ทำไมทรัมป์ต้องกลัวดาวรุ่ง พุ่งแรง ‘รอน เดอแซนทิส’?

เมื่อวานผมเขียนถึง “ดาวรุ่ง” ของพรรครีพับลิกันที่กำลังท้าทายบารมีของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จนกลายเป็นสาเหตุของความขัดแย้งระหว่าง 2 คน

มีความเป็นไปได้สูงที่ Ron DeSantis ผู้ว่าการรัฐฟลอริดาที่เพิ่งได้รับเลือกตั้งด้วยคะแนนท่วมท้นจะสามารถแซงหน้าทรัมป์ในการให้พรรครีพับลิกันเลือกเขาเป็นตัวแทนพรรคในการแข่งขันตำแหน่งประธานาธิบดีแทนทรัมป์ในอีก 2 ปีข้างหน้า

ทำไมทรัมป์ต้องกลัว รอน เดอแซนทิส?

ทรัมป์เริ่มแสดงอาการหวั่นไหวมากขึ้นทุกที เพราะเมื่อมีคนถามว่าเขากลัวเดอแซนทิสไหม ทรัมป์บอกว่าไม่กลัว...

แต่ก็ขู่ว่าถ้าหากนักการเมืองขาขึ้นวัย 44 คนนี้จะเสนอตัวมาแข่งขันกับเขา “ผมก็จะเปิดโปงข้อมูลที่เป็นอันตรายต่อเขา”

แสดงถึงความเป็นทรัมป์ “จอมล้างแค้น” คนเดิมออกมาทันที

นักวิเคราะห์ที่อเมริกากำลังช่วยกันตอบคำถามว่าทำไมทรัมป์ต้องกลัวรอน

แม้ว่าทั้ง 2 คนจะเคยสนิทสนมกันมาก แต่วันนี้เริ่มจะมีเรื่องระหองระแหง เพราะต้องแข่งกันเป็นตัวแทนของพรรคเพื่อชิงเก้าอี้ทำเนียบขาวในการเลือกตั้งอีก 2 ปีข้างหน้า

รอน เดอแซนทิส มีจุดแข็งเหนือทรัมป์หลายข้อทีเดียว

แม้ว่าแทบทุกโพลที่ผ่านมาจะระบุว่าทรัมป์เป็นตัวเก็งอย่างล้นหลามในการเสนอชื่อของพรรคหากเขาตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้งอีกครั้ง

แต่หลังการเลือกตั้งกลางเทอมที่เพิ่งผ่านมาสะท้อนว่า บารมีและมนต์ขลังของทรัมป์ได้หดหายไปมากพอสมควร

คนอเมริกันโดยเฉพาะในฝั่งพรรครีพับลิกันเริ่มมองเห็นรัศมีที่เรืองรองขึ้นทันตาเห็นของเดอแซนทิส

ทรัมป์ไม่ยอมเปิดทางให้นักการเมืองรุ่นใหม่มาทาบรัศมีเขาแน่

 “ผมไม่รู้ว่ารอนจะเข้าแข่งตำแหน่งประธานาธิบดีหรือไม่ และผมไม่ได้ถามเขา” ทรัมป์กล่าว "มันเป็นสิทธิพิเศษของเขา แต่ผมคิดว่าผมจะชนะ"

นักวิเคราะห์เริ่มจะเชื่อว่าทรัมป์อาจไม่ใช่ชื่อที่มีบารมีสูงสุดของพรรคสำหรับบัตรเลือกตั้งปี 2024

เพราะมีสัญญาณชัดเจนหลายประการที่ชี้ไปว่า รอน เดอแซนทิส คือ “ตัวเลือกใหม่” ของพรรค

คนวงในบอกว่า เดอแซนทิสมีแนวโน้มจะลงแข่งตำแหน่งประธานาธิบดีค่อนข้างจะแน่นอน

เพราะมีผู้พบเห็นเขาไปทำกิจกรรมหาเสียงและงานระดมทุนในรัฐเนแบรสกาและเซาท์แคโรไลนาในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา

เดอแซนทิสมักจะใช้ตัวเองและรัฐฟลอริดาโดยรวมเป็นแกนสำคัญในประเด็นการพูดคุยเชิงอนุรักษนิยมที่หลากหลาย อันเป็นนโยบายหลักที่ทำให้เขาได้รับความนิยมในรัฐนี้สูงขึ้นอย่างมาก

