ช็อกไปคนละทาง : การลาออก ของผู้นำเวียดนาม-นิวซีแลนด์

ผู้นำ 2 ประเทศที่ลาออกเมื่อสัปดาห์ก่อนสร้างความฮือฮาพอๆ กัน แต่ไปกันคนละทิศคนละทาง

ประธานาธิบดีเวียดนาม เหงียน ซวน ฟุก ถูกกดดันให้ต้องลาออก เพราะเรื่องอื้อฉาวประเด็นสินบนที่โยงกับโควิด-19

โดยรองนายกฯ 2 คน และรัฐมนตรีช่วยอีกคนหนึ่ง รวมถึงข้าราชการประจำอีกจำนวนหนึ่งถูกปลด เพราะมีพฤติกรรมทุจริตประพฤติมิชอบ

ส่วนนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ จาซินเดอร์ อาร์เดิร์น ประกาศขอลงจากตำแหน่งด้วยตนเอง เพราะ “หมดพลัง, หมดแรง”

โดยบอกว่าผู้นำที่ดีนั้นจะต้อง “รู้เวลาที่จะอยู่และรู้เวลาที่ควรจะไป”

เป็น 2 เรื่องที่เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

เพราะประธานาธิบดีเวียดนามไม่เพียงแต่ต้องยื่นใบลาออกจากตำแหน่งสูงสุดในรัฐบาลเท่านั้น

แต่ยังต้องออกจากตำแหน่งในกรมการเมืองและกรรมการกลางของพรรคด้วย

ถือเป็นการถูกปลดจากสถานะทางการเมืองทั้งสิ้นทั้งปวงอย่างฉับพลัน

และแม้จะไม่โดยข้อกล่าวหาเป็นทางการ แต่ก็ไม่มีอะไรรับรองว่าจะไม่มีการสอบสวนตัวเขาในเวลาต่อมา

อีกด้านหนึ่งของเรื่องนี้คือ การตั้งประเด็นว่าการถูกกดดันให้ต้องลาออกนั้น สาเหตุจริงๆ เป็นเรื่องการแก่งแย่งอำนาจภายในพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามหรือไม่

เป็นการ “ล้างบาง” เพื่อโค่นกลุ่มการเมืองกลุ่มหนึ่งโดยผู้มีอำนาจอีกกลุ่มหนึ่งหรือไม่

เพราะมีผู้รู้ในแวดวงการเมืองเวียดนามบอกว่า ประธานาธิบดีคนนี้ได้แสดงผลงานที่โดดเด่นไม่น้อยในการสร้างเศรษฐกิจที่เฟื่องฟูของเวียดนามมาตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา

กรณีของนิวซีแลนด์นั้น นายกฯ บอกว่าถอยออกมาเพื่อให้ “คนที่มีพลังมากกว่า” มาทำหน้าที่แทน โดยที่ตนจะกลับไปเป็นแม่และภรรยาเหมือนชาวบ้านทั่วไป

ไม่มีกลิ่นของการต่อสู้ยื้อแย่งอำนาจทางการเมืองระดับชาติแต่ประการใด

สำหรับเวียดนามนั้น พรรคคอมมิวนิสต์เริ่มต้นปีใหม่ด้วยการถอดรองนายกรัฐมนตรี 2 คนออกจากตำแหน่ง และตำแหน่งสำคัญของพรรค

แต่ต่อมาอีกไม่นานการกวาดล้างก็ลามไปถึงประธานาธิบดีเหงียน ซวน ฟุก

ไม่เพียงเท่านั้น ตำแหน่งของรองนายกรัฐมนตรีคนที่ 3 ของรัฐบาลและรัฐมนตรีต่างประเทศก็ดูเหมือนจะตกอยู่ในภาวะง่อนแง่นเช่นกัน

นายกเทศมนตรีของฮานอยและโฮจิมินห์ซิตี้ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของรัฐบาลและธุรกิจของประเทศ ต่างก็ตกอยู่ในความสับสนวุ่นวายเช่นกัน

ความไม่แน่นอนนั้นเกิดจากที่ตำแหน่งเลขาธิการพรรคนครโฮจิมินห์ได้เปลี่ยนมือมาแล้ว 3 ครั้งใน 2 ปี

ในขณะที่เศรษฐกิจของเวียดนามก็อยู่ในช่วงขาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ผลผลิตมวลรวมทางเศรษฐกิจของเวียดนามเติบโตอย่างเป็นทางการในอัตรา 8% ในปีที่แล้ว

