สัปดาห์ที่ผ่านมามีข่าวคราวจากญี่ปุ่น, สหรัฐฯ, ไต้หวันและเกาหลีเหนือที่ทำให้เห็นภาพของความเปราะบางของสถานการณ์ความมั่นคงในย่านนี้หนักขึ้นทุกที
ขณะที่สงครามยูเครนยังไม่มีทีท่าว่าจะผ่อนเบาลงในอนาคตอันใกล้
และความตึงเครียดในมุมต่างๆ ของโลกก็ยังเพิ่มดีกรีมากขึ้นตลอดเวลา
และล่าสุดเกาหลีเหนือก็ยิงขีปนาวุธอีก 2 ลูกเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
ข่าวที่ยกระดับความน่ากังวลว่าการเผชิญหน้าของหลายประเทศที่อาจจะนำไปสู่การใช้กำลังกันนั้นมีอย่างน้อย 3 เรื่อง เฉพาะในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา
เริ่มด้วยรัฐบาลญี่ปุ่นประกาศเพิ่มงบประมาณทหารอย่างมีนัยสำคัญเพื่อสร้างแสนยานุภาพทางทหารให้ญี่ปุ่นมีศักยภาพทางด้านการสู้รบในระดับที่สูงที่สุดตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา
ข่าวชิ้นที่ 2 คือสภาคองเกรสสหรัฐฯ ที่นักการเมืองทั้งฝ่ายเดโมแครตและรีพับลิกันดูเหมือนจะเห็นพ้องกันว่าจะเพิ่มงบประมาณความช่วยเหลือทางทหารให้กับไต้หวัน
เพื่อระงับยับยั้งความพยายามใดๆ ของจีนที่จะยึดเกาะไต้หวันด้วยกำลังในอนาคต
ข่าวชิ้นที่ 3 คือผู้นำเกาหลีเหนือ คิม จองอึน ไปกำกับดูแลการพัฒนาเชื้อเพลิงพลังงานสูงสำหรับการผลิตขีปนาวุธพิสัยข้ามทวีปที่เรียกว่า ICBM ที่อาจยิงไปถึงทวีปอเมริกาเหนือได้เลยทีเดียว
เปียงยางได้ยิงขีปนาวุธอย่างต่อเนื่องด้วยการเพิ่มความถี่และเปิดตัวขีปนาวุธร้ายแรงที่เพิ่มประสิทธิภาพการทำลายสูงขึ้นตลอดเวลา
และยืนยันว่าอย่างไรเสียเกาหลีเหนือก็จะไม่มีวันยกเลิกโครงการนิวเคลียร์
เพราะนั่นคือข้อต่อรองเรื่องเดียวที่เกาหลีเหนือพึงมีเพื่อไม่ให้โลกตะวันตกวางแผนโค่นอำนาจของตน
ทั้ง 3 ข่าวชี้ไปในทางเดียวกัน...นั่นคือสงครามหรือการปะทะกันด้วยกองกำลังทหารและอาวุธร้ายแรงนั้นไม่ใช่เรื่องของอนาคตอันแสนยาวไกลอีกต่อไป
ข่าว “ซามูไรติดเขี้ยวเล็บ” ครั้งใหญ่ไม่ใช่เพียงแต่เป็นการป้องกันตัวเองเท่านั้น
แต่ญี่ปุ่นยังระบุว่า ภัยคุกคามใหญ่หลวงที่สุดสำหรับตนคือจีน
รัฐบาลญี่ปุ่นเปิดเผยเมื่อปลายสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ได้เตรียมแผนเพิ่มแสนยานุภาพทางทหารครั้งใหญ่ที่สุดในสงครามโลกครั้งที่ 2
โดยตั้งงบประมาณไว้ที่ 3 แสน 2 หมื่นล้านดอลลาร์ (หรือไม่ต่ำกว่า 11.2 ล้านล้านบาท”) ในอีก 5 ปีข้างหน้า
