ข่าวล่าสุดบอกว่าจีนกำลังพยายามจะปิดเกมการเจรจาร่างกฎกติกามารยาทกับอาเซียนว่าด้วยทะเลจีนใต้
หากทำได้ยิ่งเร็วก็ยิ่งดี เพราะเรื่องนี้คาราคาซังมาหลายปีดีดักและเป็นหนึ่งใน “หนาม” ของความสัมพันธ์ระหว่างปักกิ่งกับหลายประเทศที่มีข้อพิพาทกรณีอ้างสิทธิ์เหนือเกาะแก่งในทะเลที่มีความสำคัญทางภูมิรัฐศาสตร์อย่างมากในย่านนี้
เพราะทะเลจีนใต้กำลังจะกลายเป็นอีกแหล่งของการเผชิญหน้าระหว่างสองมหาอำนาจคือจีนกับสหรัฐฯ
ข่าวที่ว่านี้แจ้งว่าอาเซียนกับปักกิ่งเห็นพ้องต้องกันในการดำเนินขั้นตอนต่อไปในการสรุปร่างที่เรียกว่า Code of Conduct ที่ล่าช้ามายาวนาน
จึงทำให้ยังไม่มีคู่มือสำหรับกำกับและควบคุมพฤติกรรมของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในกิจกรรมที่เกิดขึ้นในน่านน้ำที่เป็นกรณีพิพาท
ซึ่งกลายเป็นจุดอ่อนไหวในความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับอาเซียนในภาพรวม
ว่ากันว่า ทั้งสองฝ่ายตกลงกันว่าการพิจารณาทบทวนร่างข้อตกลงนี้จะพยายามทำให้เสร็จสิ้น 'ภายในสิ้นปีนี้
หลังจากการประชุม “อย่างเป็นทางการ” ครั้งแรกของฝ่ายเจรจาตั้งแต่ปี 2564
บางประเทศรอไม่ได้
เราจึงเห็นข่าวที่ทับซ้อนเข้ามาในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาว่าฟิลิปปินส์และเวียดนามจะทำข้อตกลงแยกกันเพื่อในประเด็นนี้เพื่อแสดงจุดยืนที่ชัดเจนกับจีนในเรื่องนี้
เพราะในช่วงหลัง สองประเทศนี้มีเหตุพิพาทกับจีนถี่ขึ้นในทะเลจีนใต้
ถึงขั้นที่บอกว่าจะไม่รอให้ Code of Conduct หรือ CoC ระหว่างจีนกับอาเซียนเสร็จก่อน
เพราะสถานการณ์บีบบังคับให้ต้องหาหนทางที่จะเร่งให้มีกฎกติกามารยาทที่เป็นสาระสำคัญเร็วกว่าที่เห็นอยู่
จะเรียก CoC นี้ว่า “หลักปฏิบัติ” ก็ได้ หรือจะเรียก “คู่มือ” สำหรับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าที่อาจจะนำไปสู่การยกระดับของความขัดแย้ง
เพราะหวั่นกันว่าหากไม่มีมาตรการที่เหมาะสม วันดีคืนดีก็อาจจะเกิดการปะทะกันด้วยกำลังในน่านนี้ย่านนี้
ซึ่งก็จะเพิ่มความเสี่ยงในอันที่จะนำไปสู่สงครามได้เช่นกัน
กระทรวงต่างประเทศเพิ่งให้ความมั่นใจว่าการพิจารณาร่างข้อตกลงอย่างเป็นทางการครั้งที่สองจะจบในปีนี้
ต่อจากครั้งแรกที่ตกลงกันเมื่อเดือนมิถุนายน 2564
เท่ากับทอดเวลามาเกือบสองปี
ความจริง หากตกลงกันได้เอกสารที่ว่านี้จะผลผูกพันตามกฎหมาย
แล้วหากเป็นไปตามแผนเดิมก็ควรจะมีผลบังคับใช้เมื่อปีที่แล้วโดยมีเป้าหมายคือการช่วยกำกับดูแลพฤติกรรมทางทะเล
ที่มีการเร่งรัดครั้งใหม่ก็มาจากฉันทามติให้ “เร่งการปรึกษาหารือและสรุปร่างครั้งที่สองให้เสร็จสิ้นภายในปีนี้” ณ ที่ประชุมที่เมืองฮาลองของเวียดนาม
