนที่พูดก็อาจจะเข้าข่าย “นำเสนอความเห็นที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง” ได้

ใครที่มีธุรกิจธุรกรรมในเมืองจีนย่อมไม่ต้องการจะมีปัญหากับทางการ จึงต้องพยายามหลีกเลี่ยง “การคาดการณ์” ที่อาจจะนำความไม่สะดวกในชีวิตประจำวันมาให้กับตัวเอง

แหล่งข่าวอีก 3 ราย “ที่ไม่ประสงค์จะออกนาม” บอกรอยเตอร์ด้วยว่าจีนอาจลดจำนวนวันกักตัวของผู้เดินทางเข้าประเทศด้วย

แต่นั่นก็คงจะเป็นการประเมินเอาเองอีกเช่นกัน

พอสำนักข่าวต่างประเทศพยายามติดต่อกระทรวงต่างประเทศและเจ้าหน้าที่สาธารณสุขของจีนเพื่อจะถามว่ามีความเป็นไปได้เพียงใดที่จะมีการ “ผ่อนคลาย” ก็ได้รับคำปฏิเสธทำนองว่ายังไม่มีอะไรที่เป็นข่าวได้

แม้แต่โฆษกกระทรวงทั้ง 2 ก็ต้องพูดจาอย่างระมัดระวัง เพราะขืนแสดงความเห็นไปทางใดทางหนึ่งก็เสี่ยงที่จะผิดจากแนวทางทางการได้

ปฏิเสธไว้ก่อนเป็นอันปลอดภัยสำหรับพวกเขาและเธอ

แต่แวดวงการลงทุนและตลาดหุ้นเริ่มกระสับกระส่ายแล้ว

บางคนอยากเชื่อว่า “มีอะไรในกอไผ่” หรือ “ไม่มีควันก็ไม่มีไฟ” จึงเกิดการเก็งกำไรในการซื้อขายหุ้นกันอย่างคึกคักอยู่หลายวัน

จนเมื่อข่าวไม่ไปถึงไหน สถานการณ์ก็กลับมาแน่นิ่งอีกครั้ง

เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะทัศนะของเจิ้งช่วยเพิ่มความหวังให้กับนักลงทุนที่ต้องการเห็นทางการจีนผ่อนคลายมาตรการป้องกันโควิด

อันเป็นแนวทางที่เคร่งครัดและมีความเฉพาะเจาะจงแตกต่างจากประเทศอื่นๆ

อีกทั้งมาตรการอันเข้มงวดของกฎต่างๆ ยังสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจจีนอย่างต่อเนื่องด้วย

แต่ระดับนำของจีนมีวิธีมองยุทธศาสตร์เรื่องนี้อีกอย่างหนึ่ง

ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขที่ไม่ใช่คนของรัฐบาลจีนบอกว่า การเปิดประเทศของจีนต้องมีเงื่อนเวลาที่ชัดเจน รวมทั้งต้องคำนึงถึงการแผนฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นภูมิต่อประชากร 1,400 ล้านคนด้วย

ในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า จีนกำลังเตรียมแผนที่จะยกเลิกมาตรการลงโทษสายการบินที่นำผู้ติดโควิดเข้าสู่จีน

มีคนตีความทันทีว่า นั่นคือจุดเริ่มต้นของการ “ผ่อนคลาย”

สายการบินจีนมีเที่ยวบินต่างประเทศเฉลี่ย 145 เที่ยวต่อวัน ในเดือนตุลาคม เพิ่มขึ้น 21.9% จากเดือนก่อน ตามข้อมูลของ Variflight

แต่จำนวนเที่ยวบินเข้าและออกจากจีนในขณะนี้คิดเป็นเพียงแค่ 7.3% ของปี 2019 เท่านั้น...ตามข้อมูลขององค์กรข้อมูลการบิน 2 แห่งคือ CAPA และ OAG

ผมตรวจดูข้อมูลจากคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติของจีนเปิดเผยเมื่อวันอังคารก็พบว่า จีนแผ่นดินใหญ่มีผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อโควิด-19 จำนวน 890 ราย โดย 843 รายเกิดจากการแพร่เชื้อในท้องถิ่น และ 47 รายมาจากต่างประเทศ