ใครอ่านแผนนี้แล้วจะหนาว เพราะท่ามกลางความห่วงใยเรื่องสงครามทั้งที่คุกรุ่นในเอเชีย และการที่รัสเซียส่งทหารเข้ายูเครน ก็เกิดความตึงเครียดเพิ่มขึ้นที่ญี่ปุ่นอีกด้านหนึ่ง
คำประกาศของรัฐบาลญี่ปุ่นก็ไม่อ้อมแอ้ม บอกชัดว่าภายใต้แผนนี้ญี่ปุ่นจะจัดหาขีปนาวุธที่สามารถยิงไปถึงประเทศจีนได้
ถือเป็นครั้งแรกที่ระบุเป้าหมายคือจีน
อีกทั้งยังสำทับว่าการสั่งสมอาวุธคราวนี้จะต้องมีความพร้อมที่จะปกปักรักษาความมั่นคงของประเทศในกรณีเกิดความขัดแย้งที่ยืดเยื้ออีกด้วย
หากเป็นไปตามแผนสร้างความแกร่งกล้าทางทหารนี้ใน 5 ปีข้างหน้า จะทำให้ญี่ปุ่นกลายเป็นประเทศที่จัดสรรงบประมาณกลาโหมมูลค่าสูงสุดอันดับ 3 ของโลกกันเลยทีเดียว
ตามหลังเฉพาะสหรัฐฯ และจีนเท่านั้น
ทั้งๆ ที่มาตรา 9 ของรัฐธรรมนูญญี่ปุ่นที่สหรัฐฯ เขียนไว้หลังโตเกียวแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 นั้นห้ามประเทศนี้มีกองกำลังติดอาวุธของตนเพื่อการรุกรานประเทศอื่นใด
มีทหารและอาวุธก็เพียงเพื่อ “ป้องกันตนเอง” เท่านั้น
จึงเรียกองทัพญี่ปุ่นว่าเป็น Self-Defence Force (SDF) มาตลอดถึงวันนี้
ทำนองเดียวกับที่จีนยังเรียกกองทัพตัวเองว่าเป็น “กองกำลังปลดแอกแห่งประชาชน” หรือ People’s Liberation Army (PLA) อยู่เช่นกัน
ดังนั้น การประกาศนโยบาย “ฉีกแนว” ของญี่ปุ่นว่าด้วยยุทธศาสตร์ทางทหารครั้งนี้จึงมีความสำคัญเป็นพิเศษ
นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ฟูมิโอะ คิชิดะ ตอกย้ำว่าญี่ปุ่นและประชาชนแดนอาทิตย์อุทัยกำลังมายืนอยู่ที่ “จุดเปลี่ยนครั้งประวัติศาสตร์”
และยืนยันว่าแผนยกระดับเพิ่มศักยภาพทางทหารครั้งนี้ “คือคำตอบของผมต่อความท้าทายด้านความมั่นคงมากมายที่เรากำลังเผชิญอยู่”
นักวิเคราะห์มองว่าญี่ปุ่นมีความกังวลว่า การที่รัสเซียบุกยูเครนนั้นเป็นการสร้างตัวอย่างที่ประเทศอื่นอาจจะเอาอย่าง
โดยเฉพาะเมื่อมีการเปรียบเทียบให้เห็นว่า ถ้ารัสเซียส่งทหารเข้ายึดยูเครนได้ จีนก็อาจจะยกพลขึ้นบกไต้หวันได้เช่นกัน
และหากเกิดเรื่องทำนองนี้จริง ญี่ปุ่นก็จะตกอยู่ในภยันตราย
เพราะเท่ากับเป็นภัยคุกคามต่อเกาะในญี่ปุ่นอย่างปฏิเสธไม่ได้
มิหนำซ้ำหากเกิดการสู้รบขึ้นมาในย่านนี้ก็จะมีผลกระทบต่อสายการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ของโลก
อีกทั้งยังจะกระเทือนระบบขนส่งน้ำมันจากตะวันออกกลางมายังภูมิภาคนี้ของโลก
