ทุนจีนเทาพังกระบวนการยุติธรรม ยกเครื่อง สตม.ด่านหน้าพรางโจร

คดีผับ จินหลิง เขย่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สะเทือนไปทั้งองค์กร เมื่ออดีตเจ้าพ่ออ่างทองคำ เฮียชู-ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ที่มาในฐานะ พลเมืองดี ออกมาแฉกระบวนการยุติธรรมไทย ถูกอำนาจเงินสีเทาของนายทุนจีนครอบงำทั้งระบบ โดยเฉพาะ “สำนวนการสอบสวน” ต้นน้ำกระบวนการยุติธรรมของตำรวจ เละเทะ อ่อนปวกเปียก

ผับจินหลิง ย่านสาทรใจกลางเมือง รับเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีนกระเป๋าหนัก เป็นสถานที่ส่วนบุคคล คนภายนอกไม่สามารถเข้าได้ อาณาเขตมีรั้วรอบขอบชิด ด้านหน้าอำพรางเป็นร้านคาร์แคร์ ด้านในเป็นสถานบันเทิงตกแต่งหรูหราอลังการ มีห้องร้องเพลงแบบส่วนตัวแบ่งเป็นล็อกตามใจลูกค้า และยังเป็นที่รู้จักในหมู่นักเที่ยวมาที่เดียวครบวงจรเรื่องยาเสพติด

หลังถูกตำรวจกองบัญชาการตำรวจนครบาล นำโดย พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น.  เข้าตรวจค้นจับกุมนักเที่ยวกว่า 200 คน พบปัสสาวะสีม่วงร้อยกว่าคน ถูกนำตัวส่งดำเนินคดี และดำเนินคดีกับผู้ดูแลรับเป็นเจ้าของคนไทย ยึดของกลางเป็นยาเสพติด รถยนต์หรูอีกหลายสิบคันไว้ตรวจสอบ แต่ละคันราคาหลายสิบล้าน

แต่กลายเป็นประเด็นใหญ่ เมื่อผับดังกล่าว ชูวิทย์ ออกมาระบุเป็น ผับศูนย์เหรียญ ที่มี ชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์  หรือ ตู้ห่าว นายทุนจีนสีเทาเป็นเจ้าของตัวจริง ไม่ใช่ รปภ.ที่ถูกสวมให้เป็นเจ้าของแทน และขณะตรวจค้น "ตู้ห่าว" เจ้าของตัวจริงก็อยู่ในที่เกิดเหตุ แต่ตำรวจช่วยให้หลบหนี ชูวิทย์ ระบุผับศูนย์เหรียญเปลี่ยนร่างมาจากทัวร์ศูนย์เหรียญ อาศัยประเทศไทยเป็นฐานทำธุรกิจท่องเที่ยวสำหรับคนจีน  อุปกรณ์สิ่งของเครื่องใช้ล้วนมาจากจีน ได้เงินก็ส่งกลับประเทศจีน โดยที่คนไทยไม่ได้รับประโยชน์ใดๆ เช่นเดียวกับผับศูนย์เหรียญที่เปิดให้เข้าเฉพาะคนจีน อุปกรณ์เครื่องเสียง เหล้า บุหรี่ น้ำ ยาเสพติดล้วนขนมาจากจีน คนไทยไม่มีรายรับจากส่วนนี้

ตู้ห่าว ถูกจับตามองทันที แต่งงานกับข้าราชการตำรวจหญิงปัจจุบันยศ พ.ต.อ. ทำให้มีศักดิ์เป็นหลานเขยอดีตข้าราชการตำรวจใหญ่ บริจาคเงินให้พรรคการเมืองชื่อดัง จำนวน 3 ล้านบาท มีคอนเนกชันใกล้ชิดกับนักการเมือง  ทหาร ตำรวจ บุคคลมีชื่อเสียงระดับประเทศ

เฮียชู เปิดแผลตำรวจ แฉการทำคดีจับผับจินหลิงไม่ชอบมาพากล พยายามช่วยเหลือผู้ต้องหาตั้งแต่วันแรก ด้วยการนำตัว รปภ.มาสวมเป็นเจ้าของร้านแทนนายตู้ห่าว วันถัดมา "หยาง เฉิน" อายุ 37 ปี หลานตู้ห่าวถูกตำรวจช่วยพาหลบหนีระหว่างทาง ก่อนขึ้นเครื่องบินส่วนตัวออกนอกประเทศ กลายเป็นเรื่องฉาวองค์กรตำรวจ บิ๊กเด่น-พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร.มอบหมายให้ บิ๊กโจ๊ก- พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.ลงมากำกับดูแลคดีนี้  เจ้าหน้าที่ตำรวจส่อทุจริตมีมูล สั่งเด้งดำเนินคดีทั้งอาญา-วินัย รอง ผกก.จราจร สน.ลาดพร้าว, พนักงานสอบสวน สน.ยานนาวา 2 คน ให้การช่วยเหลือ ส่งเรื่องไป ป.ป.ช.ดำเนินการต่อ

