ผู้นำอาเซียนประชุมสุดยอดประจำปีที่กรุงพนมเปญสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาตัดสินใจ “ลอยแพ” รัฐบาลทหารพม่าที่นำโดยพลเอกอาวุโสมิน อ่อง หล่าย อย่างเป็นทางการแล้ว
เป็นมติที่มาจากความหงุดหงิดงุ่นง่านที่ผู้นำทหารพม่าไม่สนใจไยดีกับความเสียหายที่ตนทำกับประเทศ, ประชาชนของตน...และด้อยค่าอาเซียนอย่างต่อเนื่อง
18 เดือนที่ผ่านมาตั้งแต่ มิน อ่อง หล่าย ก่อรัฐประหารล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง เขายังไม่ยอมทำอะไรให้มีความคืบหน้าว่าด้วย “ฉันทามติ 5 ข้อ” ของอาเซียนเลย
เป็นที่มาของมติล่าสุดว่า ผู้นำอาเซียนอีก 9 ประเทศจะไม่เชิญตัวแทนจากภาคการเมืองทหารของพม่ามาร่วมในระดับต่างๆ
เดิมที่ไม่เชิญระดับผู้นำและรัฐมนตรีต่างประเทศก็จะขยายวงไป รวมถึงระดับต่ำกว่านั้นลงมาอีก
เพื่อให้เห็นความจริงจังของอาเซียนต่อการเพิกเฉยของรัฐบาลทหาร
อีกทั้งยังให้มีการร่างแผนสันติภาพในรายละเอียดที่จะมี “กรอบเวลา” ที่ชัดเจนว่าให้ทำภายในเดือนนั้นเดือนนี้
หาไม่แล้ว รัฐบาลทหารพม่าก็จะต้องเจอกับมาตรการ “จากเบาไปหาหนัก”
อาจถึงขั้นระงับสมาชิกภาพของพม่าในอาเซียนก็ได้
เพราะสถานการณ์ในพม่านั้นเลวร้ายลงทุกขณะ อีกทั้งประชาชนก็ยังล้มตายเพิ่มจำนวนขึ้นเพราะการปราบปรามอย่างหนักและรุนแรงของรัฐบาลทหารพม่า
ผู้นำอาเซียนกล่าวในแถลงการณ์เมื่อวันศุกร์ (11 พ.ย.) ว่าได้มอบหมายให้ “คณะมนตรีประสานงานอาเซียน” ทบทวนการเป็นตัวแทนของเมียนมาในการประชุมครั้งต่อไป "หากมีความจำเป็นในสถานการณ์"
อาเซียนจะยังดำรงจุดยืนปัจจุบันในการเชิญเฉพาะผู้แทนที่ไม่ใช่ทางการเมืองจากเมียนมาเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียนและการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน
ขณะเดียวกันผู้นำอาเซียนยังเรียกร้องให้มีการวางแผนดำเนินการและให้มีการกำหนดกรอบเวลาที่ชัดเจนสำหรับข้อตกลงสันติภาพที่เรียกว่า Five-Point Consensus
แผนที่ว่านี้ มิน อ่อง หล่าย เองก็เห็นพ้องด้วยตนเอง เพราะได้รับเชิญไปร่วมประชุมกับผู้นำอาเซียนอื่นๆ ที่จาการ์ตาเมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้ว
แต่ถึงวันนี้ก็ไม่มีความคืบหน้าแต่ประการใด โดยเฉพาะประเด็นที่ให้ทูตพิเศษอาเซียนว่าด้วยกิจการเมียนมาเข้าไปเป็นผู้ไกล่เกลี่ยให้ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายมาตกลงด้วยการเจรจาเพื่อความสมานฉันท์
มติของที่ประชุมผู้นำอาเซียนล่าสุดระบุถึงความจำเป็นที่จะต้องมีแผนการดำเนินงาน "ที่เป็นรูปธรรม ปฏิบัติได้จริงและสามารถวัดผลได้พร้อมไทม์ไลน์เฉพาะเจาะจง"
เพื่อสนับสนุนฉันทามติ 5 ข้อที่จะต้องมีผลที่เป็นรูปธรรม
ที่ประชุมมอบหมายให้รัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนรับภารกิจนี้ไปเขียนแผนปฏิบัติการนี้
