พอจีนประกาศ “เปิดประเทศ” ด้วยการเลิกนโยบาย “โควิดต้องเป็นศูนย์” ตั้งแต่วันที่ 9 มกราคมที่ผ่านมา ทั้งโลกก็มองไปที่การฟื้นคืนปกติของเศรษฐกิจจีน
ปีที่ผ่านมา เพราะความเข้มข้นของการควบคุมการระบาดของโควิด ผลผลิตมวลรวม หรือ GDP ของจีนอาจจะร่วงลงมาที่อัตราโตที่ 3-4%
พอเปิดประเทศปีนี้ หลายสำนักกำลังประเมินตัวเลขนี้ใหม่
ผู้นำจีนพยายามจะไม่ตั้งเป้าการเติบโตทางเศรษฐกิจปีนี้สูงเกินไปนัก เพราะไม่ต้องการให้มีคำว่า “ต่ำกว่าเป้า” หรือ “แย่กว่าที่ตลาดคาดคิด”
ดังนั้น ตัวเลข 5-6% จึงเป็นพื้นฐานสำหรับปีใหม่นี้
ทั้งๆ ที่หลายวงการเชื่อว่าพอ “เสือติดปีก” ปักกิ่งก็อาจจะสามารถดันอัตราโตทางเศรษฐกิจได้ถึง 7-8% ด้วยซ้ำไป
บางสำนักถึงขั้นบอกว่า การที่จีนเปิดประเทศอีกครั้งหนึ่งตั้งแต่ต้นปีนั้น อาจจะมีผลทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนสร้างความปั่นป่วนให้กับเศรษฐกิจโลกได้
เพราะถ้าไตรมาสแรกปีนี้ (2023) เริ่มฟื้นอย่างเห็นได้ชัด ไตรมาสแรกของปีหน้า (2024) ก็อาจจะก้าวกระโดดไปเกินกว่า 10% ของปีนี้ด้วยซ้ำ
นั่นแปลว่าเฉพาะจีนประเทศเดียวก็อาจจะสามารถดันให้เศรษฐกิจโลกกลับมากระหึ่มได้อีกครั้ง
ลืมโศกนาฏกรรมที่โควิดทิ้งไว้เกือบ 3 ปีไปได้เลย
ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง กล่าวในคำปราศรัยวันปีใหม่ว่า “แสงสว่างแห่งความหวังอยู่ข้างหน้าเราแล้ว”
คลื่นนักท่องเที่ยวจีนที่ทำท่าจะหลั่งไหลออกมาจากการกักตัวของจีนกำลังเข้าสู่โหมด “เที่ยวและช็อปแก้แค้น” ของชนชั้นกลางจีนหลายร้อยล้านคน
โรงแรมที่ภูเก็ตของไทยและห้างต่างๆ ที่ฮ่องกงกำลังลุกขึ้นต้อนรับเงินหยวนที่นักท่องเที่ยวจากแผ่นดินใหญ่ควักออกมาใช้เงินอย่างร้อนแรง
แค่วันเดียวตอนปลายเดือนธันวาคมที่ผ่านมา (ทันทีที่ทางการจีนประกาศยกเลิกมาตรการโควิดและเปิดประเทศให้เดินทางเข้า-ออกได้โดยไม่มีการตรวจโควิดและการกักตัว) ยอดจองท่องเที่ยวและโรงแรมในเว็บไซต์มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งพุ่งขึ้นทันที 250%
ฮ่องกงเองประเมินว่าการที่จีนเปิดประเทศต้นปีนี้จะทำให้ GDP ของเกาะแห่งนี้สามารถพุ่งขึ้นไปโตที่ 8% เลยทีเดียว
ประเทศไหนที่ส่งออกไปจีนเช่นไทยเรา ก็จะได้ประโยชน์จากตลาดที่เปิดอีกครั้งหนึ่ง
เพราะจีนสั่งสินค้าจากต่างประเทศเป็นจำนวนมาก
จีนเป็นผู้บริโภคน้ำมันจากต่างประเทศ 20% ของทั้งโลก
และไม่ว่าจะเป็นแร่ทองแดง, สังกะสีหรือนิกเกิล ตลาดจีนก็มีส่วนแบ่งตลาดในฐานะผู้ซื้อจากข้างนอกถึง 50%
ยิ่งเป็นแร่เหล็กด้วยแล้ว จีนสั่งเข้าประเทศจากข้างนอกถึง 3 ใน 5 ทีเดียว
แต่อีกด้านหนึ่ง การฟื้นของเศรษฐกิจจีนก็อาจจะนำมาซึ่งผลทางลบสำหรับประเทศอื่น
เช่นหากการเปิดประเทศของจีนสร้างแรงกดดันให้กับราคาสินค้าถึงระดับที่น่ากังวล ก็อาจจะหมายถึงการที่ประเทศเหล่านั้นต้องเผชิญกับปัญหาเงินเฟ้อที่สูงขึ้น
และหมายถึงการต้องขยับอัตราดอกเบี้ยขึ้นไปอีก
ประเทศที่อาจจะตกอยู่ในฐานะต้องรับผลทางลบเพราะการเปิดประเทศของจีนนั้น คือประเทศที่สั่งสินค้าโภคภัณฑ์เข้าประเทศ
ส่วนหมายถึงประเทศตะวันตกเป็นส่วนใหญ่
ราคาน้ำมันเป็นตัวอย่างของกรณีนี้
หากเศรษฐกิจจีนฟื้นคืนอย่างคึกคัก จีนก็จะมีความต้องการสั่งน้ำมันเข้าสูงขึ้น
อาจจะสูงกว่าปริมาณน้ำมันที่บริโภคน้อยลงในประเทศตะวันตกเช่นสหรัฐฯ และยุโรป เพราะเศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้จะหดตัวลง
ถึงขั้นที่พูดถึง “ภาวะเศรษฐกิจถดถอย” หรือ recession กันเลยทีเดียว
บางสำนักวิเคราะห์ประเมินว่า ถ้าจีนฟื้นตัวเร็วจริงๆ ก็จะสั่งซื้อน้ำมันเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน
นั่นอาจจะดันให้ราคาน้ำมันดิบเช่น Brent กระโดดกลับไปที่ 100 เหรียญต่อบาร์เรลได้
และหากน้ำมันแพงขึ้นอย่างนั้น อัตราเงินเฟ้อในโลกตะวันตกก็กลับมาหลอกหลอนอีกครั้ง
แม้กระทั่งราคาก๊าซก็อาจจะกลายเป็นประเด็นเดือดร้อนสำหรับตะวันตก...หากอุตสาหกรรมจีนกลับมาคึกคัก และสั่ง LNG เข้าประเทศเพิ่มขึ้นในปริมาณที่มีนัยสำคัญ
สงครามยูเครนทำให้ยุโรปเดือดร้อนเรื่องก๊าซพอสมควรแล้ว แม้จะมีความพยายามปรับตัวในระดับหนึ่ง
แต่ถ้าจีนกลับมาสั่งเข้าก๊าซอย่างมากปลายปีนี้ (ตรงกับช่วงหน้าหนาว) ปัญหาเรื่องก๊าซที่ยุโรปคิดว่าพอจะเอาตัวรอดในปีนี้ก็จะเสื่อมทรุดลงในปีหน้าอีก
แต่อีกด้านหนึ่ง สอดคล้องกับจังหวะของการเปิดประเทศ เราก็เห็นการ “ปรับโครงสร้าง” ของธุรกิจเทคโนโลยีของจีนที่ทางการเข้ามา “จัดระเบียบ” มาได้ 2 ปีเริ่มจะเข้าสู่โหมด “นิ่ง” แล้ว
ไม่ว่าจะเป็น Alibaba, Tencent, Didi และ Meituan ต่างก็ผ่านการปรับโครงสร้างให้ลด “ความซ่า” ลงภายใต้มาตรฐานใหม่
Guo Shuqing เลขาธิการพรรคธนาคารประชาชนจีนแถลงเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่าแผนงานของรัฐที่ลงมาปรับแก้การทำธุรกิจการเงินของบริษัทแพลตฟอร์มอินเทอร์เน็ต 14 แห่งนั้น “เสร็จสมบูรณ์” แล้ว
ถือเป็นภารกิจสำคัญของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่ต้องจับธุรกิจยักษ์ด้านไฮเทคของจีนเข้าสู่ระบบที่ทางการควบคุมไม่ให้ออกนอกลู่นอกทางของพรรคมากไปกว่านั้น
Guo เป็นผู้ทรงอำนาจสำคัญคนหนึ่งของจีน...มีตำแหน่งเป็นประธานคณะกรรมการกำกับดูแลการธนาคารและการประกันภัยของจีน (CBIRC) ที่มีอำนาจและบารมีที่กว้างขวางในแวดวงการเงินของจีน
พอมีถ้อยแถลงเช่นนี้ออกมา ก็เท่ากับเป็นสัญญาณแรกจากเจ้าหน้าที่กำกับดูแลระดับสูงว่ารัฐบาลกำลังยุติการ “จัดแถว” ครั้งใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อบริษัทอินเทอร์เน็ตรายใหญ่ที่สุดของประเทศ
ปักกิ่งพุ่งเป้าของแผนปรับโครงสร้างครั้งสำคัญนี้ไปที่บริษัทที่มีมูลค่าสูงสุดของประเทศตั้งแต่เดือนตุลาคม 2563
โดยเตือนว่าผู้ให้บริการแพลตฟอร์มอาจใช้อำนาจในทางที่ผิดและบ่อนทำลายการแข่งขัน
