เฮนรี คิสซิงเจอร์ อดีตนักการเมืองชั้นนำของสหรัฐฯ ที่มีบทบาทในสงครามและความขัดแย้งระดับโลก อายุครบ 100 ปี เมื่อวันเสาร์ (27 พฤษภาคม) ที่ผ่านมา
แม้จะอายุมากขนาดนี้ แต่นักข่าวที่เพิ่งไปสัมภาษณ์ยืนยันว่าความคิดความอ่านยังเฉียบแหลม
และยังเตรียมเขียนหนังสืออีก 2 เล่ม เล่มหนึ่งเกี่ยวกับ “ปัญญาประดิษฐ์” หรือ AI
อีกเล่มหนึ่งว่าด้วย “ธรรมชาติแห่งพันธมิตรทางการเมืองและสงคราม”
หัวข้อพูดคุยระหว่างคิสซิงเจอร์กับ The Economist คือทำอย่างไรจึงจะหลีกเลี่ยงสงครามโลกครั้งที่ 3 ได้
คนวัย 100 ปีต้องผ่านทั้งสงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 มาแล้ว
ก่อนตายก็ไม่อยากจะเห็นว่าจะเกิดสงครามระดับโลกครั้งที่ 3 ในช่วงระยะเวลาอันใกล้นี้
แต่ดูเหมือนคิสซิงเจอร์จะมีความหวั่นเกรงไม่น้อยว่าโลกกำลังตกอยู่ในภาวะที่ตึงเครียดมาก...และอาจจะนำไปสู่สงครามใหญ่ได้
โดยเฉพาะการเผชิญหน้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน
ที่เขาบอกว่า
“ทั้ง 2 ฝ่ายเชื่อว่าอีกฝ่ายหนึ่งเป็นภัยอันใหญ่หลวงทางยุทธศาสตร์สำหรับตน...และโลกวันนี้กำลังอยู่บนเส้นทางการเผชิญหน้าของมหาอำนาจที่น่ากลัว”
คิสซิงเจอร์หวั่นว่า AI จะยิ่งทำให้การแข่งขันระหว่าง 2 ยักษ์ใหญ่นี้เสื่อมทรุดลงไปอีก
เขาบอกว่าดุลถ่วงแห่งมหาอำนาจและเทคโนโลยีสงครามกำลังปรับเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วในมิติต่างๆ จนประเทศทั้งหลายไม่มีหลักการที่จะจัดระเบียบที่หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าได้
“และถ้าประเทศต่างๆ ไม่สามารถตกลงว่าจะอยู่ร่วมกันบนหลักการอย่างไร ชาติทั้งหลายก็จะหันไปใช้กำลังเพื่อปกป้องตัวเอง
“และเรากำลังอยู่ในสถานการณ์ก่อนการระเบิดของสงครามใหญ่” คิสซิงเจอร์ทำนายด้วยความหวั่นวิตกต่ออนาคตของโลกใบนี้
ที่น่ากลัวก็คือ เมื่อต่างคนต่างผลักดันให้อีกฝ่ายหนึ่งต้องถอยร่นจนไม่มีช่องว่างสำหรับการประนีประนอมแล้ว ดุลอำนาจแห่งโลกก็พังพินาศ
และนั่นจะนำไปสู่ความหายนะระดับโลกของจริง
นักวิพากษ์บางคนมองคิสซิงเจอร์เป็น “คนบ้าสงคราม” เพราะเขามีส่วนเกี่ยวกับบทบาทของสหรัฐในสงครามเวียดนามและสงคราม ณ จุดอื่นๆ ในโลก
แต่เจ้าตัวยืนยันว่าภารกิจของชีวิตตัวเองคือการพยายามจะหาทางให้มหาอำนาจของโลกหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง
คิสซิงเจอร์เป็นสักขีพยานความโหดเหี้ยมของนาซีเยอรมนีในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มาแล้ว
ญาติของเขา 13 คนถูกสังหารในการรณรงค์ฆ่าหมู่ชาวยิวด้วยฝีมือของฮิตเลอร์ เขาจึงมุ่งมั่นที่จะหาทางให้โลกหลีกเลี่ยงหายนะของสงครามรอบใหม่
สำหรับคิสซิงเจอร์หนทางนั้นคือ “การทูตแบบเข้มข้น”
และในกรณีเฉพาะหน้านี้ ประเด็นใหญ่คือ จะทำอย่างไรให้สหรัฐฯ กับจีนสามารถอยู่ร่วมโลกกันได้โดยไม่ทำสงครามทำลายล้างกัน
