ตำรวจรับกิน

จะว่าไป ศึก “จอมแฉ” ระหว่าง “ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์” อดีตผู้บริหารสถานบริการอาบอบนวดและอดีตนักการเมือง กับ “สันธนะ ประยูรรัตน์” อดีตตำรวจสันติบาล อันเป็นผลพวงมาจากการแฉ

กลุ่มทุนจีนสีเทา!!!

หากตัดมุมการโต้คารม การด่าทอ การฮึดฮัด หวิดจะวางมวยกันหน้าโรงพักทองหล่อ

ก็ต้องบอกว่าอยากให้ ศึก “จอมแฉ” คู่นี้ไปกันให้สุด แฉกันให้ละเอียด นำข้อมูลสีเทา ข้อมูลสีดำ ที่อยู่ใต้ดินนำขึ้นมาตีแผ่บนดินให้ สังคมรับรู้รับทราบ ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจนำไปขยายผลดำเนินคดี

เพราะทั้ง “เฮียชู” และ “รองต่อ” จัดเป็นผู้ที่คร่ำวอด "ยุทธจักรสีเทา"

ต่างมีข้อมูลลึก ข้อมูลลับ มีเส้น มีสาย ในแวดวงนักเลย ในแวดวงการพนัน ในแวดวงคนกลางคืน

ข้อมูลที่ออกมาแฉกันไปกันมา เอาไปกลั่น เอาไปกรอง เอากระชอนไปร่อน น่าจะได้ “ข้อเท็จจริง” เกินกว่า 50%

ที่เหลือก็อยู่ที่ตำรวจ อยู่ที่เจ้าหน้าที่บ้านเมือง จะไปขยายผล จะไปหาพยานหลักฐาน จะไปขุดคุ้ยจับกุมดำเนินคดีมากน้อยแค่ไหน อย่างไรเท่านั้น

ฝ่าย“เฮียชู”ออกมาแฉ...

กลุ่มชาวจีนที่ทำธุรกิจสีเทา 5 กลุ่ม ซึ่งนายสันธนะอ้างว่ารู้จักนั้น กระจายการลงทุนอยู่ในหลายประเทศ เช่น เวียดนาม กัมพูชา ลาว และไทย เพื่อฟอกเงิน เนื่องจากรัฐบาลจีนปราบปรามการทุจริตอย่างหนัก อีกกลุ่มเป็นชาวจีนใส่สูทปล้น เป็นกลุ่มบริษัทและโรงงานจีนในไทย เรียกว่ากลุ่มบริษัทศูนย์เหรียญ เหมือนทัวร์ศูนย์เหรียญ และผับศูนย์เหรียญที่ตำรวจเพิ่งปราบไป กลุ่มนี้เป็นเหมือนเพลี้ยที่เข้าไปสูบทรัพยากรจนแห้ง เมื่อไร้ผลประโยชน์ก็บินไปที่อื่น

บริษัทเหล่านี้ มี 2 กลุ่ม คือบริษัทไทย กฎหมายกำหนดให้มีสัดส่วนคนไทยถือหุ้น 51% และบริษัทต่างชาติ ให้ถือหุ้นในสัดส่วน 49% ซึ่ง พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้าง ประกอบกับ พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ระบุว่า บริษัทต่างด้าวห้ามประกอบธุรกิจที่คนไทยยังไม่มีความสามารถพร้อมจะแข่งขัน เช่น การสีข้าว การทำประมง การผลิตปูนขาว สถาปัตยกรรม การทำกิจการทางวิศวกรรม เป็นต้น

แต่มีบริษัทอักษรย่อ H กรุ๊ป (ประเทศไทย) จดทะเบียนเมื่อปี 2543 ทุนเริ่มต้น 20 ล้านบาท และยังมีผู้ถือหุ้นชาวไทย แต่ปัจจุบันกลับเป็นชาวต่างชาติถือหุ้นร้อยเปอร์เซ็นต์ และทุนจดทะเบียนกว่า 80 ล้านบาท ซึ่งปีนี้บริษัทนี้ เพิ่งประมูลงานติดตั้งมิเตอร์ไฟฟ้าของรัฐ ด้วยงบ 1,500 ล้านบาท และจะสั่งซื้อสินค้ามาจากจีนโดยตรง

ฝ่าย “รองต่อ”ก็ออกมาแฉ...

โดยนำคลิปหลักฐานมาแจ้งความว่ามีกลุ่มวัยรุ่น มีลักษณะคล้ายจะมั่วสุมยาเสพติดที่ผับของโรงแรมนายชูวิทย์ ซอยสุขุมวิท 24

เรียกว่ายืนแลกหมัดกันกลางเวที

ที่สำคัญตอนนี้ทั้งคู่ต่างประกาศศึกตามล้างตามเช็ดกันทุกที ทุกแห่ง ถึงขั้นให้รางวัลการแจ้งเบาะแสการกระทำผิดของคู่ปรับกันแล้ว

ทั้งหมดทั้งมวลมองในอีกมุม เมื่อมีการสาวไส้กันไปมา สังคมก็จะได้รับรู้รับทราบ

ที่สำคัญเชื่อว่า “บิ๊กโจ๊ก”พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร.ที่มาดูแลเรื่องนี้เหล่านี้ น่าจะนำข้อมูลต่างๆไปขยายผลกวาดล้างกลุ่มก๊วนเหล่านี้ให้สิ้นซากได้ไม่ยาก

งานนี้เรียกว่า “ตำรวจรับกิน” เต็มๆ

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

หรือทิ้งทวน?

ดูเหมือนสำนวนไทยที่ว่า "ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่ พอเหลาลงไปกลายเป็นบ้องกัญชา" กำลังถูกนำมาค่อนแคะ เหน็บแนม การแต่งตั้งโยกย้าย "ตำรวจ" ทั้งในระดับ "นายพล" และระดับ "นายพัน" ที่ผ่านมา

ตำรวจไม่เลวไปหมด

ใครจะว่า ใครจะกล่าวหา "ตำรวจ" เป็นองค์กรอาชญากรรม คนพูด คนกล่าวหาก็รู้อยู่แก่ใจ เพราะตัวเองก็เคยอาศัยชายคา อาศัยร่มเงาองค์กร "ตำรวจ" มาเกือบครึ่งค่อนชีวิต

'200 สีกากี' หนาว!

มาพร้อมกับอากาศเย็นๆ ปลายเดือนพฤศจิกายน อาการ "หนาวสะท้าน" ในแวดวง "สีกากี" ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อการแต่งตั้ง "นายพัน" วาระประจำปี 2568

ขยายเก้าอี้ 'นายพัน'

หากไม่มีเรื่อง "สาวไส้ให้กากิน" อย่างกรณี "ตำรวจ" แฉ "ตำรวจ" บางกลุ่ม บางพวก บางคน เข้าไปเกี่ยวข้องกับการรับผลประโยชน์ เกี่ยวข้องกับการรับส่วย

องค์กรอาชญากรรมหรือ?

เห็นด้วยกับท่าที ผบ.ตร.-พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ที่ไม่ออกมาตอบโต้ ออกมาโต้เถียง กับข้อกล่าวหาของ "อดีตตำรวจใหญ่" ที่บอกผ่านสื่อว่า "สำนักงานตำรวจแห่งชาติ" เป็นองค์กรอาชญากรรมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย!!!

ตั้ง 'นายพล-นายพัน'

น่าจะต้องบันทึกเป็นประวัติศาสตร์ "กรมปทุมวัน" อีกครั้ง การแต่งตั้ง "สีกากี" จะมีทั้ง "นายพล" และ "นายพัน" เกิดขึ้นภายในเดือนเดียว