ไม่ว่าจะเป็นวิธีการบริหารจัดการกับการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา หรือนโยบายห้ามการสอนทฤษฎีว่าด้วยเชื้อชาติที่สำคัญในโรงเรียน

เพราะเขายืนหยัดเป็นตัวแทนของอนุรักษนิยมที่จะยืนต้านกระแสเสรีนิยมที่เรียกร้องในประเด็นความเท่าเทียมทางสีผิว, ทางเพศสภาพและความเหลื่อมล้ำในสังคม

เขาอ้างว่ากระแสเสรีนิยมเรื่องสีผิว, เพศสภาพ, ความเหลื่อมล้ำนั้นเป็นการสร้างความแตกแยกและเป็นความคิดแบบสุดขั้วที่เป็นอันตราย

เขาประกาศต่อต้านกระแสที่เรียกว่า Woke Mob หรือ Cancel Culture ซึ่งเป็นศัพท์ที่แวดวงการเมืองอนุรักษนิยมสหรัฐฯ ใช้กล่าวหาฝ่ายเสรีนิยมที่เป็นแนวทางของพรรคเดโมแครตมาตลอด

มีการตั้งข้อสังเกตว่า เดอแซนทิสกำลังดูเหมือนจะพยายามทำตัวห่างเหินจากทรัมป์ก่อนการเสนอชื่อชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในอีก 2 ปีข้างหน้า

เริ่มที่โพลที่สะท้อนแนวโน้มของความเห็นของคนอเมริกันต่อการแข่งขันระหว่างทรัมป์กับเดอแซนทิสแล้ว

ทรัมป์คงไม่ชอบการสำรวจประชามติรอบนี้แน่ เพราะมันกำลังจะฟ้องว่าทรัมป์กำลังจะกลายเป็นไก่รองบ่อนภายในพรรคของตัวเองแล้ว

ผลสำรวจความคิดเห็นสาธารณะที่จัดทำโดย University of New Hampshire Survey Center เปิดเผยว่า เดอแซนทิสสามารถเอาชนะทรัมป์อย่างหวุดหวิดในแบบสำรวจทั่วทั้งรัฐที่ 39% ต่อ 37%

โดยมีโอกาสผิดพลาดในการสุ่มตัวอย่าง 5.5%

ที่น่าสนใจคือ ในการสำรวจคราวก่อนหน้านี้ เดอแซนทิสได้รับคะแนนสนับสนุนเพียง 19 และ 18 เปอร์เซ็นต์ตามลำดับ จากการสำรวจเดือนกรกฎาคมและตุลาคมปีที่แล้ว

เมื่อแนวโน้มออกมาเช่นนี้ กลุ่มผู้สนับสนุนทรัมป์เดิมก็เริ่มจะแสดงอาการปรับเปลี่ยนท่าที

เพราะจากนี้ไปอีก 2 ปี อะไรๆ ก็ย่อมเกิดขึ้นได้ที่จะทำให้ความนิยมชมชอบของประชาชนต่อทรัมป์และเดอแซนทิสพลิกผันไปอย่างมีนัยสำคัญได้

ปีนี้ทรัมป์อายุ 76 ส่วนเดอแซนทิสแค่ 44 และอีก 2 ปีข้างหน้า 2 คนนี้ก็จะอยู่ในระดับ 78-46 ซึ่งเป็นช่องว่างแห่งวัยที่มีความสำคัญมากขึ้นทุกที

โดยเฉพาะถ้าหาก โจ ไบเดน แห่งพรรคเดโมแครนตัดสินใจลงสมัครอีกครั้งหนึ่งในวัย 82

เพียงแค่ประเด็นเรื่องอายุอย่างเดียวก็พอจะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในกระแสความนิยมต่อทั้ง 2 คนได้แล้ว

ปัจจัยสำคัญอีกด้านหนึ่งคือ ความสามารถในการระดมทุนเพื่อการหาเสียงเลือกตั้งระหว่างทรัมป์กับเดอแซนทิส

การเมืองมะกันเรื่องทุนที่ระดมได้เพื่อการหาเสียงว่า War Chest หรือ “หีบเงินเพื่อทำศึก (เลือกตั้ง)”

มีการเปิดเผยในเดือนเมษายนว่า เดอแซนทิสสามารถหาเงินบริจาคได้เกือบ 10.5 ล้านดอลลาร์ใน 1 เดือน

