อินเดีย-จีน : เหตุปะทะล่าสุดสะท้อน ความตึงเครียดถาวรของ 2 ยักษ์เอเชีย

ปกติ “จุดเปราะบาง” ที่อาจจะระเบิดตูมตามกลายเป็นสงครามในเอเชียนั้นเรามักคิดถึงช่องแคบไต้หวัน, คาบสมุทรเกาหลีและทะเลจีนใต้

แต่สัปดาห์ที่ผ่านมาเกิดเหตุปะทะกันที่ชายแดนจีนกับอินเดียอีกครั้ง

ทำให้เราไม่อาจจะลืมว่า 2 ยักษ์ใหญ่แห่งเอเชียนั้นยังมีประเด็นระหองระแหงที่พร้อมจะปะทุขึ้นมาได้ตลอดเวลาเช่นกัน

จีนกับอินเดียมีทั้งเรื่องที่ร่วมมือกันสร้างความรุ่งเรืองร่วมกันได้ แต่ก็มีประเด็นขัดแย้งที่ทำให้โลกวุ่นวายปั่นป่วนได้ไม่น้อยเช่นกัน

เหตุการณ์ครั้งล่าสุดนั้นเกิดจากที่อินเดียออกข่าวว่าทหารของตนได้พยายามสกัดกั้นทหารจีนกลุ่มหนึ่งไม่ให้รุกล้ำเข้ามาในเขตแดนของของตน

พอยันกันอยู่ก็เกิดการปะทะกันรอบใหม่บริเวณพรมแดนในเขตรัฐอรุณาจาล ประเทศของอินเดีย

ทำให้ชาวโลกต้องกลับมาให้ความสนใจเทือกเขาหิมาลัยและชายแดนของ 2 ประเทศที่ยาวเหยียดถึง 3,440 กิโลเมตร

และหลายๆ ส่วนของชายแดนนี้มีการอ้างสิทธิ์ทับซ้อนที่เป็นเรื่องเป็นราวกันมายาวนาน

การเผชิญหน้าล่าสุดเกิดขึ้น 2 ปีหลังจากการต่อสู้ระหว่างทหารทั้ง 2 ฝ่ายในอีกด้านหนึ่งของพรมแดนตรงเทือกเขาหิมาลัยเมื่อปี 2020

คราวนั้นทหารอินเดียเสียชีวิต 20 คน ฝ่ายจีนสูญเสียทหาร 4 คน

ความจริงความขัดแย้งระหว่าง 2 ยักษ์ใหญ่แห่งเอเชียมีมายาวนานตั้งแต่ตอนต้นของศตวรรษที่ 20

เป็นผลพวงของอังกฤษอีกนั่นแหละที่พยายามจะแบ่ง “เขตอิทธิพล” ระหว่างอินเดียภายใต้การปกครองของอังกฤษกับทิเบต

ในขณะนั้นทิเบตยังไม่ได้อยู่ใต้จีน

ทางตะวันตกของชายแดนระหว่างจีนกับอินเดียนั้น อินเดียอ้างสิทธิ์เหนือ Aksai Chin ซึ่งเป็นเขตที่อยู่ใต้การควบคุมของจีนที่ควบคุมเขตซินเจียง

ทางด้านตะวันออก จีนอ้างกรรมสิทธิ์เหนือรัฐอรุณจาลทั้งหมดของอินเดีย

โดยจีนอ้างว่าบริเวณนั้นในประวัติศาสตร์เป็นส่วนหนึ่งของทิเบตมาตลอด

ทะไล ลามะ องค์ก่อนประสูติที่วัดที่เมือง Tawang

เมื่อ 60 ปีก่อน อินเดียกับจีนก่อสงครามก็ด้วยข้อพิพาทดินแดนในบริเวณนั้น

คราวนั้นการสู้รบจบลงด้วยกองทัพปลดแอกประชาชนของจีนได้ชัยเหนือทหารอินเดีย

กลายเป็นความเคียดแค้นระหว่าง 2 ประเทศมาตลอดจนถึงวันนี้

ตลอดเวลาที่ผ่านมา ความขัดแย้งก็ปะทุระหว่างกองกำลังของทั้ง 2 ฝ่ายเป็นระยะๆ

แต่มีข้อตกลงกันว่า ทหารทั้ง 2 ฝ่ายจะไม่พกอาวุธปืนหากมีการเผชิญหน้ากัน

เราจึงเห็นคลิปวิดีโอเก่าที่ทหารทั้ง 2 ฝ่ายปะทะกันด้วยกระบอง เหมือนการทำสงครามในอดีตที่ใช้หอกแหนแหลนหลาวมากกว่าใช้กระสุนปืนยิงใส่กัน