เขาหวั่นเหลือเกินว่าในเมื่อการพัฒนา AI รุดหน้าไปอย่างรวดเร็วและร้อนแรงอย่างที่เห็นอยู่ “ก็จะเหลือเวลา 5-10 ปีเท่านั้นที่ทั้ง 2 ประเทศยักษ์ใหญ่จะหาทางอยู่ร่วมกันโดยไม่ต้องทำสงครามกัน”
ทำไมคิสซิงเจอร์จึงคิดว่า AI จะทำให้ 2 ยักษ์ใหญ่เปิดสงครามกัน
นั่นก็เป็นเพราะเขาติดตามวิวัฒนาการของ AI แล้วก็เกิดความเชื่อว่าหากไม่ควบคุมการเติบโตของมันให้ดี “ปัญญาประดิษฐ์” จะกลายเป็นเครื่องมือที่ถูกใช้เพื่อการยกระดับความขัดแย้งและทำลายล้างกันได้
คิสซิงเจอร์บอกว่า นักคิดฝั่งจีนเชื่อว่าสหรัฐฯ กำลังอยู่ในช่วง “ขาลง” และด้วยวิวัฒนาการของประวัติศาสตร์ จีนก็จะมาทดแทนสหรัฐฯ ในฐานะมหาอำนาจหมายเลข 1 ของโลก
เขาเชื่อว่าผู้นำจีนต่อต้านวิธีคิดแบบตะวันตกที่พูดถึง “rules-based order” หรือระเบียบโลกบนพื้นฐานของกฎกติกาสากล
เพราะปักกิ่งเชื่อว่า “กฎกติกา” ที่สหรัฐฯ พร่ำบ่นนั้นคือ “กฎกติกาของสหรัฐฯ”
และผู้นำจีนก็รู้สึกถูกเหยียดหยามที่ตะวันตกมีท่าทีว่าจีนจะได้รับ “สิทธิพิเศษ” หากยอมทำตามกติกาของตะวันตก
จีนถือว่าในฐานะที่เป็น “ชาติมหาอำนาจขาขึ้น” ปักกิ่งย่อมจะต้องมีสิทธิ์เท่าเทียมกับสหรัฐฯ ในทุกกรณี
ด้วยเหตุนี้ คนบางคนในจีนก็เชื่อว่าอเมริกาจะไม่มีวันปฏิบัติต่อจีนในฐานะ “ผู้มีสิทธิเท่าเทียมกัน”
คนเหล่านี้เชื่อว่าใครที่หลงเชื่อว่าตะวันตกจะยอมให้จีนยืนขึ้นเคียงบ่าเคียงไหล่กับสหรัฐฯ ย่อมเป็นผู้ไร้เดียงสา ไม่เข้าใจวิธีคิดของอเมริกาที่ต้องการจะเหยียบจีนเอาไว้ไม่ให้เติบใหญ่มาท้าทายอิทธิพลของตน
คิสซิงเจอร์เตือนว่า ฝั่งตะวันตกอาจจะตีความเป้าหมายของจีนผิด
“คนในตะวันตกเชื่อว่าจีนต้องการจะครองโลกแทนสหรัฐฯ แต่ความจริงก็คือจีนต้องการมีพลังอำนาจ พวกเขาไม่ได้ต้องการครองโลกแบบฮิตเลอร์...”
เขาบอกว่าผู้นำจีนที่เขาเคยพบ (ตั้งแต่ประธานเหมา เจ๋อตง เป็นต้นมา) นั้นมีความมุ่งมั่นด้านอุดมการณ์แบบจีนจริง
“แต่ความคิดความอ่านของผู้นำจีนนั้นโยงอย่างใกล้ชิดกับผลประโยชน์และสมรรถนะของจีนเอง...จึงมีความละม้ายคำสอนของขงจื้อมากกว่ามาร์กซ์...”
นั่นหมายความว่าผู้นำจีนต้องการให้โลกให้ความเคารพในความสำเร็จของตน
และต้องการให้โลกยอมรับว่า ในท้ายที่สุดจีนจะเป็นผู้ตัดสินเองว่าระเบียบโลกควรจะเป็นอย่างไรเพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์ของตน...ไม่ใช่มาตรฐานหรือกฎกติกาที่กำหนดโดยตะวันตก
คิสซิงเจอร์ตั้งคำถามเองว่า หากถึงวันที่จีนมีอิทธิพลระดับโลกแล้วจะกำหนดให้ทั้งโลกต้องตกอยู่ภายใต้การครอบงำด้านวัฒนธรรมของจีนด้วยหรือไม่
และตอบเองว่า “ผมไม่รู้เหมือนกัน แต่สัญชาตญาณผมบอกว่าไม่น่าใช่...และผมก็เชื่อว่าเรา (สหรัฐฯ) มีความสามารถเพียงพอที่จะป้องกันไม่ให้สถานการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้น...ด้วยพลังรวมของการทูตและการใช้กำลัง”
มีความเป็นไปได้หรือไม่ที่จีนกับสหรัฐฯ จะอยู่ร่วมโลกกันโดยไม่มีภัยคุกคามของสงครามใหญ่?