ใครที่ได้อ่านเอกสารของทางการญี่ปุ่นเรื่องนี้จะเข้าใจได้ไม่ยากว่าฉากทัศน์ที่ประเทศนี้มองไปข้างหน้าคือหลักคิดของยุทธศาสตร์ทางกลาโหมของญี่ปุ่นที่บอกว่า “การรุกรานยูเครนของรัสเซียเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรงและสั่นสะเทือนฐานรากของระเบียบโลก” อย่างรุนแรงเช่นกัน
คำว่า “ความท้าทายจากจีน” อาจจะฟังดูเบากว่า “ภัยคุกคามจากจีนต่อญี่ปุ่น”
แต่ความหมายก็ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก
“ความท้าทายทางยุทธศาสตร์ที่มาจากจีน เป็นความท้าทายที่สำคัญที่สุดต่อญี่ปุ่น”
ไม่ต้องตีความระหว่างบรรทัดก็คือ วันนี้ญี่ปุ่นถือว่าจีนเป็นศัตรูหมายเลข 1 ของตน
ยิ่งเมื่อญี่ปุ่นเห็นว่ารัฐบาลปักกิ่งมีแนวโน้มที่จะใช้กำลังทหารเพื่อ “รวมชาติ” ในกรณีที่จีนเห็นว่ามีความพยายามจะ “แยกดินแดน” โดยคนบางกลุ่มที่ถูกยั่วยุและสนับสนุนโดยตะวันตก ก็ยิ่งทำให้ญี่ปุ่นต้องวางยุทธศาสตร์เพื่อเตรียมรับกับสถานการณ์ที่คาดการณ์ล่วงหน้าไม่ได้
ในมุมมองของญี่ปุ่นแล้ว พันธมิตรกลุ่มก้อนของจีนย่อมหมายรวมถึงรัสเซียและเกาหลีเหนือด้วยเช่นกัน
ดังนั้นแนวทางป้องกันประเทศของญี่ปุ่นจึงหนีไม่พ้นต้องเกาะติดอย่างใกล้ชิดกับสหรัฐฯ และชาติที่มีมุมมองเดียวกัน เพื่อป้องปรามภัยคุกคามต่างๆ ในวันข้างหน้า
วอชิงตันดูเหมือนจะสนับสนุนแนวคิดเช่นนี้ของญี่ปุ่นค่อนข้างจะเต็มที่ แม้ว่าจะเป็นการเดินฉีกออกจากรัฐธรรมนูญของญี่ปุ่นมากพอสมควรก็ตาม
เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำญี่ปุ่น ราห์ม เอ็มมานูเอล พูดในแถลงการณ์ว่า “นายกรัฐมนตรี (คิชิดะ) ได้บอกกล่าวอย่างชัดแจ้งถึงแนวทางของรัฐบาลญี่ปุ่น นั่นคือบทบาทของญี่ปุ่นในฐานะผู้มีส่วนสร้างความมั่นคงให้กับภูมิภาคอินโดแปซิฟิก”
รัฐบาลที่ไต้หวันก็มีแนวโน้มจะยืนข้างเดียวกับญี่ปุ่นในกรณีนี้เช่นกัน
ประธานาธิบดีไต้หวัน ไช่ อิงเหวิน บอกเจ้าหน้าที่ระดับสูงของญี่ปุ่นว่า จากนี้ไปเธอคาดหวังที่จะมีความร่วมมือทางกลาโหมมากขึ้นกับญี่ปุ่น
แต่หากพิจารณาตัวเลขงบประมาณทางทหารของจีน ปักกิ่งก็ยังมีเงินใช้เพื่อเสริมสร้างกำลังทางทหารมากกว่าญี่ปุ่นถึง 4 เท่า
และหากย้อนกลับไปดูตัวเลขงบประมาณกลาโหมของ 2 ประเทศนี้แล้ว ก็เห็นได้ชัดว่าปักกิ่งมีเงินใช้จ่ายด้านอาวุธยุทโธปกรณ์มากกว่าญี่ปุ่นแล้วตั้งแต่เข้าสู่ศตวรรษที่ 21
ภายใต้แผนเสริมเขี้ยวเล็บใหม่นี้ รัฐบาลญี่ปุ่นจะจัดสรรงบคิดเป็นร้อยละ 2 ของผลิตภัณฑ์มวลรวม หรือ GDP ของประเทศในช่วง 5 ปีจากนี้
