ความพยายามจะเรียกร้อง กดดัน โน้มน้าวผู้นำทหารเมียนมาให้ยอมทำตาม “ฉันทามติ 5 ข้อของอาเซียน” ดูเหมือนจะเป็นภารกิจที่หนักหน่วงและท้าทายยิ่งนัก
เพราะพลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ทำ “หูทวนลม” มาตลอด
ใครไปเยี่ยมไปเยือนแทนที่จะมีความหวังว่าจะมีความคืบหน้าในการทำให้ “สงครามกลางเมือง” ของเมียนมาลดความรุนแรงลงบ้านเพื่อนำไปสู่สันติภาพ ก็จะต้องยอมรับว่าต้องพกเอาความผิดหวังกลับบ้าน
แต่ทำไมมิน อ่อง หล่าย ยังต้อนรับขับสู้ผู้มาเยือนอย่างเป็นทางการ?
เพราะมันเป็นโอกาสของการสร้างภาพว่าใครต่อใครยังต้องติดต่อไปมาหาสู่กับเขา
โดยที่เขาไม่ต้องยอมอ่อนข้อต่อข้อเรียกร้องให้เลิกปราบปรามประชาชนผู้เห็นต่างกับตนเองเลยแม้แต่น้อย
ล่าสุด อดีตเลขาธิการสหประชาชาติ บัน กีมูน ก็บินลงไปเนปยีดอเพื่อแสดงความตั้งใจที่จะเกลี้ยกล่อมผู้นำทหารให้ยอมฟังเสียงจากประชาคมโลกบ้าง
แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะได้ผลอะไรในทางรูปธรรมเท่าไหร่นัก
กลับกลายเป็นว่าทำให้ มิน อ่อง หล่าย ถือโอกาสนี้ออกข่าวในสื่อทางการของตนอย่างเป็นเรื่องเป็นราว
เพราะมันทำให้เขาดูดี ผู้นำโลกบางคนยังต้องการมาเจอเขา และเขาก็ยังสามารถยืนกรานแบบกระต่ายขาเดียวได้โดยที่ไม่มีใครทำอะไรเขาได้
ทั้งๆ ที่ผู้นำอาเซียนส่วนใหญ่ (ไม่ทั้งหมด) ได้แสดงท่าทีรังเกียจเดียดฉันท์เขาด้วยการไม่เชิญมาร่วมประชุมสุดยอดทั้งในระดับผู้นำและรัฐมนตรี
แปลว่าในอาเซียนเอง เขากำลังถูกโดดเดี่ยว แต่ความพยายามจากวงการนานาชาติบางแห่งก็ยังอยากจะขับเคลื่อนเผื่อจะได้มีแสงสว่างที่ปลายถ้ำบ้าง
แม้ว่าขณะที่บัน กีมูน มาเยือนนั้น กองทัพเมียนมาก็ยังเดินหน้าปราบปรามกลุ่มต่อต้านด้วยอาวุธร้ายแรงต่อเนื่องอย่างไม่ลดละ
บัน กีมูน ไปถึงก็คงหวังว่านอกจากเจอมิน อ่อง หล่าย แล้วก็ควรจะได้พบกับอองซาน ซูจี ซึ่งต้องถือว่าเป็นตัวละครสำคัญของการที่จะสร้างความปรองดองและสมานฉันท์แห่งชาติได้
แต่มิน อ่อง หล่าย ก็ไม่ยอมให้เขาเจออองซาน ซูจี
ซึ่งก็อาจจะอ้างเหตุผลเดิมๆ ว่าเธอเป็นผู้ถูกศาลตัดสินมีความผิดจำคุกแล้ว
และตามกฎหมายไม่มีใครสามารถติดต่อเธอได้
เป็นข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้นเลย หากผู้นำทหารต้องการจะสร้างบรรยากาศแห่งความสมานฉันท์จริงๆ
เพราะถ้าไม่ให้อองซาน ซูจี มีบทบาทในการแสวงทางออกร่วมกัน การเผชิญหน้าระหว่างฝ่ายประชาธิปไตยที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนอย่างท่วมท้น กับอำนาจเผด็จการของกองทัพก็จะไม่มีวันผ่อนเบาลงได้
บัน กีมูน ทำได้ก็แค่ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ทหารเมียนมายุติความรุนแรงในประเทศที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง และร่วมมือกับฝ่ายตรงข้ามเพื่อยุติวิกฤตนองเลือด
ความพยายามทางการทูตในการแก้ไขวิกฤตไม่ได้คืบหน้าไปถึงไหน เพราะรัฐบาลทหารเพิกเฉยต่อคำวิจารณ์ของนานาชาติว่าด้วยการปราบปรามฝ่ายตรงกันข้ามอย่างโหดเหี้ยม และปฏิเสธที่จะมีส่วนร่วมในการเจรจาใดๆ กับฝ่ายอื่นที่ไม่ใช่กองทัพ
บันพูดในแถลงการณ์ว่า รัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (NUG) ซึ่งเป็นรัฐบาลเงาที่ประกอบด้วยฝ่ายนิติบัญญัติจากพรรค NLD ของอองซาน ซูจี ซึ่งกำลังดำเนินการทั้งด้านการเมืองและการทหารยกเลิกผลพวงจากรัฐประหาร จะต้องเป็นส่วนหนึ่งของ "ทางออกที่ยั่งยืน"
