วันที่ 15 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ต้องจารึกไว้ว่าประชากรโลกทะลุ 8,000 ล้านคน ทำให้เกิดคำถามมากมายว่า เรากำลังเผชิญกับความท้าทายใหม่ๆ อะไรบ้าง
สหประชาชาติบอกว่า การเพิ่มขึ้นของประชากรโลกมาจากประเทศกำลังพัฒนาในทวีปแอฟริกามากที่สุด
ปัญหาคือประชากรที่เพิ่มขึ้นนั้นอยู่ที่ประเทศที่ยากจน ส่วนประเทศร่ำรวยกลับมีอัตราการเกิดลดน้อยลง
ยิ่งทำให้ความเหลื่อมล้ำระดับโลกถ่างกว้างขึ้นอย่างปฏิเสธไม่ได้
หนึ่งในประเทศที่ว่านี้คือ ไนจีเรีย ซึ่งเป็นที่รู้กันว่ามีทรัพยากรในเกือบทุกๆ ด้านค่อนข้างจำกัด
กรุงลากอส เมืองหลวงของไนจีเรียมีคนมากกว่า 15 ล้าน แต่สภาพเศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวยให้เด็กทุกคนที่เกิดมามีความมั่นคงทางด้านอาหารและสุขอนามัยที่ดีได้
รายงานสหประชาชาติบอกว่า ในไนจีเรีย ประชาชนอยู่ในสภาพยากจน ต้องแย่งชิงใช้ทรัพยากรต่างๆ อย่างเห็นได้ชัด
ไม่ว่าจะเป็นไฟฟ้า น้ำประปา หรือระบบขนส่งมวลชน ซึ่งขาดแคลนอย่างมาก
รายงานวิจัยของยูเอ็นบอกว่า นักเรียนไนจีเรียจำนวนมากต้องตื่นตั้งแต่ตี 5 เพื่อให้ทันไปโรงเรียน
บนเส้นทางจากบ้านไปโรงเรียนก็มีปัญหาจราจรที่ติดขัดอย่างหนักตลอด
คุณภาพชีวิตมีแต่จะย่ำแย่ลง
สหประชาชาติประเมินว่า ประชากรไนจีเรียจะเพิ่มขึ้นจาก 216 ล้านคน ในปีนี้ เป็น 375 ล้านคน ในอีก 30 ปีข้างหน้า
แต่รายได้ประชากรจะลดลง เพราะภาพรวมของเศรษฐกิจไม่มีทีท่าว่าจะโตได้ทันการเพิ่มขึ้นของประชากรแต่อย่างใด
สถิติที่ทำให้มีความกังวลว่า หากการเพิ่มขึ้นของประชากรยังไต่ขึ้นอย่างที่พยากรณ์ไว้ ไนจีเรียก็จะกลายเป็นประเทศที่มีประชากรมากเป็นอันดับ 4 ของโลก
รองจากจีน อินเดีย และสหรัฐฯ เท่านั้น
ที่เป็นประเด็นน่ากังวลคือ ไม่ใช่แต่ไนจีเรียเท่านั้นที่ขาดทรัพยากรที่จะตอบสนองความต้องการของประชากรที่เพิ่มขึ้น
แต่ยังมีอีก 7 ประเทศที่มีอัตราการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรรวมกันมากกว่าครึ่งหนึ่งของอัตราการเพิ่มขึ้นของประชากรโลกทั้งหมด ระหว่างปี 2022-2050
กลุ่มประเทศที่ว่านี้คือ คองโก เอธิโอเปีย แทนซาเนีย อียิปต์ ปากีสถาน ฟิลิปปินส์
และอินเดียที่คาดว่าจะแซงจีนขึ้นเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลกในปีหน้า
รายงานของสหประชาชาติฉบับนี้คาดการณ์ว่า ประชากรโลกจะเพิ่มขึ้นเป็น 8,500 ล้านคน ภายในปี 2030
และถึง 9,700 ล้านคน ภายในปี 2050 ก่อนจะเพิ่มถึง 10,400 ล้านคน ภายในปี 2100
รายงานของสหประชาชาติเรื่องนี้ชื่อเรียกร้องความสนใจว่า "Day of 8 Billion"
อ่านแล้วก็เห็นภาพที่น่าเป็นห่วง เพราะประชากรที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่อยู่ในหมู่ประเทศที่การพัฒนายังล้าหลัง