ก่อนหน้านี้ทั้ง 2 ฝ่ายมีข้อตกลงอย่างไม่เป็นทางการยอมรับเส้นทางการลาดตระเวนของแต่ละฝ่ายเพื่อจะได้หลีกเลี่ยงการปะทะกัน

เส้นแบ่งที่กั้นระหว่าง 2 ฝั่งอย่างไม่เป็นทางการเรียกกันว่าเป็น Line of Actual Control หรือ “เส้นควบคุมของจริง”

เหตุการณ์ล่าสุดครั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอินเดีย ราชนาธ ซิงห์ รายงานต่อรัฐสภาว่า "เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม ทหารจีนได้พยายามเปลี่ยนสถานะ (status quo) ด้วยการรุกล้ำเข้ามาในเส้นแบ่งพรมแดนในเขตตาวัง”

พร้อมกับรายงานว่า ทหารอินเดียได้เข้าสกัดกั้นและขับไล่ทหารจีนกลับออกไป

ทางการอินเดียยืนยันว่า ไม่มีทหารอินเดียเสียชีวิต หรือได้รับบาดเจ็บจากการเผชิญหน้าครั้งล่าสุดนี้

จากนั้นก็แจ้งว่า ผู้บัญชาการทหารของอินเดียได้พบกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงด้านการทหารของจีน เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม หารือที่มาที่ไปของเหตุการณ์ครั้งนี้

แถลงการณ์ของกองทัพอินเดียอ้างว่าทั้ง 2 ฝ่ายต่างถอนกำลังออกจากบริเวณนั้นทันทีหลังการปะทะ

ฝ่ายจีนดูเหมือนจะพยายามไม่กระพือให้เหตุการณ์ครั้งนี้บานปลายกลายเป็นความขัดแย้งที่รุนแรงกว่าที่เป็นข่าวไปทั่วโลก

โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน หวัง เหวินปิน ใช้การแถลงข่าวประจำวันว่า แจ้งว่าสถานการณ์บริเวณพรมแดนติดกับอินเดียค่อนข้างจะ “มีเสถียรภาพ”

ขอให้อินเดีย "ช่วยกันปกป้องสันติภาพและความสงบสุขของพรมแดน 2 ประเทศ"

ท่าทีของจีนกับอินเดียต่างกันอย่างน่าสนใจ

อินเดียต้องการจะออกข่าวให้เห็นว่าฝ่ายจีนรุกล้ำเข้ามาก่อน ฝ่ายจีนพยายามจะทำให้สถานการณ์ดูเหมือนจะไม่มีอะไรร้ายแรง

จึงควรจะมีการเจรจาหาทางป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีกในอนาคต

รายละเอียดของการปะทะกันไม่เป็นที่เปิดเผยจากรัฐบาลทั้ง 2 ฝั่ง

แต่สื่ออินเดียอ้างคำพูดของแหล่งข่าวว่า ณ ที่เกิดเหตุว่าการต่อสู้ส่วนใหญ่ใช้ท่อนไม้และมือเปล่า ไม่มีการใช้อาวุธร้ายแรงยิงใส่กัน

แต่ก็เป็นการ “ปะทะกัน” เป็นเวลานับชั่วโมง

โดยมีทหารของทั้ง 2 ประเทศเข้าร่วมหลายร้อยคน

จุดที่เกิดเหตุคือเขตตาวัง (Tawang) ในรัฐอรุณาจาล ประเทศที่อินเดียครอบครองอยู่

แต่จีนอ้างกรรมสิทธิ์บริเวณนั้นมายาวนาน

โดยปักกิ่งเรียกบริเวณนั้นว่าเป็น  "ทิเบตใต้" (Southern Tibet)

ณ จุดนี้แหละเมื่อปี 1962 ที่จีนกับอินเดียเปิดศึกร้อนแรง

เป็นจังหวะที่จีนได้รุกคืบเข้ายึดรัฐนี้

แต่หลังการเจรจาหลายรอบ จีนยอมส่งคืนพื้นที่ให้อยู่ในการควบคุมของอินเดีย และตกลงจัดทำ Line of Actual Control