      แต่เรื่องไม่จบ เมื่อรอง ผบก.น.6 ที่มีคำสั่งให้รักษาราชการแทน ผกก.สน.ยานนาวา ที่ถูกเด้งไปก่อนหน้าฐานปล่อยปละละเลยพื้นที่ให้มีสถานบันเทิงเปิดเกินเวลาและมั่วสุมยาเสพติด ถูกเด้งอีกราย ฐานสั่งปล่อยรถยนต์หรูของกลาง จำนวน 4 คัน ไปจากอำนาจการกำกับดูแล เพราะรถยนต์ของกลางหลายคันล้วนเป็นชื่อของนอมินีคนไทยครอบครอง ที่ชุดสอบสวนจะใช้เป็นพยานหลักฐานในสำนวน เรื่องทั้งหมดอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานส่งให้ บช.น.พิจารณา ยิ่งสาวยิ่งลึก ชูวิทย์กัดไม่ปล่อย สังคมจับตาการทำงานของตำรวจ กว่าพนักงานสอบสวนจะออกหมายจับตู้ห่าว และขบวนการได้ใช้เวลาเกือบเดือน ก่อนตู้ห่าวจะเข้ามอบตัวคดียาเสพติด 3 ข้อหา สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ผู้นั้นสมคบกันกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด, ร่วมกันค้ายาเสพติด และร่วมกันมีวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่าย

      3 ข้อหาของตู้ห่าว ชูวิทย์เชื่อสำนวนอ่อนเมื่อถึงชั้นอัยการมีสิทธิ์หลุดเป็นแน่ จึงออกมาเรียกร้องให้หัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวน, ผบช.น.แจ้งข้อหาฟอกเงิน เพราะพฤติการณ์เข้ามูลฐานความผิดฟอกเงินร้อยเปอร์เซ็นต์ เกิดความไม่ไว้ใจตำรวจ วิ่งสู้ฟัดร้องกระบวนการยุติธรรม ให้กรมสอบสวนคดีพิเศษรับเป็นคดีพิเศษ อัยการสูงสุดรับทำคดีอาชญากรรมข้ามชาติ ข้อหาฟอกเงินที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับ ปปง. แต่ พล.ต.ต.ปิยะพันธ์ ปิงเมือง  ประธาน ปปง.ชิงลาออกจากตำแหน่งไปก่อน โดยอ้างเหตุผลเรื่องสุขภาพ หลังจากถูกชูวิทย์แฉมีการเรียกรับผลประโยชน์จากนายทุนจีนสีเทากลุ่มนี้

คดีนายทุนจีนสีเทาแตะไปตรงไหน ล้วนมีตำรวจเกี่ยวข้องทุกส่วน ต้องให้เครดิตยอดนักแฉมีข้อมูลอัดแน่น ตำรวจกลายเป็นจำเลยรายวัน แม้แต่ ผบ.เด่น เองก็ไม่วายถูกชูวิทย์ร่ายยับ เกรงกลัวอิทธิพลไม่กล้าทำคดี หลบหลังลูกน้อง  จนต้องออกมาเคลียร์ตัวเอง กระโดดลงมากำกับดูแลคดีเอง  เรียกชูวิทย์ขึ้นไปทานข้าวบนตึกสำนักงานร่วมกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์, พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. ขาดเพียง  พล.ต.ท.ธิติ ผบช.น.ที่ชูวิทย์ให้ใบแดงเรียกร้องให้ลาออกจากตำแหน่ง  

นอกจากเรื่องสำนวน พยานหลักฐานคดีแล้ว ต้นทางที่กลุ่มทุนจีนสีเทาเลือกใช้ไทยเป็นฐานในการทำธุรกิจผิดกฎหมาย ด่านหน้าคือ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง หรือ  สตม. คดีผับจินหลิงตีแผ่ขยะที่ซุกอยู่ใต้พรมมานาน การขอวีซ่าเข้าไทยของชาวจีนมีหลายประเภท วีซ่านักท่องเที่ยวยื่นขอผ่านสถานทูตจีนอยู่ได้ 30 วัน แต่ถ้าอยากอยู่ต่อจะกลายเป็นช่องโหว่ในการเรียกรับผลประโยชน์ของเจ้าหน้าที่รัฐ แปลงวีซ่าเป็นนักธุรกิจ นักเรียน อาสาสมัครมูลนิธิฯ