เท่ากับเป็นการส่งสัญญาณไปยัง มิน อ่อง หล่าย ว่าคราวนี้อาเซียนเอาจริงกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา
หมดความอดทนแล้ว ว่างั้นเถอะ
ประธานาธิบดีโจโก วิโดโด แห่งชาวอินโดนีเซีย ซึ่งจะรับไม้ต่อในฐานะประธานอาเซียนในปีหน้าต่อจากกัมพูชา เสนอให้รัฐบาลทหารของเมียนมาถูกระงับจากการประชุมของอาเซียนในเวทีอื่นๆ ด้วย
นอกเหนือจากการประชุมระดับสูงที่มีผลมาแล้ว
ว่ากันว่ารอบนี้ผู้นำอาเซียนถกประเด็นเรื่องพม่ากันอย่างเคร่งเครียดและยาวนานเป็นพิเศษ
ไม่เพียงแต่ผู้นำอินโดฯ เท่านั้นที่แสดงจุดยืนที่แข็งกร้าวขึ้นต่อผู้นำทหารพม่า นายกฯ สิงคโปร์ก็หมดความอดทนเช่นกัน
นายกรัฐมนตรีหลี่ เสียน หลง ของสิงคโปร์ บอกว่า เขาเห็นด้วยกับผู้นำอินโดฯ
“เราควรพิจารณาดำเนินการขั้นต่อไปอย่างจริงจัง เพื่อส่งสัญญาณที่ชัดเจนไปยังทางการทหารของเมียนมา” เขาบอกที่ประชุม
“18 เดือนผ่านไป มีความคืบหน้าเพียงเล็กน้อยในการดำเนินการตามข้อตกลงฉันทามติห้าข้อ” นายกฯ สิงคโปร์บ่นดังๆ
และเสริมว่า “ความรุนแรงยังไม่ยุติ มีการปล่อยผู้ต้องขังทางการเมืองเพียงไม่กี่คน และไม่มีการเจรจาระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเลย...”
“สถานการณ์ความเป็นจริงวันนี้คือความรุนแรงในเมียนมาเพิ่มขึ้น นักเคลื่อนไหวฝ่ายค้าน 4 คนถูกประหารชีวิต และเรายังคงเข้าถึง นางอองซาน ซูจี ไม่ได้” นายหลี่ เสียน หลง กล่าว
ถึงวันนี้อดีตผู้นำเรียกร้องประชาธิปไตยและหัวหน้าพรรค NLD อองซาน ซูจี ถูกศาลทหารสั่งจำคุกในหลายๆ คดี รวม 26 ปี
เป็นคดีต่างๆ ที่อ้างความผิดฐานทุจริตในการเลือกตั้งและคอร์รัปชัน เป็นต้น
นายกฯ สิงคโปร์บอกว่า
“ด้วยสถานการณ์ที่แย่ลง หากเราทำให้อำนาจต่อรองของอาเซียนอ่อนแอลงถือเป็นสิ่งที่ผิด แม้หากอาเซียนยังมีจุดยืนแบบเดิมก็ไม่สามารถสะท้อนถึงความเสื่อมทรุดของสถานการณ์ได้แล้ว” นายหลี่ เสียน หลง กล่าว
อีกทั้งสถานการณ์ภาคพื้นดินในเมียนมา โดยเฉพาะความต้องการด้านมนุษยธรรมก็งคงเลวร้ายลงอย่างต่อเนื่อง
แม้จะมีความพยายามอย่างยิ่งของประธานอาเซียนและทูตพิเศษของอาเซียน ก็ไม่ได้ทำให้ผู้นำทหารพม่ายอมโอนอ่อนผ่อนตามแต่ประการใด
อีกทั้งคำวิงวอนโดยตรงจากนายกรัฐมนตรีฮุน เซน เมื่อเร็วๆ นี้ที่ขอให้ระงับคำสั่งประหารชีวิต 4 ผู้เรียกร้องประชาธิปไตยก็ไม่ได้ผล เพราะกองทัพพม่ากลับเพิกเฉยต่อข้อเรียกร้องของอาเซียน
"นี่เป็นเรื่องที่น่ากังวลและน่าผิดหวังอย่างยิ่ง" นายหลี่ย้ำ
และตอกย้ำถึงความจำเป็นของอาเซียนที่จะต้องรักษาความสามัคคีและความน่าเชื่อถือของอาเซียนให้สอดคล้องกับกฎบัตรของตน
และหากไม่มีตัวแทนจากพม่าในการประชุมในวันข้างหน้า นั่นย่อมแปลว่าผู้นำอีก 9 คนของอาเซียนก็จะเดินหน้าตัดสินใจดำเนินกิจการของอาเซียนโดยไม่มีส่วนร่วมจากพม่า
แต่มาตรการใหม่ครั้งนี้แม้จะแรงกว่าก่อน ผู้นำอาเซียนก็ยังถือว่าเมียนมายังเป็น "ส่วนสำคัญของอาเซียน"
แปลว่ายังไม่ตัดเมียนมาออกจากอาเซียน ยังถือว่าเป็น “สมาชิกครอบครัว” ต่อไป
เพราะหากทำเช่นนั้นก็เท่ากับเป็นการลงโทษประชาชนเมียนมาด้วย
เพราะเป้าของการลงโทษครั้งนี้คือ มิน อ่อง หล่าย และกองทัพที่ยึดอำนาจจากรัฐบาลที่ได้รับเลือกตั้งด้วยคะแนนท่วมท้นจากประชาชน
เพราะผู้นำอาเซียนเห็นว่าระดับความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นในพม่าเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบไม่เพียงแค่เมียนมาเท่านั้น หากแต่ยังมีผลกระทบต่ออาเซียนในภาพรวมด้วย
สรุปว่าผู้นำอาเซียนหมดความอดทนต่อ มิน อ่อง หล่าย...และเดินหน้า “ลอยแพ” อย่างเป็นทางการแล้ว
สังเกตว่า ผู้นำอินโดฯ, สิงคโปร์ และมาเลเซียเป็นแกนนำของการผลักดันให้มีการเพิ่มมาตรการลงโทษ มิน อ่อง หล่าย เพราะเหลืออดเหลือทนแล้ว
ส่วนไทยเรายังคงใช้ “การทูตเงียบงัน” ต่อไป...จะปรับท่าทีเพื่อแสดงจุดยืนให้ชัดเจนกว่านี้เมื่อไหร่อย่างไรยังเป็นปริศนาต่อไป.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
จีน-อินเดีย: 'สันติภาพร้อน' ที่ทำให้ร่วมแก้วิกฤตพม่าไม่ได้
วิกฤตพม่าทำให้ผมคิดถึงความความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับอินเดียวันนี้ เพราะหากสองยักษ์แห่งเอเชียทำงานร่วมกัน ไทยก็อาจจะเป็นมือประสานให้เกิดกระบวนการเจรจาในพม่าได้
บทเรียนสีหนุวิลล์สำหรับไทย
ความสัมพันธ์อันใกล้ชิดของจีนกับกัมพูชามาในหลายรูปแบบ...และหนึ่งในนั้นคือการสร้างสีหนุวิลล์เป็นศูนย์กลางด้านความบันเทิง หรือที่เรียกว่า Entertainment Complex
อิหร่าน-อิสราเอล: ทุกฉากทัศน์ล้วนเสี่ยงสูง
คณะรัฐมนตรีสงครามหรือ War Cabinet ของอิสราเอลประชุมกันเคร่งเครียดมาหลายรอบ...สรุปได้เพียงว่าจะต้องตอบโต้อิหร่านแน่...แต่ไม่ระบุว่าเมื่อไหร่และด้วยยุทธการแบบใด
สิงคโปร์ผลัดใบการเมืองครั้งสำคัญ ‘หลี่’ (72) ส่งไม้ต่อ ‘หว่อง’ (52)
นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของสิงคโปร์ Lawrence Wong ที่จะรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการวันที่ 15 พฤษภาคมนี้ต้องถือว่ามาจากครอบครัวชนชั้นทำงานจริง ๆ
“เซฟโซน” ฝั่งเมียวดีอาจจะเป็น ก้าวเล็กๆ ของกระบวนการเจรจา?
ความเคลื่อนไหวตรงข้ามชายแดนไทยฝั่งพม่ามีการปรับเปลี่ยนตลอดเวลา และความไม่แน่นอนนี้เองที่ทำให้รัฐบาลไทยต้องให้ความสำคัญกับการสร้างกลไกติดตามอย่างมีประสิทธิภาพ
ไบเดนควงคิชิดะ มาร์กอสประกาศสกัดการขยายอิทธิพลจีน!
ผมเห็นนายกฯฟูมิโอะ คิชิดะของญี่ปุ่นปราศรัยต่อสภาคองเกรสสหรัฐฯเป็นภาษาอังกฤษปลายสัปดาห์ที่ผ่านมากล่าวหาจีนว่าเป็น “ภัยคุกคามต่อภูมิภาคนี้อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน” แล้วก็พอจะรู้ว่าความตึงเครียดจะต้องถูกยกระดับขึ้นมาอย่างแน่นอน