เปรียบเทียบกับนโยบายเดิมที่ญี่ปุ่นจำกัดงบการทหารของตนเองอยู่ที่ร้อยละ 1 ของ GDP ตั้งแต่เมื่อ 46 ปีก่อน
เมื่อวางแผนเพิ่มศักยภาพทางทหารกันถึงขนาดนี้แล้ว กองทัพญี่ปุ่นก็ต้อง “จัดเต็ม”
โดยเฉพาะต้องให้มีครบตามแนวโน้มของเทคโนโลยีทางกลาโหมที่พัฒนาขึ้นอย่างมากมายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
คลังแสงอาวุธจึงไม่ได้มีเพียงอาวุธยุทโธปกรณ์ตามรูปแบบดั้งเดิมต่างๆ เช่น ระเบิด กระสุนและปืน
แต่จะต้องมีการจัดหาพัฒนาและสั่งซื้อโดรนสอดแนม อุปกรณ์ที่ใช้สื่อสารผ่านดาวเทียม เรือดำน้ำ เรือรบ เครื่องบินรบล่องหน เอฟ-35
ทั้งหมดนี้ผู้ตอบสนองความต้องการของญี่ปุ่นก็หนีไม่พ้นสหรัฐฯ และพันธมิตรอื่นๆ.
(พรุ่งนี้ : ก้าวต่อไปของซามูไร)
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
แชร์สนั่นโซเชียล ลุกโชนเป็นไฟลามทุ่ง! ‘อนุทิน’ บุกเพจ ‘สุทธิชัย’ แจงกรณีคุยกับ ‘ทรัมป์’
ภายหลัง เพจ Suthichai Yoon โพสต์ข้อความว่า‘ทรัมป์‘ ให้สัมภาษณ์ Wall Street Journal ว่าเขาได้ใช้ tariff กดดันให้ไทยกับกัมพูชายุติการสู้รบ!
มีแม้วไม่มีเรา! วัดใจจุดยืน 'พรรคส้ม' หลังทักษิณขีดเส้นแบ่งข้างทุกเวทีแล้ว
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า "พรรคส้มกล้าไหม? มีแม้วไม่มีเรา!
ประเทศเดียวในโลก ‘นายกฯทับซ้อน’ มหันตภัยปี 2568
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่าสำนักวิจัยต่าง ๆ กำลังวิเคราะห์เพื่อพยากรณ์ว่าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายสาหัสอะไรบ้างใน
‘หยุ่น’ ฟันเปรี้ยงรอดยาก! ชั้น 14 ดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุด
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า เรื่องชั้น 14 จะดิ้นอย่างไรก็หลุดยาก จึงเห็นการเฉไฉ, ตีหน้าตาย
บิ๊กเซอร์ไพรส์ 'สุทธิชัย หยุ่น' เล่นซีรีส์ 'The White Lotus ซีซั่น 3'
เรียกว่าสร้างความเซอร์ไพรส์อย่างต่อเนื่อง สำหรับซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 ซึ่งจะสตรีมผ่าน Max ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2025 เพราะนอกจากจะมี ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล หรือ ลิซ่า BLACKPINK ไอดอลเกาหลีสัญชาติไทย ที่กระโดดลงมาชิมลางงานแสดงเป็นครั้งแรก ในบทของ มุก สาวพนักงานโรงแรม
ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน
นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ


