พอเปิดมาปีใหม่ จีนก็ดูเหมือนจะมีนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต่างประเทศคนใหม่พร้อมเดินหน้ารัฐบาลภายใต้การนำของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง สมัยที่ 3 ทันที
หลี่เฉียง แม้จะยังไม่มีการประกาศแต่งตั้งเป็นนายกฯ เหมือนที่ ฉินกัง ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศคนใหม่แทนหวังอี้เรียบร้อยแล้ว แต่วงการนักวิเคราะห์การเมืองจีนก็เห็นพ้องว่าไม่น่าจะผิดจากนี้
สัปดาห์สุดท้ายของปีที่ผ่านมา การประชุมของคณะกรรมการถาวรของสภาประชาชนแห่งชาติ (National People’s Congress) ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนไม่มีการแต่งตั้งตำแหน่งรองนายกฯ คนใหม่
นำไปสู่การสรุปว่าหลี่เฉียงน่าจะกระโดดข้ามรั้วมาเป็นนายกฯ เลย
โดยไม่ต้องเดินตามประเพณีเดิมที่ว่านายกฯ จีนทุกคน (ยกเว้นโจว เอินไหล ภายใต้ประธานเหมา เจ๋อตง) จะต้องผ่านการทดสอบและเรียนรู้งานในตำแหน่งรองนายกฯ เสียก่อน
เช่น จู หรงจี ที่ได้เป็นนายกฯ ภายใต้ประธานาธิบดีเจียง เจ๋อหมิน นั้นต้องนั่งตำแหน่งรองนายกฯ ถึง 7 ปี ก่อนที่จะได้รับความไว้วางใจให้เลื่อนขึ้นเป็นนายกฯ
หรือหลี่ เค่อเฉียง นายกฯ คนที่กำลังจะก้าวลงจากตำแหน่งนั้น ก็รั้งตำแหน่งรองนายกฯ 5 ปีก่อนจะขึ้นมาช่วยสี จิ้นผิง ในฐานะนายกฯ
แต่กรณีของหลี่เฉียงนี่ฉีกขนบเก่า ๆ ทั้งหลาย
จากตำแหน่งเลขาธิการเซี่ยงไฮ้ วิ่งแซงโค้งมาเป็นหนึ่งใน “7อรหันต์” หรือคณะกรรมการถาวรของกรมการเมือง (Politburo)
และวิ่ง 100 เมตรเข้าเส้นชัยเป็นนายกฯ เลย
เหตุเป็นเพราะสี จิ้นผิง ไว้เนื้อเชื่อใจในฐานะคนที่เคยทำงานร่วมกัน
เพราะสมัยที่สี จิ้นผิง เป็นเลขาธิการพรรคฯ ที่จังหวัดเจ้อเจียงนั้น หลี่เฉียงมีบทบาทเป็นผู้ช่วยใกล้ชิด
สี จิ้นผิง คงจะเห็นว่าเอาคนที่ไว้ใจได้สำคัญกว่าคนที่เดินตามขั้นตอนเดิม
และหากต้องรอให้หลี่เฉียงเรียนรู้งานเหมือนคนก่อนๆ อีกหลายปี สี จิ้นผิง ก็จะไม่ได้ใช้งานคนรู้ใจอย่างหลี่เฉียงก่อนจะหมดเทอมที่สาม
ตำแหน่งนายกฯ ของจีนนั้นมีภารกิจหนักพอสมควร
เพราะต้องดูแลนโยบายเศรษฐกิจและการเงินเป็นหลัก อีกทั้งยังต้องบริหารกระทรวงทบวงกรมทั้งหมด 26 กระทรวง
ถ้าไม่ได้แรงสนับสนุนจากเบอร์หนึ่งอย่างสีจริงๆ ใครที่ไม่เคยรู้จักสายสนกลในของการบริหารราชการแผ่นดินก็อาจจะถูกลองของจนเสียคนไปก็ได้
แต่หลี่เฉียงก็พร้อมจะเข้ารับการทดสอบ...หรือไม่ ก็อาจจะเป็นเพราะสี จิ้นผิง ต้องการจะปรับวิธีการบริหารของคณะรัฐมนตรีด้วยการโยนหลี่เฉียงลงไปในจุดทดสอบที่สำคัญเลย
หลี่เฉียงคงรู้ว่าจะต้องพิสูจน์ตัวเองอย่างหนัก เพราะระหว่างที่เป็นเบอร์หนึ่งของเซี่ยงไฮ้นั้น ก็ถูกชาวบ้านที่นั่นวิพากษ์วิจารณ์ผลงานที่ไม่น่าประทับใจนักกับการบริหารการแพร่ระบาดของโควิด
หากเป็นคนอื่น เมื่อเจอกับปฏิกิริยาทางลบเช่นนี้ ก็อาจจะต้อง “แช่แข็ง” ในตำแหน่งเดิมไปสักระยะหนึ่งก่อนที่จะได้เลื่อนขั้นขึ้นมา
แต่กรณีหลี่เฉียงกลายเป็นข้อยกเว้นที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง
แต่การแต่งตั้งรัฐมนตรีต่างประเทศคนใหม่กลายเป็นประเด็นที่ผู้คนตั้งวงวิเคราะห์กันอย่างร้อนแรงเช่นกัน
เพราะฉินกัง ซึ่งขณะนี้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตจีนประจำสหรัฐอเมริกามีบทบาทเป็น “คนใกล้ชิด” ประธานาธิบดีสีเช่นกัน
ปีนี้ฉินกังเพิ่งจะอายุ 56 และจะมาแทนหวังอี้วัย 69 ที่ดำรงตำแหน่งนี้มา 10 ปีพอดี
หวังอี้ได้รับเลื่อนขึ้นไปเป็นสมาชิกของกรมการเมือง และคาดว่าจะมีบทบาทกำกับดูแลเรื่องนโยบายต่างประเทศในระดับนโยบายของพรรคแทน
พอได้รับการแต่งตั้งในตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศอย่างเป็นทางการ ฉินกังก็ขึ้นข้อความนี้ในเว็บไซต์ของกระทรวงทันที
“การทูตจีนจะมีส่วนร่วมแก้ไขความท้าทายของมนุษยชาติด้วยการนำเสนอ “ปัญญาแบบจีน, ความริเริ่มแบบจีนและความเข้มแข็งแบบจีน”
ก่อนจะได้รับตำแหน่งทูตที่วอชิงตัน ฉินกังเคยเป็นโฆษกกระทรวงต่างประเทศและมีชื่อเสียงในแง่ของการเป็นนักตอบโต้ข้อกล่าวหาของตะวันตกต่อจีนอย่างคล่องแคล่วและร้อนแรง
ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในนักการทูตฝีมือโดนใจประธานาธิบดีสีที่ต้องการให้ประชาคมโลกได้รับรู้จุดยืนของจีนในเรื่องต่างๆ ที่ปักกิ่งถือว่ามีความสำคัญของการผลักดันบทบาทของจีนในเวทีระหว่างประเทศ
จีนจะไม่นิ่งเฉย จะไม่ตั้งรับ และจะไม่ใช้วิธีเดิมๆ ในการสื่อสารกับโลกอีกต่อไป
มีเทคโนโลยีอะไร มีช่องทางโซเชียลมีเดียอย่างไร จีนใช้ทุกสื่อและทุกจังหวะในการตอบโต้
ฉินกังทำหน้าที่นั้นได้สะใจท่านประธานาธิบดีไม่น้อย
ฉินกังเป็นทูตจีนประจำวอชิงตันได้เพียง 17 เดือนก่อนจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศที่ทรงอิทธิพล
ในช่วงที่เขาอยู่ประจำการสถานทูตจีนที่วอชิงตันนั้น ความสัมพันธ์ของจีนกับสหรัฐฯ มีความระหองระแหงในหลายประเด็นร้อนๆ
นอกจากจะได้เป็นโฆษกกระทรวงต่างประเทศสองรอบระว่างปี 2006-2014 เขายังเคยเป็นหัวหน้าใหญ่ด้านพิธีการทูตที่ประสานกิจกรรมการมาเยือนของอาคันตุกะต่างชาติกับสี จิ้นผิง อีกด้วย
เขาเป็นหนึ่งในนักการทูตที่กล้าปะทะคารมกับตะวันตกจนได้ชื่อว่า เป็นหนึ่งในทีม “นักการทูตนักรบหมาป่า” (Wolf Warriors)
แต่ขณะเดียวกัน ฉินกังก็มีความเป็นนักการทูตที่พร้อมจะหาช่องทางที่จะเล่นบท “ผู้ประสานงาน” แทนการ “ประสานงา” ได้เช่นเดียวกัน
ตอนที่เขาไปถึงวอชิงตันในเดือนมิถุนายน 2021 เพื่อรับตำแหน่งเอกอัครราชทูตจีนประจำสหรัฐฯ ภายใต้บรรยากาศของความตึงเครียดในความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศนั้น เขาบอกว่าแม้จะมีปัญหาในการสื่อสารระหว่างสองชาติ “แต่ผมก็เห็นโอกาสและศักยภาพของความร่วมมือระหว่างเรามากอยู่เหมือนกัน”
ในบทความที่เขาเขียนไปตีพิมพ์ในนิตยสาร The National Interest ของสหรัฐฯ นั้น ฉินกังฉายภาพให้เห็นถึงทิศทางนโยบายต่างประเทศของจีน
และตอกย้ำว่า ความสัมพันธ์ของปักกิ่งกับวอชิงตันไม่ใช่ “Zero-sum Game”
แปลว่าต้องไม่ใช่ “เกมที่ผลลัพธ์เป็นศูนย์” สำหรับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
พูดง่ายๆ คือในการคบหาระหว่างสองยักษ์ใหญ่นั้น ต่างฝ่ายต่างต้องยอมรับว่ามีได้มีเสีย...ต้องรู้ว่าจะได้เมื่อไหร่และจะเสียเมื่อไหร่
ไม่มีทางที่ข้างใดข้างหนึ่งจะได้ไปทั้งหมดจนอีกฝ่ายหนึ่งกลับบ้านมือเปล่า
เพราะหากเป็นเช่นนั้น ความสัมพันธ์ย่อมไม่ยั่งยืนและโลกก็ไม่อาจจะมีเสถียรภาพได้
ต้องจับตานายกฯ และรัฐมนตรีต่างประเทศทีมใหม่ของจีนอย่างใกล้ชิด
เพราะปีใหม่นี้จะเป็นปีแห่งความผันผวนของความสัมพันธ์ระหว่างมังกรยักษ์กับมหาอินทรีที่น่าตื่นตาตื่นใจอย่างแน่นอน.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ทิม คุกบินไปเวียดนาม-อินโดฯ ทำไมไม่แวะประเทศไทย?
สัปดาห์ก่อน ทิม คุก ซีอีโอของ Apple บินข้ามไทยไปเวียดนาม, อินโดนีเซียและสิงคโปร์ เพื่อสรุปแผนการลงทุนหรือเพิ่มกิจกรรมในประเทศเหล่านั้น
มะกันทุ่ม 3.5 ล้านล้านบาท ให้ยูเครน, อิสราเอล, ไต้หวัน!
งบประมาณก้อนใหญ่ที่สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ อนุมัติเพื่อช่วยยูเครน, อิสราเอล และไต้หวันเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา จะช่วยลดความกังวลของยูเครนว่ากำลังจะแพ้สงครามได้หรือไม่...ยังต้องคอยดูของจริงในสมรภูมิรบต่อไป
แจกเงินผ่านดิจิทัลวอลเล็ต: ปีศาจอยู่ในรายละเอียด!
นโยบายแจกเงินหมื่นผ่านดิจิทัลวอลเล็ตถึงวันนี้ก็ยังเป็น “ลูกผีลูกคน” อยู่
เชื่อไหม:อิสราเอลกับ อิหร่านเคยรักกัน?
อิสราเอลกับอิหร่านเปิดศึกสงครามที่สร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วโลกวันนี้ มีคำถามว่าทั้ง 2 ชาตินี้กลายเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันอย่างรุนแรงเช่นนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่ และมีเหตุผลแห่งความบาดหมางกันอย่างไร
วิกฤตพม่าจากมุมมองของจีน
ถ้าถามว่าทำไมจีนจึงมีความกังวลกับสงครามในเมียนมาอย่างมาก ดูจากภาพนี้ก็จะเข้าใจ
จีน-อินเดีย: 'สันติภาพร้อน' ที่ทำให้ร่วมแก้วิกฤตพม่าไม่ได้
วิกฤตพม่าทำให้ผมคิดถึงความความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับอินเดียวันนี้ เพราะหากสองยักษ์แห่งเอเชียทำงานร่วมกัน ไทยก็อาจจะเป็นมือประสานให้เกิดกระบวนการเจรจาในพม่าได้