การจัดระเบียบใหม่ครั้งนี้เข้าไปกระทบวงการนี้อย่างกว้างขวาง
ตั้งแต่อีคอมเมิร์ซไปจนถึงบริการเรียกรถและการศึกษาออนไลน์ทั้งหลายนำไปสู่การระงับการเสนอขายครั้งแรกต่อประชาชนทั่วไป หรือ IPO ระดับยักษ์อย่าง Ant Group ของกลุ่มอาลีบาบา และการเพิกถอน Didi Global บริษัทเรียกรถโดยสารยักษ์ใหญ่จากนิวยอร์กเพียงห้าเดือนหลังจากเปิดตัว
ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา หน่วยงานกำกับเรียกประชุมบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำหลายครั้ง
มีคำสั่งให้อาลีบาบาผู้นำด้านอีคอมเมิร์ซต้องจ่ายค่าปรับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
และ “เหม่ยถวน” ยักษ์ใหญ่ด้านการจัดส่งอาหารต้องลดค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บจากร้านอาหารสำหรับการจัดส่งและปรับปรุงการปฏิบัติต่อพนักงานขับรถ
ผลที่ตามมาคือการเทขายหุ้นเทคโนโลยีของจีน กวาดล้างมูลค่าตลาดในฮ่องกงและสหรัฐฯ มากถึง 70%
สัญญาณที่บอกว่าการปราบปรามกำลังจะผ่อนเบาลงปรากฏขึ้นครั้งแรกในฤดูใบไม้ผลิปีเมื่อปีที่แล้ว
โดยรองนายกรัฐมนตรีหลิวเฮ่อประกาศในการประชุมเมื่อเดือนมีนาคมว่า ความพยายามในการ "แก้ไข" บริษัทแพลตฟอร์มอินเทอร์เน็ตควรเสร็จสิ้น "โดยเร็วที่สุด" เพื่อส่งเสริมการเติบโตที่มั่นคงและแข็งแกร่ง
สัญญาณของจีนที่จะผงาดในเวทีเศรษฐกิจโลกอีกครั้งชัดขึ้นทุกขณะ.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน
นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ
เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนที่กลายเป็น ที่ซ่องสุมของอาชญากรรมข้ามชาติ
เมื่อวานเขียนถึงรายงานในสำนักข่าวชายขอบที่สำนักจะได้รับความสนใจของรัฐบาลไทยว่าด้วยกิจกรรมอาชญากรรมข้ามชาติในบริเวณ “เขตเศรษฐกิจพิเศษ” ที่สามเหลี่ยมทองคำ
แหล่งค้ามนุษย์ใน 3 เหลี่ยมทองคำ
เขตเศรษฐกิจพิเศษหรือ SEZ บริเวณสามเหลี่ยมทองคำที่โยงกับไทยนั้นกลายเป็นประเด็นเรื่องอาชญกรรมข้ามชาติที่สมควรจะได้รับความสนใจของรัฐบาลไทยอย่างจริงจัง
ไบเดนหรือทรัมป์? เอเชียน่าจะเลือกใครมากกว่า?
ผมค่อนข้างมั่นใจว่าการดีเบตระหว่างโจ ไบเดน กับโดนัลด์ ทรัมป์ วันนี้ (เวลาอเมริกา) จะไม่ให้ความสำคัญต่อเอเชียหรืออาเซียน
พรุ่งนี้ ลุ้นดีเบตรอบแรก โจ ไบเดนกับโดนัลด์ ทรัมป์
ผมลุ้นการโต้วาทีระหว่างโจ ไบเดน กับโดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้ (27 มิถุนายน) เพราะอยากรู้ว่า “ผู้เฒ่า” สองคนนี้จะมีความแหลมคมว่องไวในการแลกหมัดกันมากน้อยเพียงใด
เธอคือ ‘สหายร่วมรบ’ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรค NLD คนสุดท้าย!
อองซาน ซูจีมีอายุ 79 ปีเมื่อวันที่ 19 มิถุนายนที่ผ่านมา...และยังถูกจำขังในฐานะจำเลยของกองทัพพม่าที่ก่อรัฐประหารเมื่อกว่า 3 ปีที่แล้ว