ซึ่งขาดแคลนปัจจัยแห่งชีวิตเกือบทั้งหมด
ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณูปโภค การศึกษา การทำงาน และความมั่นคงด้านอาหาร
ขนาดประชากรยังไม่ได้เพิ่มทุกวันนี้ ประเทศเหล่านี้ก็เผชิญกับวิกฤตของความอยู่รอด
หากต้องเจอกับประชากรที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องอย่างไม่หยุดยั้ง ก็ยิ่งจะทำให้โลกนี้ไร้เสถียรภาพ
เพราะโลกที่มีความเหลื่อมล้ำสูงมากขึ้นตลอดเวลาย่อมไม่อาจจะคาดหวังว่าจะมีความสงบสุขได้
ประเทศร่ำรวยเองก็ไม่อาจจะสบายใจได้ว่าประเทศยากจนจะไม่ลุกขึ้นเรียกร้องความเป็นธรรมและการแบ่งปันทรัพยากรด้วยเสียงอันดังมากขึ้น
และหากความเดือดร้อนของพวกเขาไม่ได้รับการตอบสนอง โลกก็อาจจะต้องเผชิญกับวิกฤตด้านการเมืองและสังคมอย่างหนักก็ได้
รายงานชิ้นเดียวกันนี้บอกว่า แม้หลายประเทศจะมีประชากรเพิ่ม แต่มีอย่างน้อย 61 ประเทศ ที่จำนวนประชากรมีอัตราลดลงประมาณ 1%
ยกตัวอย่างสหรัฐฯ ซึ่งวันนี้มีจำนวนประชากรประมาณ 333 ล้านคน
มีอัตราการเพิ่มขึ้นของประชากรเมื่อปีที่แล้วอยู่ที่ระดับเพียง 0.1%...ต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์
จำนวนประชากรทั้งหมดบนโลกเพิ่มขึ้นจากเพียง 2 พันล้านคน ในปี 1927 เป็น 6 พันล้านคน ในปี 1998
ขณะที่ประเทศยากจนมีคนเพิ่มขึ้น ประเทศร่ำรวยกลับมีคนเกิดใหม่น้อยลง
เพราะค่าใช้จ่ายสูงในการเลี้ยงดูบุตร และอัตราการแต่งงานที่ลดลง ทำให้ประเทศที่พัฒนาแล้วตั้งแต่เกาหลีใต้ไปจนถึงฝรั่งเศสกำลังเผชิญกับจำนวนประชากรที่ลดลง เพราะทารกเกิดใหม่ไม่เพียงพอที่จะทดแทนผู้สูงอายุ
หลายประเทศพยายามใช้มาตรการต่างๆ เพื่อแก้ปัญหานี้
บางประเทศใช้วิธีเสนอจ่ายเงินและสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยที่ดีขึ้นสำหรับครอบครัวที่มีลูกมากขึ้น
แต่ก็ไม่ได้ผลเท่าใดนัก
สหประชาชาติบอกว่า มาตรการต่างๆ เหล่านี้สร้างความเปลี่ยนแปลงได้น้อย
คาดการณ์ว่าในอีก 3 ทศวรรษข้างหน้า จำนวนประชากรที่อายุต่ำกว่า 65 ปีในประเทศที่มีรายได้สูงและรายได้ปานกลางระดับสูงจะลดลง
ในขณะที่กลุ่มประชากรที่มีอายุมากกว่าอายุดังกล่าวจะเพิ่มขึ้น
สหประชาชาติคาดการณ์ว่าจำนวนประชากรโลกที่เพิ่มขึ้นในอนาคตจะกระจุกตัวอยู่ในประเทศที่มีรายได้ต่ำ
นั่นสร้างความท้าทายให้กับประเทศต่างๆ เหล่านี้ ซึ่งประสบปัญหารายได้ต่อหัวที่ค่อนข้างต่ำอยู่แล้ว
ด้วยจำนวนคนหนุ่มสาวที่มีแนวโน้มที่จะเพิ่มภาระให้กับทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด เช่น การศึกษาและการดูแลสุขภาพประเทศต่างๆ
องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรจึงพยายามสร้างความตระหนักในประเด็นต่างๆ เช่น การคุมกำเนิดเพื่อลดอัตราการเกิด
เดิมมีการคาดการณ์ถึงวิกฤตที่จะมาพร้อมกับการมีประชากร “ล้นโลก”