ซึ่งเป็นการทำลายสถิติของตัวเองด้วยซ้ำ

หากรวมยอดเงินทั้งหมด เขาสามารถระดมทุนได้มากกว่า 113 ล้านดอลลาร์ ในระหว่างรอบการหาเสียงเลือกตั้งใหม่ในฟลอริดาของเขา

นี่ขนาดเป็นการระดมทุนในระดับรัฐก็ยังได้มาถึงกว่า 100 ล้านเหรียญฯ

จึงได้รับการกล่าวขานว่าเขาเป็นนักการเมืองที่มีแรงดึงดูดเงินบริจาคที่น่าประทับใจ

นักการเมืองรุ่นเก๋าที่นั่นบอกว่า นี่อาจจะไม่เกี่ยวกับทักษะการระดมทุนแต่เพียงอย่างเดียว

หากแต่จะมาจากความสามารถของเดอแซนทิสที่ทำให้คนในฟลอริดามีความเชื่อว่าอยากจะเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศแห่งอิสรภาพทางการเมืองที่เขาสร้างขึ้น”

อีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญคือ เครือข่ายของเจ้าพ่อสื่อ รูเปิร์ท เมอร์ดอค์ ที่เริ่มทิ้งทรัมป์หันมาเชียร์เดอแซนทิสแล้วอย่างชัดเจน

ในเดือนนี้เพียงเดือนเดียว หนังสือพิมพ์ New York Post มีบทความ 2 ชิ้นที่แนะนำผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งของพรรครีพับลิกันให้ย้ายหนีออกจากทรัมป์

บทความชิ้นหนึ่งของอดีตพิธีกรของ CNN เพียร์ส มอร์แกน ระบุเลยว่า

 “ตอนนี้เดอแซนทิสควรเป็นผู้นำพรรครีพับลิกันแล้ว”

บทบรรณาธิการใน The Wall Street Journal ย้ำว่า เรื่องราววุ่นวายเมื่อวันที่ 6 มกราคม เมื่อ 2 ปีก่อนที่ผู้สนับสนุนทรัมป์ก่อจลาจลในตึกรัฐสภานั้นเป็นความรับผิดชอบของทรัมป์แต่เพียงผู้เดียว

นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการแยกสายระหว่างทรัมป์กับเดอแซนทิส

สถานการณ์กำลังฟ้องว่าทรัมป์กำลังตกอยู่ในสถานการณ์เพลี่ยงพล้ำอย่างหนัก

 (พรุ่งนี้ : ทรัมป์ประกาศลงสมัครแข่งประธานาธิบดีสมัยหน้าแล้ว).

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

งบมะกันก้อนใหม่จะช่วยยูเครน พลิกสถานการณ์สู้รบได้แค่ไหน?

แม้ว่ารัฐสภาสหรัฐฯจะเปิดไฟเขียวให้งบประมาณช่วยเหลือทางทหารก้อนใหม่ แต่ยูเครนก็ยังต้องดิ้นรนไม่ให้แพ้สงครามกับรัสเซีย

ทิม คุกบินไปเวียดนาม-อินโดฯ ทำไมไม่แวะประเทศไทย?

สัปดาห์ก่อน ทิม คุก ซีอีโอของ Apple บินข้ามไทยไปเวียดนาม, อินโดนีเซียและสิงคโปร์ เพื่อสรุปแผนการลงทุนหรือเพิ่มกิจกรรมในประเทศเหล่านั้น

มะกันทุ่ม 3.5 ล้านล้านบาท ให้ยูเครน, อิสราเอล, ไต้หวัน!

งบประมาณก้อนใหญ่ที่สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ อนุมัติเพื่อช่วยยูเครน, อิสราเอล และไต้หวันเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา จะช่วยลดความกังวลของยูเครนว่ากำลังจะแพ้สงครามได้หรือไม่...ยังต้องคอยดูของจริงในสมรภูมิรบต่อไป

เชื่อไหม:อิสราเอลกับ อิหร่านเคยรักกัน?

อิสราเอลกับอิหร่านเปิดศึกสงครามที่สร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วโลกวันนี้ มีคำถามว่าทั้ง 2 ชาตินี้กลายเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันอย่างรุนแรงเช่นนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่ และมีเหตุผลแห่งความบาดหมางกันอย่างไร