คิสซิงเจอร์ในวัย 100 เสนอวิธี หลีกเลี่ยงสงครามโลกครั้งที่ 3 (2)

เมื่อวานเขียนถึงแนวทางวิเคราะห์ความเสี่ยงของสงครามระหว่างสหรัฐฯกับจีนในความเห็นของเฮนรี คิสซิงเจอร์, อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศและที่ปรึกษาด้านความมั่นคงหลายสมัยของสหรัฐฯ ที่เพิ่งจะฉลองวันเกิดที่ 100 เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาเขาย้ำว่าไต้หวันจะเป็นจุดทดสอบที่สำคัญว่าจะเกิดสงครามใหญ่ระหว่างสองยักษ์ใหญ่หรือไม่

เพราะอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เป็นผู้เริ่มกดดันจีนเรื่องไต้หวันเพื่อแลกกับการยอมเรื่องการค้าของปักกิ่ง

และวันนี้โจ ไบเดนก็เดินตามแนวนั้น

ซึ่งคิสซิงเจอร์เห็นว่าเป็นทิศทางที่อันตราย

“ถ้าเป็นผม ผมจะไม่เดินเส้นทางนั้น เพราะสงครามแบบยูเครนจะทำลายไต้หวันและมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกอย่างรุนแรง”

หากเกิดสงคราม จีนก็จะได้รับผลกระทบภายในประเทศอย่างหนัก

“ต้องไม่ลืมว่าความกลัวที่สุดของผู้นำจีนคือความปั่นป่วนภายในประเทศ...”

คิสซิงเจอร์มองว่าความกลัวสงครามอาจจะทำให้เกิดความหวังได้บ้าง

“แต่ปัญหาก็คือทั้งสองฝ่ายไม่มีพื้นที่ถอยมากนัก...ผู้นำจีนทุกคนที่ผ่านมายืนยันสิทธิเหนือไต้หวัน ขณะเดียวกันสำหรับอเมริกา ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทิ้งประเด็นไต้หวันโดยไม่ทำให้สถานภาพของสหรัฐฯ ณ จุดอื่น ๆ อ่อนแอลงไปด้วย...”

แล้วทางออกคืออะไร?

แนวคิดของคิสซิงเจอร์จากประสบการณ์ที่ใช้การทูตแก้วิกฤตโลกมายาวนานคือ

“ผมจะเริ่มด้วยการอุณหภูมิก่อน และค่อย ๆ สร้างความมั่นใจต่อกันและกัน และสร้างบรรยากาศการทำงานร่วมกัน...”

แทนที่ผู้นำสหรัฐฯจะร่ายยาวถึงความไม่พอใจของวอชิงตันต่อจีน ก็ควรจะหันไปบอกกับผู้นำจีนว่า

“ท่านครับ อันตรายต่อสันติภาพโลกทุกวันนี้คือเราทั้งสองประเทศ เพราะเราต่างก็มีศักยภาพที่จะทำลายล้างมนุษยชาติได้...”

คิสซิงเจอร์บอกว่าจีนกับสหรัฐฯต้องตั้งเป้าที่จะใช้นโยบาย “ยับยั้งชั่งใจ” (restraint)

โดยไม่จำเป็นต้องประกาศอะไรร่วมอย่างเป็นทางการ

นั่นคือไม่ต้องลงลายลักษณ์อักษรที่ผูกมัดฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่ให้ลงมือทำทุกอย่างเพื่อลดความตึงเครียดที่มีต่อกัน

คิสซิงเจอร์เสนอว่ากระบวนการป้องกันสงครามระหว่างสองยักษ์นั้นต้องเริ่มด้วยการตั้งทีมงานที่ปรึกษาเล็ก ๆ จากทั้งสองฝ่ายที่เชื่อมต่อไปมาหาสู่กันได้อย่างคล่องตัวและทำงานร่วมกันอย่างไม่โฉ่งฉ่างนัก

เริ่มต้น ทั้งสองฝ่ายยังไม่ต้องเปลี่ยนจุดยืนพื้นฐานของตนเกี่ยวกับไต้หวัน แต่สหรัฐต้องระมัดระวังเรื่องการส่งกองกำลังของตนและต้องไม่ทำให้เกิดความระแวงสงสัยว่าวอชิงตันสนับสนุนการประกาศเอกราชของเกาะแห่งนี้...”