อันเป็นการประชุมครั้งที่ 20 ของเจ้าหน้าที่อาวุโสจากจีนและสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หลังจากการเจรจาซึ่งเริ่มเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
ที่น่าสนใจคือหนึ่งวันก่อนหน้านั้น กระทรวงการต่างประเทศของฟิลิปปินส์ออกข่าวว่ามะนิลาและฮานอยได้ตกลงในการประชุมแยกต่างหากเพื่อให้ข้อสรุปของคู่มือปฏิบัตินี้เพื่อจับเอาใจความสาระหลักมาพิจารณาเสียก่อน
สะท้อนถึงความกังวลของสองประเทศนี้ต่อการมีกรณีขัดแย้งที่เกิดขึ้นจริงบ่อยขึ้นในช่วงหลังนี้
โดยทั้งสองประเทศยืนยีนว่าจะกระชับความร่วมมือในประเด็นทางทะเล
อีกทั้งยังแสดงความกังวลอย่างจริงจังต่อ “กิจกรรมฝ่ายเดียวที่บ่อนทำลายสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค”
“กิจกรรมฝ่ายเดียว” ที่ว่านี้จะเป็นใครไม่ได้นอกจากจะหมายถึงปักกิ่ง
เป็นที่รู้กันว่าจีนอ้างสิทธิ์ในทะเลจีนใต้น่านน้ำส่วนใหญ่
และได้เพิ่มกิจกรรมที่ร้อนแรงขึ้นตามลำดับในการเข้ายึดพื้นที่ในบริเวณที่เป็นข้อพิพาทด้วยการสร้างหรือขยายฐานทัพทหารและเพิ่มความเข้มข้นในการบังคับใช้กฎหมายในบริเวณที่เป็นปัญหาอยู่
ไม่เพียงแต่ฟิลิปปินส์และเวียดนามเท่านั้นที่มีปัญหากับจีน
ยังมีสมาชิกอาเซียนอย่างมาเลเซียและบรูไนที่ก็อ้างสิทธิ์ทับซ้อนเช่นกัน
อีกทั้งยังมีรายงานการขัดแย้งกันและกระทบกระทั่งเลยไปถึงการปะทะกันในประเด็นเรื่องสิทธิการประมง ตลอดจนการพัฒนาน้ำมันและก๊าซในย่านนั้นด้วย
แต่ความขัดแย้งไม่ได้จำกัดเฉพาะระหว่างจีนกับประเทศในอาเซียนเท่านั้น
แต่ยังขยายออกไปถึงขั้นการเผชิญหน้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนด้วย
สหรัฐฯ อ้างว่าทะเลจีนใต้เป็นทางผ่านของการค้าโลกถึงร้อยละ 30 และมีความสำคัญต่อยุทธศาสตร์อินโดแปซิฟิก
กองทัพเรือสหรัฐฯ ดำเนินการปฏิบัติการ "เสรีภาพในการเดินเรือ" เป็นประจำใกล้กับเกาะและแนวปะการังในน่านน้ำที่ควบคุมโดยจีน
ตลอดจนมีการจัดให้มีการฝึกซ้อมทางเรือ ทั้งโดยลำพังและร่วมกับพันธมิตรในระดับที่เพิ่มมากขึ้น
ไม่เพียงแต่เท่านั้น วอชิงตันยังดึงเอาพันธมิตรอย่างญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และสมาชิกของนาโต้เข้ามาในภูมิภาคด้วย
จีนโต้ว่านี่คือความพยายามของตะวันตกที่จะสร้าง “นาโต้แห่งเอเชีย” มาสกัดจีน
ที่เป็นประเด็นทับซ้อนอยู่ก็คือสหรัฐฯ ยังได้กระชับความสัมพันธ์ทางทหารกับฟิลิปปินส์อีกด้วย
พันธมิตรทั้งสองเพิ่งจัดการซ้อมรบร่วมทางเรือครั้งใหญ่ที่สุดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
และรัฐบาลสหรัฐฯของโจ ไบเดนเพิ่งบรรลุข้อตกลงกับประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ของฟิลิปปินส์เพื่อเข้าไปใช้ฐานทัพในฟิลิปปินส์เพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อย 4 แห่ง
แม้ว่ามาร์กอสจะย้ำว่าฐานทัพสหรัฐฯ ในฟิลิปปินส์ไม่ใช่สำหรับ 'การกระทำที่ไม่เหมาะสม' แต่ปักกิ่งก็ไม่เชื่อ
เพราะมีความเชื่อว่าความเคลื่อนไหวล่าสุดของอเมริกาในฟิลิปปินส์คงหนีไม่พ้นที่จะโยงกับความตึงเครียดระหว่างปักกิ่งกับไต้หวันที่กำลังคุกรุ่นอยู่
จีนยืนยันมาตลอดว่าประเทศแถบนี้ควรกีดกัน “อำนาจภายนอก” ไม่ให้มายุ่มย่ามเรื่องของภูมิภาคนี้
ในระหว่างที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ หวัง อี้ นักการทูตระดับสูงของจีนกล่าวว่า จีนและอาเซียนควร “ดำเนินการต่อไปเพื่อให้ความคิดริเริ่มและความเป็นเจ้าของปัญหาทะเลจีนใต้อยู่ในมือของประเทศในภูมิภาคด้วยกันเอง”
เห็นได้ชัดว่าทะเลจีนใต้กำลังกลายเป็น “จุดพร้อมปะทุ” ระหว่างมหาอำนาจ...และระหว่างจีนกับประเทศในแถบนี้หากไม่สามารถหาทางตกลงว่าด้วย “หลักปฏิบัติ” ได้อย่างจริงจัง.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
AI: ‘จุดจบของมวลมนุษยชาติ’?
ปกสีแดงฉานพร้อมตัวอักษร AI เป็นแสงขาวโพลนเพื่อตอกย้ำว่า AI อาจกำลังทำลายมนุษยชาตินั้นดึงดูดความสนใจของผู้คนได้ไม่น้อย
ประท้วงสหรัฐฯที่ไทย ประท้วงจีนที่เมียนมา
สองภาพนี้สะท้อนถึงความรู้สึกที่ต่างกันระหว่างคนไทยกับคนเมียนมาต่อสองมหาอำนาจ
ความขัดแย้งมหาอำนาจวันนี้ หนักกว่าช่วง ‘สงครามเย็น’
ที่ผมเกาะติดข่าวคราวของความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับจีนเป็นพิเศษ นั่นเพราะความตึงเครียดในความสัมพันธ์ของสองมหาอำนาจนั้นจะมีผลกระทบต่อไทยในเกือบทุกๆ มิติที่เราไม่อาจจะมองข้ามได้
เบื้องหลังมังกรจีนบอกปัด เสวนากับอินทรียักษ์
ผมให้ดูรูปนี้เพื่อให้เห็นบรรยากาศ “ความเย็นชา” ที่จีนจงใจจะแสดงต่อสหรัฐฯ ในภาพนี้รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ลอยด์ ออสติน เดินไปขอจับมือกับรัฐมนตรีกลาโหมจีน หลี่ ซ่างฝู ในงานดินเนอร์ของการประชุมสุดยอดความมั่นคงเอเชีย Shangri-La Dialogue ที่สิงคโปร์เมื่อคืนวันเสาร์
เมื่อจีนเมินข้อเสนอมะกันให้ รัฐมนตรีกลาโหมคุยนอกรอบ
เมื่อวานเขียนถึงคำประกาศของสี จิ้นผิง ให้กองทัพจีนเตรียมตั้งรับ “สถานการณ์ฉากทัศน์ที่เลวร้ายที่สุด” ก็มีเรื่องต้องเขียนต่อเนื่องกันหลายประเด็นทีเดียว
สี จิ้นผิงสั่งให้กองทัพจีนพร้อม รับ ‘ฉากทัศน์เลวร้ายที่สุด’
น้ำเสียงและท่าทีของผู้นำจีนกร้าวขึ้นทุกวัน...ล่าสุดประธานาธิบดีสี จิ้นผิงประกาศว่าจีนกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านความมั่นคงที่ 'ซับซ้อนมากขึ้น'