เริ่มแล้วครับ การประชุมสุดยอดอาเซียนที่กรุงพนมเปญ ท่ามกลางการเมืองโลกที่ร้อนระอุ ท้าทายความ “มีน้ำยา” ขององค์กรแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แห่งนี้อย่างหนัก
การประชุมอาเซียนซัมมิต 12-13 พฤศจิกายน จะตามมาด้วยเวที G-20 ที่เกาะบาหลีของอินโดนีเซีย ซึ่งจะมีขึ้นในช่วง 13-16 พฤศจิกายนนี้
หลังจากนั้นก็จะเป็นการประชุมสุดยอด APEC ที่กรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 18-19 พฤศจิกายนนี้
คาดกันว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ จะไปร่วมประชุมที่พนมเปญและบาหลี
ส่วนประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีนจะไปที่บาหลี และกรุงเทพฯ
ประธานาธิบดีปูตินของรัสเซียที่เดิมมีข่าวว่าจะไปบาหลีก็เปลี่ยนใจแล้ว ตัดสินใจไม่ไปร่วมประชุมที่นั่น
สาเหตุหนึ่งคงจะเป็นเพราะสถานการณ์สงครามในยูเครนที่กำลังเข้าสู่โหมดที่รัสเซียต้องปรับแผนการรบอย่างต่อเนื่อง
ล่าสุดทหารรัสเซียต้องถอยร่นออกจากเมือง Kherson ทางใต้ของยูเครน ซึ่งเป็น 1 ใน 4 แคว้นที่รัสเซียเพิ่งประกาศผนวกเป็นส่วนหนึ่งของตนเมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง
การที่กระทรวงกลาโหมรัสเซียยอมรับว่าต้องสั่งทหารของตนถอยออกมาเคอร์ซอนนั้นเป็นเรื่องที่ทำด้วยความจำใจ
เพราะทหารรัสเซียในแนวรบนั้นไม่อาจจะรับมือการรุกหนักของทหารยูเครน
อีกทั้งยังต้องอพยพทหารและพลเรือนออกไปเสียก่อนท่ามกลางข่าวที่ว่าเขื่อนใหญ่ในบริเวณนั้นกำลังจะแตก เพราะการถล่มโจมตีกันและกัน
สี จิ้นผิง ส่งนายกรัฐมนตรีหลี่ เค่อเฉียง ไปประชุมสุดยอดอาเซียนที่กัมพูชาแทนตน
ขณะที่ไบเดนให้รองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส มาร่วมประชุม APEC ในนามของสหรัฐฯ
จึงต้องคอยดูว่าผู้นำมหาอำนาจที่มาร่วมประชุม 3 เวทีใหญ่ในอาเซียนนี้จะมีการนัดพบกันนอกรอบเพื่อถกประเด็นปัญหาวิกฤตที่โลกกำลังเผชิญอยู่มากมายหลายเรื่องหรือไม่ อย่างไร
แต่เมื่อสี จิ้นผิง ไม่ไปพนมเปญ ปูตินไม่ไปบาหลี และไบเดนไม่มากรุงเทพฯ ก็จะเหลือเวทีเดียวที่ไบเดนกับสี จิ้นผิง อาจจะเจอกันได้ตัวเป็นๆ
นั่นคือเวที G-20 ที่บาหลี
กล่าวเฉพาะเวที APEC ที่กรุงเทพฯ นั้น สี จิ้นผิง น่าจะโดดเด่นที่สุดในบรรดาผู้นำมหาอำนาจ
เพราะปูตินและไบเดนไม่มาร่วมอาเซียนซัมมิต เหลือสี จิ้นผิง เป็นดาวเด่นที่อาจจะประกบด้วยผู้นำจากฝรั่งเศส, ญี่ปุ่น, ออสเตรเลีย, แคนาดา, และนิวซีแลนด์ เป็นต้น
หนึ่งในหัวข้อสำคัญที่พนมเปญ ผู้นำกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนเข้าร่วมประชุมสุดยอดท่ามกลางประเด็นท้าทายในการลดความรุนแรงน่าจะเป็นสถานการณ์ในเมียนนา
เพราะแม้อาเซียนจะกดดัน, เรียกร้อง, อ้อนวอนให้ผู้นำทหารพม่าทำตาม “ฉันทามติ 5 ข้อ” ที่พลเอกอาวุโสมิน อ่อง หล่าย ได้ทำไว้กับอาเซียน แต่ก็ไม่มีความคืบหน้าในเรื่องนี้แต่ประการใด