คำว่า “ทางออกที่ยั่งยืน” ของบัน กีมูน หมายถึงการที่จะไม่หวนกลับมาฟาดฟันทำลายล้างกันด้วยอาวุธอีก
แต่ถึงวันนี้ ความหวังนั้นยังห่างไกลจากความเป็นจริงมากมายนัก
กองทัพยังต่อต้านข้อเสนอใดๆ ที่จะให้เจรจากับฝ่ายที่ไม่ใช่พวกตน
เพราะในภาษาทางการแล้ว NUG ถูกรัฐบาลทหารระบุเป็นองค์กร "ก่อการร้าย"
ซึ่งแปลว่าการกระทำใดๆ ที่โยงกับกลุ่มต่อต้านล้วนแต่เป็นเรื่องผิดกฎหมายความมั่นคงที่มีบทลงโทษหนักๆ ทั้งสิ้น
ตลอดเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่เกิดรัฐประหารเมื่อ 2 ปีก่อน กลุ่มสิทธิมนุษยชนได้กล่าวหาว่ารัฐบาลทหารสังหารหมู่ เผาหมู่บ้าน และใช้การโจมตีทางอากาศและปืนใหญ่เพื่อลงโทษชุมชนที่ต้องสงสัยว่าเป็นที่พักของฝ่ายตรงข้าม
การโจมตีทางอากาศของทหารในภูมิภาคสะกาย ซึ่งเป็นพื้นที่ของกลุ่มต่อต้านเมื่อเร็วๆ นี้ ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 170 คน และบาดเจ็บหลายร้อยคน
รัฐบาลทหารอ้างความชอบธรรมในการยึดอำนาจ ด้วยข้อกล่าวหาเรื่องการฉ้อฉลที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ในปี 2563 อันเป็นปีที่พรรคของอองซาน ซูจี ได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้น
และแม้สัญญาว่าจะจัดการเลือกตั้งใหม่ แต่ฝ่ายทหารก็ออกกฎกติกาใหม่ที่จงใจปิดหนทางการแข่งขันของพรรคที่ไม่ใช่พวกตน
“การจัดการเลือกตั้งภายใต้เงื่อนไขปัจจุบันเสี่ยงต่อความรุนแรงและความแตกแยก และผลที่ประชาชนชาวเมียนมาไม่ยอมรับ” บันกล่าว
ในถ้อยแถลงนั้นมีการระบุว่า บันขอพบอองซาน ซูจี ซึ่งขณะนี้ต้องรับโทษจำคุก 33 ปี ภายหลังการพิจารณาคดีแบบปิดประตูหลายครั้งที่กลุ่มสิทธิฯ ระบุว่าเป็นเรื่องจงใจปิดกั้นเพื่อใช้อำนาจกองทัพกลั่นแกล้งผู้นำฝ่ายต่อต้าน
การเยือนของนายบันได้ขึ้นหน้าหนึ่งของ Global New Light of Myanmar อันเป็นกระบอกเสียงของกองทัพ
ข่าวและภาพที่ปรากฏนั้นมีแต่ภาพที่เป็นไปทางบวกสำหรับผู้นำทหาร
แต่ไม่เอ่ยถึงข้อเรียกร้องของบัน กีมูน เรื่องให้มีการเจรจาและยุติความรุนแรงเลย
ข่าวในสื่อทางการเมียนมาบอกว่า บัน กีมูน หัวหน้ารัฐบาลทหาร มิน อ่อง หล่าย ได้ "แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับความคืบหน้าล่าสุดของเมียนมา และหารืออย่างจริงใจด้วยท่าทีที่สร้างสรรค์"
มีแค่นั้นจริงๆ ไม่ได้ระบุว่าการที่อดีตเลขาฯ สหประชาชาติมาเยี่ยมนั้น มีภารกิจเรื่องให้รัฐบาลทหารเลิกวิธีการที่ละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของชาวเมียนมา
บัน กีมูน แจ้งว่าการไปเยือนเมียนมาครั้งนี้ในฐานะสมาชิกกลุ่มผู้นำโลก "The Elders" (ผู้อาวุโส) ที่ก่อตั้งโดยเนลสัน แมนเดลา อดีตผู้นำเรียกร้องประชาธิปไตยของแอฟริกาใต้
เป็นองค์กรเอกชนที่ทำงานเพื่อส่งเสริมสันติภาพและคลี่คลายความขัดแย้งระดับโลก
ในคำแถลงเป็นทางการนั้น บัน กีมูน บอกว่าได้พบผู้นำทหารในเมียนมาและเรียกร้องให้ยุติความรุนแรงโดยทันที และดำเนินการตามฉันทามติ 5 ประการของอาเซียน
และย้ำว่า เขาได้พบกับผู้นำทางทหารและอดีตประธานาธิบดีเต็ง เส่ง เพื่อหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ และเน้นย้ำถึงความสำคัญของทุกฝ่ายที่มีบทบาทในการแก้ปัญหาที่ยั่งยืน รวมถึงรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (NUG)