จากข้อมูลเฉพาะปี 2563-2564 ของ ตม.ภาค 4 มีอาสาสมัครจีนกว่า 7,000 คน ได้วีซ่าประเภท Non-O  หรือ Working for NGO ทำงานเป็นอาสาสมัครในมูลนิธิ เป็นองค์กรที่ไม่แสวงหากำไร แต่เมื่อตรวจสอบสถานที่ตั้งมูลนิธิพบเป็นเพียงบ้านหลังเล็กๆ สภาพเก่าทรุดโทรม  คนแทบจะอาศัยอยู่ไม่ได้ ซึ่งมีรายงานว่าราคาค่างวดการแปลงวีซ่าอยู่ที่คนละ 100,000 บาท คำนวณดูคร่าวๆ ก็กว่า 700 ล้านบาทแล้ว นอกจากนี้ยังมีการแปลงวีซ่าเป็นนักเรียน มีการจัดเซตครบวงจรใช้ตึกแถวตั้งเป็นโรงเรียนสอนภาษา จ่ายเงินไม่ต้องมาเรียน นำเอกสารไปขอแปลงวีซ่าเป็นนักเรียนนับพันคน ทั้งที่โรงเรียนรับคนได้ไม่เกิน  40 คน ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องปกติแล้ว

บิ๊กโจ๊ก ส่งทีมงานตรวจสอบข้อเท็จจริง และออกมายอมรับพบเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตม.มีส่วนเกี่ยวข้องกระทำความผิดตั้งแต่ “นายพล-ชั้นประทวน” เฉพาะ ผกก.เกือบ  30 สถานี ระดับ “นายพล” 3 คน และ 2 ใน 3 เป็นเพื่อนร่วมรุ่น นรต.47 ของ “บิ๊กโจ๊ก” เองเสียด้วย คณะทำงานเริ่มออกหมายเรียกให้ตำรวจทั้งหมดที่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าให้ปากคำและรับทราบข้อหาแล้ว บางรายถึงกับร้องไห้เมื่อรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับชีวิตราชการตัวเอง โดย บิ๊กโจ๊ก ยืนยันไม่มีการช่วยกันเอง ดำเนินคดีทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นเพื่อนกัน ไม่มีสองบรรทัดฐาน

สตม. มีหน้าที่บังคับใช้กฎหมายการเข้าประเทศของชาวต่างชาติ คัดกรองบุคคลที่เป็นภัยต่อประเทศหรือบุคคลต้องห้าม ถ้าปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันต่อหน้าที่ เรียกรับผลประโยชน์ยังคงมีอยู่ ปัญหาที่มีอยู่ไม่มีทางหมด ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ ผบ.ตร. หรือผู้บริหารระดับสูงของ ตร.จะยกเครื่อง  ตม.ใหม่ทั้งระบบ ซึ่งการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจระดับ สว.- รอง ผบก.ที่ ก.ตร.เห็นชอบขยายเวลาออกไปจนถึง 31  ม.ค.นี้ น่าจะยังพอมีเวลาคัดสรรบุคคลที่มีความรู้ความสามารถไปทำหน้าที่ให้ถูกฝาถูกคน ไม่ใช่อยู่ที่คนของใครเหมือนที่ผ่านมา

ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ “ผบ.เด่น” ถึงแม้จะมีอายุราชการเพียงปีเดียว จะกล้าใช้อำนาจที่มีอยู่สร้างความเชื่อมั่นสำนักงานตำรวจแห่งชาติกลับคืนมา.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

นายกฯ กำชับตำรวจก้าวข้าม 'ต่อ-โจ๊ก' ลั่นไม่ขอยุ่งแล้ว ให้เป็นหน้าที่คกก.ตรวจสอบ

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ครั้งที่ 2/2567 ว่า ในที่ประชุมได้กำชับเรื่องความขัดแย้งระหว่าง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

'บิ๊กต่าย' ไม่รู้ข้อเท็จจริง 'ทนายตั้ม' แฉปมส่วยเว็บพนัน แต่ต้องรับผิดชอบคำพูด

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รรท.ผบ.ตร.) กล่าวว่า ไม่ได้ให้ผู้ใต้บังคับการบัญชาที่เป็นนายตำรวจระดับผู้กำกับการโทรศัพท์ไปขอข้อมูลกับนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม เกี่ยวกับเส้นทางการเงินที่เกี่ยวพันกับนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ก่อนที่ทนายตั้ม

คณะสอบ 2 นายพล เตรียมเรียก 'โจ๊ก-ต่อ' เข้าให้ข้อมูล ยันไม่มีเกี้ยเซียะ

พล.ต.อ.วินัย ทองสอง ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ ในฐานะคณะกรรมตรวจสอบข้อเท็จจริง และข้อกฏหมาย กรณี พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. และพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร. ตามคำสั่งนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความคืบหน้าการดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องดัง