หัวข้ออื่นของผู้นำอาเซียนก็ควรจะเป็นความขัดแย้งในทะเลจีนใต้ การฟื้นฟูประเทศจากการระบาดของโควิด-19 การค้าในภูมิภาค กับการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศผิดธรรมชาติ
ความหวังของนายกฯ ฮุน เซน แห่งกัมพูชา ในฐานะประธานที่ประชุมที่จะให้เวทีนี้ช่วยไกล่เกลี่ยเรื่องสงครามยูเครนไม่น่าจะเกิดขึ้นได้
เพราะแม้ ฮุน เซน จะเชิญทั้งปูตินและเซเลนสกีมาร่วมประชุมด้วย แต่ทั้ง 2 ก็คงจะมีข้ออ้างที่จะไม่ออกนอกประเทศในตอนนี้
แต่ ฮุน เซน ก็เดินหน้าเล่นบทของนักการทูตนานาชาติด้วยการต้อนรับรัฐมนตรีต่างประเทศยูเครน ดเมทรี กูเลบา มาเยือนกัมพูชาอย่างคึกคัก
รัฐมนตรียูเครนมาร่วมลงนามในสนธิสัญญา Asean ว่าด้วยมิตรภาพและความร่วมมือ (Treaty of Amity and Cooperation หรือ TAC) กับอาเซียนในการมาเยือนครั้งนี้ด้วย
มีข่าวว่า นายกฯ ฮุน เซน ได้เชิญประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ของยูเครน มาร่วมประชุมด้วย
และหากมาด้วยตัวเองไม่ได้ก็สามารถจะพูดผ่านระบบออนไลน์ได้เช่นกัน
แต่ถึงวันนี้ก็ยังไม่ได้รับการยืนยันเพิ่มเติมในเรื่องนี้จากทางการกัมพูชา
หากย้อนกลับไปสมัยอดีต ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เขาไม่ได้เข้าร่วมอาเซียนซัมมิตมาตั้งแต่ปี 2017 และยังเดินออกจากการประชุมในปีนั้นก่อนเวทีการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออกด้วย
โดยมอบหมายให้เร็กซ์ ทิลเลอร์สัน รัฐมนตรีต่างประเทศในสมัยนั้นรับหน้าที่ต่อ
การที่ไบเดนตัดสินใจมาร่วมอาเซียนซัมมิตนั้นสะท้อนว่า เขาเชื่อว่าจะสามารถส่งเสริมให้เกิดประโยชน์ของอเมริกา
อาจตีความได้ว่าเขามีความมุ่งมั่นให้อเมริกามีบทบาทคึกคักอีกครั้งหนึ่งในภูมิภาคนี้
น่าสังเกตเช่นกันว่า ปีนี้อาเซียนได้ยกระดับความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ ไปสู่สถานะ "หุ้นส่วนกันเชิงยุทธศาสตร์แบบครอบคลุม" หรือ Comprehensive Strategic Partnership ซึ่งก็เทียบเท่ากับจีนที่ได้รับสถานะนี้ไปเมื่อปีก่อน
หากเกาะติดความเคลื่อนไหวของสหรัฐฯ ที่เกี่ยวกับอาเซียนจะเห็นว่า เมื่อเดือนตุลาคม แดเนียล คริเทนบริงค์ (Daniel Kritenbrink) ผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ฝ่ายกิจการเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก ให้ความเห็นว่า การประชุมสุดยอดในเวทีต่างๆ นี้ จะเป็นโอกาสในการ “สร้างความสัมพันธ์ทางการทูตในภูมิภาคในหลายระดับ” และสหรัฐฯ จะมุ่งเน้น “สานต่อโครงการความร่วมมือต่างๆ ที่ได้ให้คำมั่นสัญญาไว้ มากกว่าการเสนอโครงการริเริ่มใหม่ๆ อีกมากมายเข้ามา”
และบอกด้วยว่า “การปรากฏตัวของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ ในเวทีเหล่านี้ จะแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่แข็งแกร่งและยืนยงกับภูมิภาคนี้”
และเสริมว่า “ตั้งแต่ระดับประธานาธิบดี รัฐมนตรีต่างประเทศ ไปจนถึงรัฐบาลสหรัฐฯ ต่างรู้ว่าอนาคตด้านความมั่นคงและมั่งคั่งของอเมริกันขึ้นอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นในภูมิภาคอินโดแปซิฟิก”
ข่าวหลายกระแสแจ้งตรงกันว่า ในการประชุมครั้งนี้สหรัฐฯ จะหารือกับอาเซียนในเรื่องการเพิ่มแรงกดดันต่อเมียนมาให้ยุติการใช้ความรุนแรงและเดินหน้ากลับสู่เส้นทางประชาธิปไตยอีกครั้ง
เจ้าหน้าที่ชั้นสูงของสหรัฐฯ คนนี้ย้ำว่า “เราจะไม่นั่งอยู่เฉยๆ ในระหว่างที่ความรุนแรงยังดำเนินต่อไป”
สหรัฐฯ พยายามกดดันแบบเงียบๆ ให้สมาชิกอาเซียนเลิกคบหารัฐบาลทหารเมียนมาในทุกๆ ด้าน
รวมทั้งไทยก็ถูกร้องขอให้เลิกซื้อก๊าซจากพม่า เพื่อไม่ให้รัฐบาลที่มาจากรัฐประหารมีรายได้จากธุรกรรมต่างๆ เหล่านี้
ที่ผ่านมา รัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนได้แต่เพียงออกแถลงการณ์เป็นระยะๆ วิพากษ์รัฐบาลทหารในเมียนมา
โดยเน้นที่ว่าการปฏิบัติตามฉันทามติ 5 ข้อไม่มีความคืบหน้าใดๆ
ว่าแล้วก็โยนเผือกร้อนนี้เข้าสู่การหารือระดับผู้นำในเวทีประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่กำลังดำเนินอยู่ในสัปดาห์นี้
ผมจะคอยฟังคำแถลงของไบเดน และการแสดงออกของนายกฯ หลี่ เค่อเฉียง ที่พนมเปญว่าต่างจะรักษาท่าทีของตนเองต่อเมียนมา...และสงครามยูเครนอย่างไร
เพราะจะเป็นการส่งสัญญาณที่มีนัยสำคัญอย่างยิ่งต่ออนาคตของความสัมพันธ์ของยักษ์ๆ ต่ออาเซียนและพม่า.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ทิม คุกบินไปเวียดนาม-อินโดฯ ทำไมไม่แวะประเทศไทย?
สัปดาห์ก่อน ทิม คุก ซีอีโอของ Apple บินข้ามไทยไปเวียดนาม, อินโดนีเซียและสิงคโปร์ เพื่อสรุปแผนการลงทุนหรือเพิ่มกิจกรรมในประเทศเหล่านั้น
มะกันทุ่ม 3.5 ล้านล้านบาท ให้ยูเครน, อิสราเอล, ไต้หวัน!
งบประมาณก้อนใหญ่ที่สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ อนุมัติเพื่อช่วยยูเครน, อิสราเอล และไต้หวันเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา จะช่วยลดความกังวลของยูเครนว่ากำลังจะแพ้สงครามได้หรือไม่...ยังต้องคอยดูของจริงในสมรภูมิรบต่อไป
แจกเงินผ่านดิจิทัลวอลเล็ต: ปีศาจอยู่ในรายละเอียด!
นโยบายแจกเงินหมื่นผ่านดิจิทัลวอลเล็ตถึงวันนี้ก็ยังเป็น “ลูกผีลูกคน” อยู่
เชื่อไหม:อิสราเอลกับ อิหร่านเคยรักกัน?
อิสราเอลกับอิหร่านเปิดศึกสงครามที่สร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วโลกวันนี้ มีคำถามว่าทั้ง 2 ชาตินี้กลายเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันอย่างรุนแรงเช่นนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่ และมีเหตุผลแห่งความบาดหมางกันอย่างไร
วิกฤตพม่าจากมุมมองของจีน
ถ้าถามว่าทำไมจีนจึงมีความกังวลกับสงครามในเมียนมาอย่างมาก ดูจากภาพนี้ก็จะเข้าใจ
จีน-อินเดีย: 'สันติภาพร้อน' ที่ทำให้ร่วมแก้วิกฤตพม่าไม่ได้
วิกฤตพม่าทำให้ผมคิดถึงความความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับอินเดียวันนี้ เพราะหากสองยักษ์แห่งเอเชียทำงานร่วมกัน ไทยก็อาจจะเป็นมือประสานให้เกิดกระบวนการเจรจาในพม่าได้