“ผมมาเมียนมาเพื่อเรียกร้องให้กองทัพยอมรับการยุติความรุนแรงโดยทันที และเริ่มการเจรจาที่สร้างสรรค์ระหว่างทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง” บัน กีมูน กล่าว
“การประชุมเป็นไปเพื่อแสวงหาทางออกร่วมกัน ผมจะใช้ทุกวิถีทางเพื่อช่วยให้ชาวเมียนมาได้รับความสงบสุข ความเจริญรุ่งเรือง และเสรีภาพที่พวกเขาสมควรได้รับ”
แถลงการณ์บอกว่า การไปเยือนครั้งนี้เป็นไปตามคำเชิญของทหารเมียนมา
ในการประชุมที่กรุงเนปยีดอ บัน กีมูน เน้นย้ำถึงความเร่งด่วนของการดำเนินการตามฉันทามติ 5 ประเด็นของสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน)
และมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติหมายเลข 2669 เมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว
เขาสนับสนุนการเรียกร้องของประชาคมระหว่างประเทศ ให้ทหารเมียนมาปล่อยตัวนักโทษที่ถูกคุมขังโดยพลการทั้งหมดทันที เพื่อการเจรจาที่สร้างสรรค์และเพื่อการยับยั้งอย่างสูงสุดจากทุกฝ่าย
บัน กีมูน กล่าวย้ำถึงการประณามจากนานาชาติอย่างรุนแรงต่อการโจมตีทางอากาศของทหารในภูมิภาคสะกาย ซึ่งคาดว่าจะคร่าชีวิตพลเรือนไปแล้วกว่า 160 คน รวมทั้งผู้หญิงและเด็ก
เขาเตือนว่า การเลือกตั้งจะต้องจัดขึ้นเมื่อมีเงื่อนไขเท่านั้นจึงจะเป็นอิสระและยุติธรรม
และการจัดการเลือกตั้งภายใต้เงื่อนไขปัจจุบัน มีความเสี่ยงต่อความรุนแรงและการแตกแยก และผลที่ออกมาจะไม่ได้รับการยอมรับจากประชาชนชาวเมียนมา อาเซียน และประชาคมระหว่างประเทศในวงกว้าง
แต่ผมประเมินจากผลที่ตามมาหลังสัปดาห์ที่แล้ว ยังไม่มีสัญญาณใดๆ ว่ามิน อ่อง หล่าย จะยอมฟังเหตุผลที่แย้งกับความต้องการกุมอำนาจรัฐเบ็ดเสร็จของตนเลยแม้แต่น้อย.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
แชร์สนั่นโซเชียล ลุกโชนเป็นไฟลามทุ่ง! ‘อนุทิน’ บุกเพจ ‘สุทธิชัย’ แจงกรณีคุยกับ ‘ทรัมป์’
ภายหลัง เพจ Suthichai Yoon โพสต์ข้อความว่า‘ทรัมป์‘ ให้สัมภาษณ์ Wall Street Journal ว่าเขาได้ใช้ tariff กดดันให้ไทยกับกัมพูชายุติการสู้รบ!
มีแม้วไม่มีเรา! วัดใจจุดยืน 'พรรคส้ม' หลังทักษิณขีดเส้นแบ่งข้างทุกเวทีแล้ว
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า "พรรคส้มกล้าไหม? มีแม้วไม่มีเรา!
ประเทศเดียวในโลก ‘นายกฯทับซ้อน’ มหันตภัยปี 2568
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่าสำนักวิจัยต่าง ๆ กำลังวิเคราะห์เพื่อพยากรณ์ว่าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายสาหัสอะไรบ้างใน
‘หยุ่น’ ฟันเปรี้ยงรอดยาก! ชั้น 14 ดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุด
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า เรื่องชั้น 14 จะดิ้นอย่างไรก็หลุดยาก จึงเห็นการเฉไฉ, ตีหน้าตาย
บิ๊กเซอร์ไพรส์ 'สุทธิชัย หยุ่น' เล่นซีรีส์ 'The White Lotus ซีซั่น 3'
เรียกว่าสร้างความเซอร์ไพรส์อย่างต่อเนื่อง สำหรับซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 ซึ่งจะสตรีมผ่าน Max ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2025 เพราะนอกจากจะมี ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล หรือ ลิซ่า BLACKPINK ไอดอลเกาหลีสัญชาติไทย ที่กระโดดลงมาชิมลางงานแสดงเป็นครั้งแรก ในบทของ มุก สาวพนักงานโรงแรม
ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน
นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ


