เมื่อ ส.ส. มะกัน ‘บี้’ ซีอีโอ TikTok: สาระหรือหิวแสง?

ผมติดตามการ “ซักฟอก” นายโจว ซื่อ ชิว (Shou Zi Chew)   ซีอีโอของ TikTok โดย ส.ส. มะกันเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาด้วยความด้วยความสนใจ

เป็นความสนใจว่านักการเมืองสหรัฐฯจะ “บี้” นักธุรกิจวัย 40 ชาวสิงคโปร์คนนี้หาญกล้าเข้า “ถ้ำเสือ” ได้อย่างไร

อีกทั้งคำถามของนักการเมืองสหรัฐฯนั้นแหลมคมเพียงใด

ผมสรุปได้ว่าบรรดา ส.ส. สหรัฐฯที่ปักหลักซักถามนายชิวนั้นส่วนใหญ่ไม่ได้ทำการบ้านอะไรมาก่อน

ที่ชัดเจนคือ ส.ส. ทั้งฝั่งเดโมแครตและรีพับบลิกันถือว่าจะต้องเหยียบ TikTok ให้แบนเพราะเป็น “กระแส”

แต่ไม่ได้มีความเข้าใจเรื่องการใช้ apps นี้อะไรมากมาย

ส่วนใหญ่ต้องการจะฟาดฟันจีนโดยใช้การซักถามครั้งนี้เป็นเครื่องมือเพื่อหาเสียงให้กับตนมากกว่า

นักวิเคราะห์บางคนที่ติดตามฟังการถามตอบกว่า 5 ชั่วโมงที่ดุเด็ดเผ็ดมันนั้นบอกว่ามีคำถามไร้สาระมากมาย

และนักการเมืองมะกันส่วนใหญ่ที่ตั้งคำถามนั้นล้วนแล้วแต่ “หิวแสง” ทั้งนั้น

คำว่า “หิวแสง” ผมแปลจากคำเดิมที่ฝรั่งเรียกว่า grandstanding ซึ่งหมายความถึงการแสดงออกที่ต้องการจะเรียกร้องความสนใจมากกว่าการที่จะสะท้อนถึงความรู้ของผู้ตั้งคำถาม

ซีอีโอของ TikTok คนนี้กลายเป็น “เหยื่ออันโอชะ” ของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ที่รุมซักถามเขา เมื่อวันพฤหัสบดีที่แล้ว

โดยส่วนใหญ่แสดงความกังวลด้านความมั่นคงแห่งชาติและเนื้อหาที่เป็นภัยต่อเยาวชน

ที่อเมริกา มีคนใช้ TikTok ประจำประมาณ 150 ล้านคน

รัฐบาลสหรัฐฯ, แคนนาดาและยุโรปตะวันตกกำลังจ้องจะแบนการใช้ TikTok เพราะเชื่อว่ามีการส่งข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้บริการให้กับรัฐบาลและพรรคคอมมิวนิสต์จีน

บริษัทแม่ ไบต์แดนซ์ (ByteDance) ถูกตั้งข้อแม้ให้ขายหุ้นทิ้งเสีย หรือไม่ก็อาจจะถูกแบนในประเทศตะวันตกหลายชาติ

พูดง่าย ๆ ก็คือ TikTok กำลังกลายเป็นประเด็นความขัดแย้งด้านการค้าและเทคโนโลยีระหว่างจีนกับอเมริกาอีกเรื่องหนึ่งที่ร้อนแรง

ไม่เพียงแต่ในแง่ของการแข่งขันแย่งตลาดเท่านั้น

แต่นักการเมือง, กองทัพและทำเนียบขาวต่างก็เชื่อว่าเจ้า apps นี้เป็นภัยต่อความมั่นคง, ศีลธรรมและเศรษฐกิจต่ออเมริกา

คำถามจากเหล่าบรรดา ส.ส. มะกันมีประเด็นตั้งแต่การควบคุมดูแลเนื้อหาในติ๊กต๊อกว่าละเมิดศีลธรรมและความถูกต้องอย่างไรหรือไม่

แต่มีการซักถามถึงแผนการเก็บรักษาข้อมูลผู้ใช้ในอเมริกาไม่ให้ถูกส่งไปให้กับรัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงของจีน

ตลอดจนข้อกล่าวหาว่ามีการสอดแนมผู้สื่อข่าวหลายคน

หนึ่งในแกนสำคัญของผู้ซักถามคือส.ส.แคธี แม็คมอร์ริส รอดเจอร์ส ประธานคณะคณะกรรมาธิการด้านพลังงานและการพาณิชย์ของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ จากพรรครีพับลิกัน

เธอแถลงว่า “ชาวอเมริกันต้องการทราบความจริงเกี่ยวกับภัยคุกคามของ TikTok ต่อความมั่นคงแห่งชาติและความปลอดภัยส่วนตัว”

เธออ้างว่า TikTok ตกอยู่ในกระบวนการควบคุม ตรวจสอบและจัดการ (โดยกลไกของบริษัท) มากขึ้นทุกที

นายชิว ซีอีโอ TikTok พยายามที่จะตอบแต่ก็ถูกสกัดด้วยการยืนยันจากผู้ถามว่า

“ไม่ต้องตอบยาว ขอให้บอกเพียง Yes หรือ No”

แม้ว่าหลายคำถามนั้นไม่อาจจะตอบเพียง “ใช่” หรือ “ไม่ใช่” เท่านั้น

เขายืนยันกับคณะกรรมาธิการฯ ว่า TikTok ให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อความปลอดภัยของผู้ใช้

และปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ว่าแอปฯ นี้ “ก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านความมั่นคงแห่งชาติ” ของสหรัฐฯหรือประเทศตะวันตก

นายชิวย้ำว่าทางบริษัทมีแผนปกป้องข้อมูลส่วนตัวของสมาชิกด้วยการนำข้อมูลนั้นไปเก็บไว้ที่เซิร์ฟเวอร์ที่มีบริษัทซอฟต์แวร์ออราเคิล (Oracle) เป็นเจ้าของและผู้ดูแล

อีกประโยคหนึ่งที่เขาพยายามจะเน้นคือ “Bytedance” ไม่ใช่ตัวแทนของรัฐบาลจีนหรือประเทศใด”

แต่ดูเหมือน ส.ส. มะกันส่วนใหญ่ไม่มีใครเชื่อ...และไม่ยอมเชื่อ...เพราะเป้าหมายคือการ “ขยี้” ฝ่ายบริหารของบริษัทจีนแห่งนี้

แต่ TikTok ก็ดิ้นสุดฤทธิ์เหมือนกัน

มีข่าวว่าทางบริษัทได้ส่งผู้ใช้ TikTok ที่มีชื่อเสียงหลายสิบคนไปยังรัฐสภาสหรัฐฯ เพื่อช่วยล็อบบี้ไม่ให้มีการแบนการใช้ apps นี้ในอเมริกา

คนที่นั่นสังเกตว่าในช่วงหลัง TikTok ออกรณรงค์โฆษณาทั่วกรุงวอชิงตันเพื่อย้ำถึงความปลอดภัยของข้อมูลและความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้

และยืนยันว่าการใช้ apps นี้ไม่ได้เป็นภัยต่อเยาวชน

ตลอดเวลาที่ผ่านมา Bytedance ถูกมองว่ามีความสนิทแนบชิดกับรัฐบาลปักกิ่ง

ทำให้เกิดข้อกังขาว่าข้อมูลของผู้ใช้ในอเมริกาอาจตกอยู่ในมือของรัฐบาลจีนได้

และ TikTok อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อของผู้นำจีนหรือแนวคิดของพรรคคอมมิวนิสต์จีนด้วยซ้ำไป

ไม่ว่าผู้ใช้บริการในอเมริกาหรือชาติอื่นจะตั้งใจให้เป็นเช่นนั้นหรือไม่ก็ตาม

การเชื่อมโยงความเป็นจีนของ Bytedance นั้นเริ่มตั้งแต่ ก่อตั้งขึ้นโดยนักธุรกิจจีนที่กรุงปักกิ่งเมื่อปี 2012

แต่พอธุรกิจประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วและขยายตลาดไปทั่วโลกจนมีคนใช้บริการเกือบ 1 พันล้าน ทางบริษัทจึงพยายามแสดงตนว่าไม่ได้มีความเกี่ยวโยงกับรัฐบาลจีนโดย

อ้างว่า 60% ของผู้ถือหุ้นเป็นสถาบันลงทุนระหว่างประเทศ

หนึ่งในกรรมาธิการที่ซักถามกล่าวหาว่า TikTok แสวงผลกำไรโดยไม่สนใจต่อปัญหาสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจของชาวอเมริกัน

ว่าแล้วก็แสดงวิดีโอชิ้นหนึ่งในติ๊กต๊อกที่สนับสนุนให้ผู้ใช้ทำร้ายผู้อื่นและฆ่าตัวตาย

ซีอีโอ TikTok บอกว่าบริษัทมีทีมงานดูแลเนื้อหาถึงประมาณ  40,000 คนที่มีหน้าที่คอยตรวจสอบเนื้อหาที่เป็นภัย และยังมีระบบ Algorithm ที่คอยตรวจสอบเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม

คำถามต่อมาก็คือว่าถ้ารัฐบาลสหรัฐฯจะแบน TikTok จริง จะมีวิธีทำอย่างไร

ทางหนึ่งก็อาจจะบังคับให้ Apple และ Google ถอดแอปฯ TikTok ออกจากแอปสโตร์

อีกทางหนึ่งคือบล็อกการเข้าถึงเครือข่ายโครงสร้างพื้นฐานและข้อมูลของ TikTok

หรือไม่ก็อาจยึดโดเมนเนม

อีกวิธีหนึ่งคือบังคับให้บริษัทผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต เช่น Comcast และ Verizon เป็นผู้กรองหรือสกัดข้อมูลของ TikTok

แต่คนในวงการก็บอกว่ามีวิธีเลี่ยงอยู่ดี

นั่นคือการใช้เทคโนโลยี VPN (Virtual Private

Network) ที่ทำให้ดูเหมือนว่าผู้ใช้คนนั้นอยู่ในประเทศอื่น

ทำให้รอดจากการไม่ถูกปิดกั้นการใช้ apps

ที่เริ่มมาแล้วก็คือบางประเทศ (รวมถึงสหรัฐฯลนิวซีแลนด์)

สั่งห้ามติดตั้ง apps TikTok ในอุปกรณ์สื่อสารของหน่วยงานรัฐบาลและกองทัพ

แต่นั่นก็คือการสั่งการเฉพาะกลุ่มที่รัฐบาลมีอำนาจสั่งเท่านั้น

ยังไม่อาจจะใช้กับประชาชนทั่วไปได้

มีคนกังวลว่าจีนอาจใช้มาตรการตอบโต้ได้เหมือนกัน

Microsoft, Tesla, Apple และธุรกิจมะกันอื่น ๆ ที่เข้าไปลงทุนในจีนอาจตกเป็นเป้าของการแก้แค้นของทางการจีนก็ได้

พรุ่งนี้จะเล่าให้ฟังว่าหนุ่มสิงคโปร์ที่เป็นซีอีโอ TikTok และกล้ามาเผชิญหน้ากับเสือสิงห์การเมืองของสหรัฐฯนั้นมีที่มาที่ไปอย่างไร.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เชื่อไหม:อิสราเอลกับ อิหร่านเคยรักกัน?

อิสราเอลกับอิหร่านเปิดศึกสงครามที่สร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วโลกวันนี้ มีคำถามว่าทั้ง 2 ชาตินี้กลายเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันอย่างรุนแรงเช่นนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่ และมีเหตุผลแห่งความบาดหมางกันอย่างไร

จีน-อินเดีย: 'สันติภาพร้อน' ที่ทำให้ร่วมแก้วิกฤตพม่าไม่ได้

วิกฤตพม่าทำให้ผมคิดถึงความความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับอินเดียวันนี้ เพราะหากสองยักษ์แห่งเอเชียทำงานร่วมกัน ไทยก็อาจจะเป็นมือประสานให้เกิดกระบวนการเจรจาในพม่าได้

บทเรียนสีหนุวิลล์สำหรับไทย

ความสัมพันธ์อันใกล้ชิดของจีนกับกัมพูชามาในหลายรูปแบบ...และหนึ่งในนั้นคือการสร้างสีหนุวิลล์เป็นศูนย์กลางด้านความบันเทิง หรือที่เรียกว่า Entertainment Complex

อิหร่าน-อิสราเอล: ทุกฉากทัศน์ล้วนเสี่ยงสูง

คณะรัฐมนตรีสงครามหรือ War Cabinet ของอิสราเอลประชุมกันเคร่งเครียดมาหลายรอบ...สรุปได้เพียงว่าจะต้องตอบโต้อิหร่านแน่...แต่ไม่ระบุว่าเมื่อไหร่และด้วยยุทธการแบบใด