คำแนะนำของนักการทูตอาวุโสผู้นี้ต่อผู้นำทั้งหลายในการพยายามแก้ปัญหาเพื่อป้องกันวิกฤตคือ

ต้องนิยามเป้าหมายให้ชัดเจนที่จะสามารถทำให้ผู้คนเข้าใจได้ และหาหนทางซึ่งสามารถชี้แจงอธิบายได้ในอันที่จะบรรลุเป้าหมายนั้น ๆ”

เขาบอกว่าไต้หวันควรจะเป็นเพียงหนึ่งในหลาย ๆ มิติที่มหาอำนาจควรจะหันมาแสวงหาจุดร่วม...เพื่อจะส่งเสริมเสถียรภาพระดับโลก

หลักใหญ่ใจความคือทั้งสองฝ่ายจะต้องไม่ยึดจุดยืนที่ “ฉันต้องได้ทุกอย่าง” หรือมีท่าทีว่า “ถ้าฉันไม่ได้ทั้งหมดที่ฉันต้องการก็ไม่ต้องคุยกัน” (All-or-nothing attitude)

เพราะท่าทีเช่นนี้เป็นภัยคุกคามต่อความพยายามที่จะแสวงหาจุดบรรจบกัน

“ดังนั้น หากอเมริกาต้องการจะหาทางอยู่ร่วมโลกกับจีนก็ต้องไม่มุ่งจะเปลี่ยนแปลงระบบผู้นำ (regime change) ของเขา...”

ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดโลกสมัยศตวรรษที่ 19 ซึ่งตั้งอยู่บนหลักการที่ว่า “การดำรงอยู่ของรัฐที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งใด ๆ จะต้องไม่ใช่ประเด็น”

นั่นคือต้องไม่มุ่งทำลายล้างระบอบการปกครองของอีกฝ่ายหนึ่งในการแสวงหาทางออกจากความขัดแย้ง

คนอเมริกันบางกลุ่มเชื่อว่าหากสหรัฐฯทำให้จีนพ่าย ก็จะทำให้จีนกลายเป็นประเทศ “ประชาธิปไตยและมีสันติ”

คิสซิงเจอร์บอกว่าการมองเช่นนั้นไม่ถูกต้องเพราะไม่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์ว่าเรื่องอย่างนี้จะเกิดขึ้นได้จริง

“ตรงกันข้าม, การล่มสลายของรัฐบาลคอมมิวนิสต์ย่อมนำไปสู่สงครามกลางเมือง และยิ่งจะทำให้เกิดความขัดแย้งด้านอุดมการณ์และส่งผลทำให้โลกขาดเสถียรภาพ...ดังนั้นจึงไม่เป็นประโยชน์กับสหรัฐฯที่จะเห็นการล่มสลายของจีนแน่นอน...”

ด้วยเหตุนี้ เขาจึงเห็นว่าสหรัฐฯควรจะต้องยอมรับว่าจีนมีผลประโยชน์ที่ต้องเคารพ

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือยูเครน

คิสซิงเจอร์เห็นว่าจีนพยายามอย่างจริงใจที่จะเป็นคนกลางเพื่อหาทางแสวงหาสันติภาพให้ยูเครน

เขาเห็นว่าสงครามยูเครนเป็นความผิดพลาดของประธานาธิบดีปูติน

“แต่ก็ไม่ได้แปลว่าตะวันตกไม่มีมลทินในเรื่องนี้”

คิสซิงเจอร์เห็นว่าการเปิดทางที่จะให้ยูเครนเข้านาโตนั้นเป็นความผิดพลาด เพราะนั่นทำให้เกิดความไร้เสถียรภาพ

“เพราะการรับปากว่าจะให้ยูเครนได้รับการปกป้องโดยนาโตโดยไม่ได้มีแผนอย่างจริงจังที่จะทำให้มันเกิดขึ้นจริงทำให้ยูเครนตกอยู่ในสภาพที่ไร้การปกป้อง ... แต่มีผลทำให้ปูตินเดือดซึ่งเป็นต้นเหตุแห่งการตัดสินใจของปูตินบุกยูเครน”

แต่ประเด็นหลักก็คือจะต้องยุติสงครามให้จงได้

โดยจะต้องไม่เปิดทางให้เกิดความขัดแย้งรอบใหม่

คิสซิงเจอร์อยากเห็นรัสเซียยอมเลิกการยึดครองดินแดนของยูเครนตั้งแต่ปี 2014 ให้มากที่สุด

“แต่ต้องยอมรับความจริงว่าในการเจรจาสงบศึกใด ๆ นั้นรัสเซียก็คงจะต้องยืนยันที่จะยังยึดครองเมือง Sevaspotol ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ที่สุดของคาบสมุทรไครเมียและเป็นที่ตั้งของฐานทัพเรือหลักของรัสเซียในทะเลดำ...” คิสซิงเจอร์บอก

สูตรที่ว่านี้แปลว่ารัสเซียยอมเสียสละดินแดนบางส่วนในยูเครนก็อาจจะทำให้ทั้งรัสเซียและยูเครนมีความไม่พอใจอยู่ดี

หากเป็นเช่นนั้นก็อาจจะทำให้เกิดการเผชิญหน้าในอนาคตอีก

เขาเห็นว่าจุดยืนของยุโรปขณะนี้ไม่ได้ผลแน่

นั่นคือนโยบายของยุโรปที่บอกว่ายังไม่ให้ยูเครนเข้านาโต แต่กลับโหมส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ทันสมัยให้ยูเครนอย่างเต็มที่

จนยูเครนกลายเป็นประเทศในยุโรปที่มีอาวุธทันสมัยที่สุดแต่มีผู้นำที่มีประสบการณ์ด้านยุทธศาสตร์น้อยที่สุดในยุโรป

คิสซิงเจอร์มีความเห็นว่าหากจะแสวงหาสันติภาพอย่างถาวร ยุโรปจะต้องทำสองเรื่อง

หนึ่งคือให้ยูเครนเข้านาโตเพื่อให้ประเทศนั้นได้รับการปกป้องและใช้ความยับยั้งชั่งใจ

สองยุโรปจะต้องแสวงหาหนทางที่จะอยู่ร่วมกับรัสเซียให้ได้เพื่อให้มีชายแดนด้านตะวันออกที่มั่นคง

แต่เขาเห็นว่าประเทศยุโรปส่วนใหญ่อาจจะไม่เห็นด้วยกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งของสองเป้าหมายนี้

เมื่อจีนในฐานะเป็นพันธมิตรรัสเซียและยืนอยู่คนละข้างกับนาโตพยายามเข้ามามีบทบาทในการยุติสงคราม ภารกิจเรื่องแสวงหาสันติภาพก็ยิ่งยากเย็นขึ้นอีก

เพราะอย่างไรเสีย จีนต้องการเห็นรัสเซียไม่แพ้สงคราม

เพราะหากรัสเซียล่มสลายก็จะเกิดสุญญากาศแห่งอำนาจในเอเชียกลาง

ซึ่งก็อาจจะเพิ่มความเสี่ยงที่อาจะนำไปสู่สงครามกลางเมืองแบบเดียวกับซีเรีย

ท้ายสุด คิสซิงเจอร์เชื่อว่าเราสามารถสร้างระเบียบโลกใหม่ที่มีกฎกติกาที่จะทำให้ยุโรป, จีนและอินเดียมาร่วมได้

วิกฤตครั้งนี้สามารถจบได้...หรือจบโดยมีความหายนะน้อยที่สุด

ฟังท่านผู้เฒ่าคิสซิงเจอร์นำเสนอแล้ว แม้ภารกิจป้องกันสงครามโลกครั้งที่ 3 ยังดูจะมีอุปสรรคมากมาย

แต่อย่างน้อยก็ได้รับรู้ถึงแนวทางวิเคราะห์ที่ว่าโลกใบนี้กำลังเจอกับโจทย์ยาก ๆ ที่ต้องช่วยกันแก้อย่างไรเพื่อไม่ให้ต้องถึงจุดปะทุที่เกิดความสามารถของมนุษย์ที่จะควบคุมได้

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

มะกันทุ่ม 3.5 ล้านล้านบาท ให้ยูเครน, อิสราเอล, ไต้หวัน!

งบประมาณก้อนใหญ่ที่สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ อนุมัติเพื่อช่วยยูเครน, อิสราเอล และไต้หวันเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา จะช่วยลดความกังวลของยูเครนว่ากำลังจะแพ้สงครามได้หรือไม่...ยังต้องคอยดูของจริงในสมรภูมิรบต่อไป

เชื่อไหม:อิสราเอลกับ อิหร่านเคยรักกัน?

อิสราเอลกับอิหร่านเปิดศึกสงครามที่สร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วโลกวันนี้ มีคำถามว่าทั้ง 2 ชาตินี้กลายเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันอย่างรุนแรงเช่นนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่ และมีเหตุผลแห่งความบาดหมางกันอย่างไร

จีน-อินเดีย: 'สันติภาพร้อน' ที่ทำให้ร่วมแก้วิกฤตพม่าไม่ได้

วิกฤตพม่าทำให้ผมคิดถึงความความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับอินเดียวันนี้ เพราะหากสองยักษ์แห่งเอเชียทำงานร่วมกัน ไทยก็อาจจะเป็นมือประสานให้เกิดกระบวนการเจรจาในพม่าได้

บทเรียนสีหนุวิลล์สำหรับไทย

ความสัมพันธ์อันใกล้ชิดของจีนกับกัมพูชามาในหลายรูปแบบ...และหนึ่งในนั้นคือการสร้างสีหนุวิลล์เป็นศูนย์กลางด้านความบันเทิง หรือที่เรียกว่า Entertainment Complex