คิสซิงเจอร์ตอบว่า “ผมเชื่อว่าเป็นไปได้ แต่ก็ไม่มีอะไรรับรองความสำเร็จ เราอาจจะเผชิญกับความล้มเหลว ดังนั้น เรา (หมายถึงสหรัฐฯ) จึงต้องมีความเข้มแข็งด้านการทหารเพื่อที่จะรองรับความล้มเหลวนั้นได้”
บททดสอบที่สำคัญที่สุดระหว่างจีนกับสหรัฐฯ คือกรณีไต้หวัน
เขาย้อนความไปวันที่อดีตประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน เยือนจีนปี 1972 ครั้งประวัติศาสตร์
ในขณะนั้น ประธานเหมา เจ๋อตุง คนเดียวเท่านั้นที่มีอำนาจเจรจาเรื่องไต้หวัน
"ทุกครั้งที่นิกสันยกประเด็นเรื่องสำคัญๆ เหมาจะบอกว่าผมเป็นนักปรัชญา ผมไม่ยุ่งกับเรื่องต่างๆ พวกนี้ ให้ท่านโจว (เอินไหล...นายกฯ จีนขณะนั้น) กับคิสซิงเจอร์ไปจัดการเถอะ
“แต่พอถึงเรื่องไต้หวัน เหมาชัดเจนมาก เหมาบอกว่าพวกนี้เป็นนักต่อต้านปฏิวัติ เราไม่จำเป็นต้องจัดการกับพวกนี้ในตอนนี้ เรารอ 100 ปีก็ได้ วันใดวันหนึ่งในอนาคต เราจะจัดการเรื่องนี้ แต่มันยังอีกไกลนัก...”
นั่นแปลว่าเหมาไม่ต้องการจะเผชิญหน้ากับอเมริกาเรื่องไต้หวัน และถ้าเลื่อนไปได้เรื่อยๆ ก็จะไม่ทำให้เกิดวิกฤตในความสัมพันธ์นั้น
คิสซิงเจอร์เชื่อว่าผ่านมาเพียง 50 ปี (จาก 100 ปีของเหมา) สถานการณ์เรื่องไต้หวันก็กลับตาลปัตร เพราะโดนัลด์ ทรัมป์
“เพราะทรัมป์ต้องการสร้างภาพว่าเป็นผู้นำที่กล้าทุบโต๊ะใส่จีน และใช้ไต้หวันกดดันจีนเพื่อให้ปักกิ่งยอมอ่อนข้อเรื่องการค้า..วันนี้ไบเดนก็เดินตามทรัมป์ในเรื่องนี้...เพียงเปลี่ยนวาทกรรมเป็นแบบเดโมแครตเท่านั้น”
(พรุ่งนี้ : คิสซิงเจอร์เสนอทางออกระหว่างจีนกับสหรัฐฯ).
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
จีน-อินเดีย: 'สันติภาพร้อน' ที่ทำให้ร่วมแก้วิกฤตพม่าไม่ได้
วิกฤตพม่าทำให้ผมคิดถึงความความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับอินเดียวันนี้ เพราะหากสองยักษ์แห่งเอเชียทำงานร่วมกัน ไทยก็อาจจะเป็นมือประสานให้เกิดกระบวนการเจรจาในพม่าได้
บทเรียนสีหนุวิลล์สำหรับไทย
ความสัมพันธ์อันใกล้ชิดของจีนกับกัมพูชามาในหลายรูปแบบ...และหนึ่งในนั้นคือการสร้างสีหนุวิลล์เป็นศูนย์กลางด้านความบันเทิง หรือที่เรียกว่า Entertainment Complex
อิหร่าน-อิสราเอล: ทุกฉากทัศน์ล้วนเสี่ยงสูง
คณะรัฐมนตรีสงครามหรือ War Cabinet ของอิสราเอลประชุมกันเคร่งเครียดมาหลายรอบ...สรุปได้เพียงว่าจะต้องตอบโต้อิหร่านแน่...แต่ไม่ระบุว่าเมื่อไหร่และด้วยยุทธการแบบใด
สิงคโปร์ผลัดใบการเมืองครั้งสำคัญ ‘หลี่’ (72) ส่งไม้ต่อ ‘หว่อง’ (52)
นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของสิงคโปร์ Lawrence Wong ที่จะรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการวันที่ 15 พฤษภาคมนี้ต้องถือว่ามาจากครอบครัวชนชั้นทำงานจริง ๆ
“เซฟโซน” ฝั่งเมียวดีอาจจะเป็น ก้าวเล็กๆ ของกระบวนการเจรจา?
ความเคลื่อนไหวตรงข้ามชายแดนไทยฝั่งพม่ามีการปรับเปลี่ยนตลอดเวลา และความไม่แน่นอนนี้เองที่ทำให้รัฐบาลไทยต้องให้ความสำคัญกับการสร้างกลไกติดตามอย่างมีประสิทธิภาพ
ไบเดนควงคิชิดะ มาร์กอสประกาศสกัดการขยายอิทธิพลจีน!
ผมเห็นนายกฯฟูมิโอะ คิชิดะของญี่ปุ่นปราศรัยต่อสภาคองเกรสสหรัฐฯเป็นภาษาอังกฤษปลายสัปดาห์ที่ผ่านมากล่าวหาจีนว่าเป็น “ภัยคุกคามต่อภูมิภาคนี้อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน” แล้วก็พอจะรู้ว่าความตึงเครียดจะต้องถูกยกระดับขึ้นมาอย่างแน่นอน