เพื่อเป็นเส้นสมมติที่ทหารของทั้ง 2 ฝ่ายจะไม่ละเมิดกันและกันเพื่อป้องกันสงครามขนานใหญ่ตรงเทือกเขาหิมาลัย

ความจริง ก่อนหน้านั้นมีสัญญาณของความไม่ปกติตรงชายแดนอยู่แล้ว

รัฐมนตรีต่างประเทศอินเดียแจ้งรัฐสภาอินเดียว่า ได้แจ้งเตือนจีนทราบอย่างชัดเจนว่าจะ “ไม่อดทน” ต่อความพยายามใดก็ตามที่จะเปลี่ยนสถานะของ Line of Actual Control นี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากอินเดีย

อีกทั้งยังนิวเดลฮียังเตือนปักกิ่งว่า จะต้องไม่มีการเพิ่มกำลังทหารในบริเวณที่เปราะบางตรงนั้นด้วย

นักวิเคราะห์มองว่า เหตุการณ์ครั้งล่าสุดจะทำให้การปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ยักษ์ใหญ่ประสบกับอุปสรรคมากขึ้น

เพราะทั้งนายกฯ นเรนทรา โมดี และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ไม่อาจจะยอมมีภาพที่ต้องยอมเสียดินแดนให้กับอีกฝ่ายหนึ่ง

มันคือศักดิ์ศรีของทั้ง 2 ประเทศ

และผู้นำทั้ง 2 ก็ต้องการจะยึด “กระแสชาตินิยม” เอาไว้เป็นแนวทางรักษาความนิยมชมชอบของตนสำหรับการเมืองภายใน

แม้ว่าอินเดียกับจีนต่างพยายามจะรักษาภาพลักษณ์ของการคบหากันในเวทีระหว่างประเทศ เมื่อทั้ง 2 ได้ประโยชน์ร่วมกัน เช่น การที่อินเดียกับจีนต่างอยู่ในกลุ่ม BRICS (ที่มีรัสเซีย, บราซิลและแอฟริกาใต้ร่วมด้วย)

แต่อินเดียก็เป็นสมาชิกของ “จตุภาคี” QUAD ที่มีสหรัฐฯ, ญี่ปุ่นและออสเตรเลียร่วมด้วยเช่นกัน

จีนมอง QUAD เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของตนที่มีสหรัฐฯ เป็นหัวหอก

ดังนั้นลึกๆ แล้ว 2 ยักษ์แห่งเอเชียก็ยังคบกันอย่างไม่สนิทใจนัก

การปะทะกันตรงชายแดนจึงยังจะเป็น “ภาวะตึงเครียดถาวร” ไม่สะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่ยังไม่อาจจะ “ลงรอย” กันได้อีกยาวนาน.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

แชร์สนั่นโซเชียล ลุกโชนเป็นไฟลามทุ่ง! ‘อนุทิน’ บุกเพจ ‘สุทธิชัย’ แจงกรณีคุยกับ ‘ทรัมป์’

ภายหลัง เพจ Suthichai Yoon  โพสต์ข้อความว่า‘ทรัมป์‘ ให้สัมภาษณ์ Wall Street Journal ว่าเขาได้ใช้ tariff กดดันให้ไทยกับกัมพูชายุติการสู้รบ!

ประเทศเดียวในโลก ‘นายกฯทับซ้อน’ มหันตภัยปี 2568

นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่าสำนักวิจัยต่าง ๆ กำลังวิเคราะห์เพื่อพยากรณ์ว่าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายสาหัสอะไรบ้างใน

บิ๊กเซอร์ไพรส์ 'สุทธิชัย หยุ่น' เล่นซีรีส์ 'The White Lotus ซีซั่น 3'

เรียกว่าสร้างความเซอร์ไพรส์อย่างต่อเนื่อง สำหรับซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 ซึ่งจะสตรีมผ่าน Max ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2025 เพราะนอกจากจะมี ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล หรือ ลิซ่า BLACKPINK ไอดอลเกาหลีสัญชาติไทย ที่กระโดดลงมาชิมลางงานแสดงเป็นครั้งแรก ในบทของ มุก สาวพนักงานโรงแรม

ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน

นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