เป็นอัตราโตที่น่าจะสูงที่สุดในเอเชีย

เพราะเวียดนามได้รับประโยชน์จากการเคลื่อนไหวของบริษัทข้ามชาติในการกระจายห่วงโซ่อุปทานที่มีจีนเป็นศูนย์กลางก่อนหน้านี้

อีกปัจจัยหนึ่งคือ การขาดความมั่นคงทางการเมืองในกลุ่มประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค ซึ่งรวมถึงไทย มาเลเซีย และเมียนมา

ก็ด้วยระบบการปกครองแบบพรรคเดียวรวมศูนย์ของเวียดนามนี่แหละที่ทำให้เวียดนามสามารถดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ

แต่พอเกิดเรื่องร้อนแรงในกรณีการปลดนักการเมืองระดับสูงเช่นนี้ก็ย่อมทำให้เกิดคำถามว่า สิ่งที่เรียกว่า “เสถียรภาพ” ทางการเมืองที่ผ่านมานั้นเป็นเพียงภาพลวงหรือของจริง

ความจริง ประธานาธิบดีที่เพิ่งลาออกคนนี้ได้เป็นคนกำกับดูแลรัฐบาลในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจเติบโตอย่างรวดเร็วตั้งแต่ปี 2559

รองนายกฯ 2 คนที่เพิ่งถูกปลดก่อนหน้านี้เพราะเรื่องอื้อฉาว ก็ได้ชื่อว่าเป็นมือบริหารที่มีฝีมือ

รองนายกรัฐมนตรี Pham Binh Minh และ Vu Duc Dam เคยได้รับการชื่นชมว่าเป็นผู้บริหารที่มีความสามารถ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการรับมือโควิด-19 ของเวียดนาม

มีการกล่าวอ้างด้วยว่า นาย Pham Binh Minh คนนี้ในฐานะอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ ได้ใช้ประโยชน์จากสายสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ เพื่อให้แน่ใจว่าเวียดนามได้รับวัคซีนป้องกันไวรัสโคโรนา 40 ล้านโดส

และก็ยังเจรจาจนได้ใบอนุญาตในการผลิตเพิ่มเติมโดยใช้เทคโนโลยี mRNA แม้ว่าท้ายที่สุดจะยังไม่ได้ดำเนินการก็ตาม

เหงียน ซวน ฟุก ถูกมองว่าเป็น 1 ใน 2 ผู้สมัครรับตำแหน่งที่จะรับตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์แทน เหงียน ฟู้ จ่อง

แต่นักวิเคราะห์บอกว่า เหงียน ฟู้ จ่อง มองเขาด้วยความระแวงสงสัย

เพราะท่าทีที่สนับสนุนตะวันตกและนโยบายนิยมปฏิบัติ

อีกทั้งยังมีเสียงกระซิบกระซาบว่า ครอบครัวของเขาที่มีส่วนได้ส่วนเสียมากมายในองค์กรหลายแห่ง

รองนายกฯ ดัมและมินห์ ถูกรัฐบาลให้ต้องรับผิดชอบต่อเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับการทุจริตที่โยงกับโควิด

หนึ่งในเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับเที่ยวบิน  400 เที่ยวบิน ที่รัฐบาลจัดเตรียมเพื่อนำชาวเวียดนามกลับบ้านในช่วงโควิด

มีรายงานว่า เจ้าหน้าที่ที่ทุจริตได้รับเงินสินบนประมาณ 49,000 ดอลลาร์ สำหรับการปฏิบัติตามลำดับความสำคัญสำหรับแต่ละเที่ยวบิน

พอสอบสวนเข้าจริงๆ ก็มีการโยงไปถึงนักการทูตและเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ อีก 41 คน

ล้วนถูกตั้งข้อหารับสินบนและใช้ตำแหน่งเกินอำนาจหน้าที่

บางคนถูกปลดออกจากการเป็นสมาชิกพรรค

อีกเรื่องเน่าๆ เกี่ยวข้องกับชุดตรวจหาโควิดที่วางตลาดทั่วประเทศในราคาที่สูงเกินจริง ภายใต้การควบคุมของกระทรวงสาธารณสุข

มีการกล่าวว่า สินบนมูลค่า 34 ล้านดอลลาร์ ได้เปลี่ยนมือในคดีนี้

โดยมีการสอยสมาชิกคณะกรรมการกลาง 2 คน ซึ่งรวมถึงอดีตรัฐมนตรีสาธารณสุขด้วย

มีผู้ถูกตั้งข้อหาในคดีนี้มากกว่า 30 คน รวมไปถึงนายทหารระดับสูงด้วยเช่นกัน

ความจริง นับตั้งแต่การประชุมใหญ่ของพรรคครั้งล่าสุดในเดือนมกราคม 2564 รัฐบาลของนายกรัฐมนตรี Pham Minh Chinh ก็ถูกเขย่าด้วยข้อหาทุจริตและนโยบายชะงักงัน

การกวาดล้างอย่างต่อเนื่องนั้นทำให้นักลงทุนต่างชาติเริ่มรู้สึกหวั่นไหวเช่นกัน

 โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้ที่ตกเป็นเหยื่อชั้นนำถูกมองว่าเป็นผู้บริหารที่มีความสามารถและซื่อสัตย์

และในเมื่อเวียดนามต้องแข่งกับชาติเพื่อนบ้านอื่นในการพยายามดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ ประเทศนี้ก็อาจจะเริ่มสูญเสียภาพลักษณ์เดิมที่ว่าการปกครองแบบรวมศูนย์นั้นทำให้ทุกอย่างนิ่งและสงบ

ผู้กุมอำนาจทางการเมืองของเวียดนามคงต้องเร่ง “ซ่อมแซม” ระบบการปกครองเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนคนเวียดนามเอง

และต้องรักษาภาพลักษณ์ของความเป็นชาติที่มั่นคง, มีเสถียรภาพและน่าลงทุนอย่างสุดฤทธิ์.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

บทเรียนสีหนุวิลล์สำหรับไทย

ความสัมพันธ์อันใกล้ชิดของจีนกับกัมพูชามาในหลายรูปแบบ...และหนึ่งในนั้นคือการสร้างสีหนุวิลล์เป็นศูนย์กลางด้านความบันเทิง หรือที่เรียกว่า Entertainment Complex

อิหร่าน-อิสราเอล: ทุกฉากทัศน์ล้วนเสี่ยงสูง

คณะรัฐมนตรีสงครามหรือ War Cabinet ของอิสราเอลประชุมกันเคร่งเครียดมาหลายรอบ...สรุปได้เพียงว่าจะต้องตอบโต้อิหร่านแน่...แต่ไม่ระบุว่าเมื่อไหร่และด้วยยุทธการแบบใด

สิงคโปร์ผลัดใบการเมืองครั้งสำคัญ ‘หลี่’ (72) ส่งไม้ต่อ ‘หว่อง’ (52)

นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของสิงคโปร์ Lawrence Wong ที่จะรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการวันที่ 15 พฤษภาคมนี้ต้องถือว่ามาจากครอบครัวชนชั้นทำงานจริง ๆ

“เซฟโซน” ฝั่งเมียวดีอาจจะเป็น ก้าวเล็กๆ ของกระบวนการเจรจา?

ความเคลื่อนไหวตรงข้ามชายแดนไทยฝั่งพม่ามีการปรับเปลี่ยนตลอดเวลา และความไม่แน่นอนนี้เองที่ทำให้รัฐบาลไทยต้องให้ความสำคัญกับการสร้างกลไกติดตามอย่างมีประสิทธิภาพ

ไบเดนควงคิชิดะ มาร์กอสประกาศสกัดการขยายอิทธิพลจีน!

ผมเห็นนายกฯฟูมิโอะ คิชิดะของญี่ปุ่นปราศรัยต่อสภาคองเกรสสหรัฐฯเป็นภาษาอังกฤษปลายสัปดาห์ที่ผ่านมากล่าวหาจีนว่าเป็น “ภัยคุกคามต่อภูมิภาคนี้อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน” แล้วก็พอจะรู้ว่าความตึงเครียดจะต้องถูกยกระดับขึ้นมาอย่างแน่นอน

ปูติน-คิม: ยิ่งโลกยุ่ง สองสหายยิ่งแน่นแฟ้น

ยิ่งนับวันเกาหลีเหนือก็ยิ่งขยับใกล้รัสเซียมากขึ้น...หลักฐานอาวุธจากเปียงยางไปปรากฏในสมรภูมิยูเครนตอกย้ำว่า “คิม จองอึน” กับ “วลาดิมีร์ ปูติน” กำลังสานสัมพันธ์ใกล้ชิดมากขึ้นทุกวัน