ในวันจันทร์มีผู้ป่วยที่ไม่แสดงอาการรวมทั้งสิ้น 6,801 ราย และผู้ป่วยที่ไม่มีอาการ 41,031 ราย ยังคงอยู่ภายใต้การสังเกตทางการแพทย์

ยอดผู้ป่วยยืนยันสะสมในจีนแผ่นดินใหญ่อยู่ที่ 265,013 ราย โดยยอดผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 อยู่ที่ 5,226 ราย

จำนวนผู้ป่วยที่ได้รับการยืนยันล่าสุดในเขตบริหารพิเศษฮ่องกงและมาเก๊าและภูมิภาคไต้หวันมีดังนี้ :

ฮ่องกง : 439,251 (รักษาหาย 92,978 ราย เสียชีวิต 10,475 ราย)

มาเก๊า : 795 (รักษาหาย 787 ราย เสียชีวิต 6 ราย)

ไต้หวัน : 7,904,094 (รักษาหาย 13,742 ราย เสียชีวิต 13,232 ราย)

ดูจากตารางที่ผมเอามาให้ดูจากสื่อทางการจีนก็จะเห็นตัวเลขผงกหัวขึ้นในช่วงต้นสัปดาห์นี้

จึงพอจะสรุปได้ว่า ข่าวเรื่องจีนออกจากนโยบาย “Zero Covid” ยังเป็นแค่ข่าวคาดการณ์มากกว่าข่าวจริง

สี จิ้นผิง ไม่ใช้วิธี “โยนหินถามทาง” อย่างที่นักเก็งกำไรคาดการณ์กันหรอกครับ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

บทเรียนสีหนุวิลล์สำหรับไทย

ความสัมพันธ์อันใกล้ชิดของจีนกับกัมพูชามาในหลายรูปแบบ...และหนึ่งในนั้นคือการสร้างสีหนุวิลล์เป็นศูนย์กลางด้านความบันเทิง หรือที่เรียกว่า Entertainment Complex

อิหร่าน-อิสราเอล: ทุกฉากทัศน์ล้วนเสี่ยงสูง

คณะรัฐมนตรีสงครามหรือ War Cabinet ของอิสราเอลประชุมกันเคร่งเครียดมาหลายรอบ...สรุปได้เพียงว่าจะต้องตอบโต้อิหร่านแน่...แต่ไม่ระบุว่าเมื่อไหร่และด้วยยุทธการแบบใด

สิงคโปร์ผลัดใบการเมืองครั้งสำคัญ ‘หลี่’ (72) ส่งไม้ต่อ ‘หว่อง’ (52)

นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของสิงคโปร์ Lawrence Wong ที่จะรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการวันที่ 15 พฤษภาคมนี้ต้องถือว่ามาจากครอบครัวชนชั้นทำงานจริง ๆ

“เซฟโซน” ฝั่งเมียวดีอาจจะเป็น ก้าวเล็กๆ ของกระบวนการเจรจา?

ความเคลื่อนไหวตรงข้ามชายแดนไทยฝั่งพม่ามีการปรับเปลี่ยนตลอดเวลา และความไม่แน่นอนนี้เองที่ทำให้รัฐบาลไทยต้องให้ความสำคัญกับการสร้างกลไกติดตามอย่างมีประสิทธิภาพ

ไบเดนควงคิชิดะ มาร์กอสประกาศสกัดการขยายอิทธิพลจีน!

ผมเห็นนายกฯฟูมิโอะ คิชิดะของญี่ปุ่นปราศรัยต่อสภาคองเกรสสหรัฐฯเป็นภาษาอังกฤษปลายสัปดาห์ที่ผ่านมากล่าวหาจีนว่าเป็น “ภัยคุกคามต่อภูมิภาคนี้อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน” แล้วก็พอจะรู้ว่าความตึงเครียดจะต้องถูกยกระดับขึ้นมาอย่างแน่นอน

ปูติน-คิม: ยิ่งโลกยุ่ง สองสหายยิ่งแน่นแฟ้น

ยิ่งนับวันเกาหลีเหนือก็ยิ่งขยับใกล้รัสเซียมากขึ้น...หลักฐานอาวุธจากเปียงยางไปปรากฏในสมรภูมิยูเครนตอกย้ำว่า “คิม จองอึน” กับ “วลาดิมีร์ ปูติน” กำลังสานสัมพันธ์ใกล้ชิดมากขึ้นทุกวัน