ถึงขั้นมีการพูดถึง “วันสิ้นโลก” หากไม่สามารถป้องกันวิกฤตอันเกิดจากคนเกิดมากเกินทรัพยากรโลก
หนังสือชื่อดังเรื่องนี้ในอดีตเล่มหนึ่งที่ผมจำได้ชื่อ "The Population Bomb" ที่เขียนโดยศาสตราจารย์ Paul Ehrlich ของ Stanford ในปี 1968
อาจารย์คนนี้เคยเตือนตอนนั้นว่า เมื่อคนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จะเอาอาหารอะไรมาป้อนเด็กเกิดใหม่
แต่ปัญหานั้นไม่เกิดขึ้นเพราะความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการเกษตรและการชะลอตัวของอัตราการเจริญพันธุ์
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า ภาพของประชากรโลกที่เพิ่มขึ้นในภาคประเทศยากจน แต่ลดลงในประเทศร่ำรวยนั้นจะไม่ก่อให้เกิดปัญหาหนักหน่วงระดับโลก เพราะสิ่งที่จะตามมาคือ การเติบโตของประชากรโลกจะสร้างความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อม
และจะยิ่งทำให้สภาวะโลกร้อนและการตัดไม้ทำลายป่าหนักหน่วงยิ่งขึ้น
คุณภาพชีวิตของผู้คนก็จะเสื่อมทรุด
คนรวยเกิดน้อย คนจนเกิดมาก...โลกจะเข้าสู่ภาวะเอียงกระเทเร่จนกลายเป็นวิกฤตสังคมระดับโลกได้เช่นกัน.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
บันทึกลับนายทหารอากาศมะกัน: เตรียมสงครามกับจีนใน 2 ปี!
สหรัฐฯ เตรียมทำสงครามกับจีนจริงหรือ? ถ้าจริง สงครามนั้นจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่และในสถานการณ์ใด? ดูเหมือนนักยุทธศาสตร์ทางทหารของสหรัฐฯ จะกังวลเรื่องจีนบุกไต้หวัน ว่าอาจจะเป็นสาเหตุที่จะทำให้สองยักษ์ใหญ่เผชิญหน้ากันทางทหาร
สัญญาณอันตรายจาก ไร่ฝิ่นที่สามเหลี่ยมทองคำ
สัญญาณเตือนภัยประเทศไทยมาจากสามเหลี่ยมทองคำล่าสุด...เมื่อสหประชาชาติแจ้งว่า การผลิตฝิ่นในเมียนมาเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวในปีที่แล้ว
ครบรอบ 2 ปีของรัฐประหารพม่า: ปูทางเลือกตั้งเอื้อพรรคทหาร
พรุ่งนี้ 1 กุมภาพันธ์ 2566 คือวันครบรอบ 2 ปีของการก่อรัฐประหารที่พม่าโดยพลเอกอาวุโสมิน อ่อง หล่าย
สมรภูมิยูเครน: หลังรถถัง Leopard เครื่องบินรบ F-16 ก็จะตามมา?
หลังจากการต่อรองและกดดันซึ่งกันและกันมาหลายเดือน ท้ายที่สุดสหรัฐฯกับเยอรมันนีก็พบกันครึ่งทางเรื่องส่งรถถังหนักให้ยูเครนทำสงครามกับรัสเซีย
เมื่อญี่ปุ่นหวั่นวิกฤต ‘สังคมสูงวัย’ ก็ต้องหันมาดูเมืองไทยเรา
นายกฯ ญี่ปุ่นบอกว่าปัญหาประชากรลดลง และสภาพสังคมผู้สูงวัยกำลังจะเป็นวิกฤตทางสังคมที่ต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน
จีนเปิดประเทศจะช่วย เศรษฐกิจโลกเพียงใด?
การปลดพนักงานครั้งใหญ่ของธุรกิจด้านเทคโนโลยีและสื่อยักษ์ในสหรัฐฯกำลังบอกอะไรเราเกี่ยวกับเศรษฐกิจโลกและอนาคตของธุรกิจที่เกี่ยวโยงกับเทคเนโลยี?