ปัจจัยอะไรจะทำให้ หยวนแซงหน้าดอลลาร์?

หากจีนอยากจะให้เงินสกุลหยวนมีความเป็นสากลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่จะสามารถ “ทดแทน” เงินดอลลาร์ในตลาดการเงินโลกได้ คงจะต้องมีการวางแผนขยับทีละก้าว

เริ่มด้วยการให้มีกิจกรรมเศรษฐกิจในเวทีโลกที่สะท้อนถึงส่วนแบ่ง 18% ของจีดีพีของตนในตลาดโลก

ในบรรดาตัวแปรหลักที่ใช้วัดว่าเงินหยวนเป็นสกุลเงินระหว่างประเทศหรือไม่นั้น สัดส่วน 12.28 เปอร์เซ็นต์ในตะกร้าสิทธิพิเศษถอนเงิน (special drawing rights) ของ IMF

นั่นคือมาตรวัดใกล้เคียงที่สุดเมื่อเทียบกับ 2.29 เปอร์เซ็นต์สำหรับการชำระเงินระหว่างประเทศ

หรือเท่ากับ 4.72 เปอร์เซ็นต์ของการเงินเพื่อการค้าของโลก

และ 2.69 เปอร์เซ็นต์ของเงินสำรองของธนาคารกลาง

ณ จุดนี้จำนวนประเทศที่สนับสนุนให้จีนเล่นบทบาทถ่วงดุลระบบการเงินที่นำโดยสหรัฐฯ อาจจะมีเพิ่มขึ้น

เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะหลายประเทศเริ่มสั่งสมความไม่พอใจต่อปัญหาวิกฤตเพดานหนี้ที่เกิดขึ้นซ้ำๆ จนเกิดความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจในระบบสหรัฐฯ มากขึ้น

หรือการที่อีกหลายประเทศมีความอึดอัดกับนโยบายกีดกันการค้าประเทศอื่นเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง (protectionism)

นั่นอาจทำให้มีประเทศที่พร้อมจะหันเหออกจากเงินดอลลาร์มากขึ้น

แต่อย่าได้คิดว่าการผละจากสหรัฐฯ จะเกิดขึ้นในระดับใหญ่มาก...หรือเกิดขึ้นได้ทันที

จีนได้แสดงให้เห็นชัดขึ้นตลอดเวลาว่า มีความคืบหน้าในการใช้เงินสกุลหยวนซื้อขายสินค้าระหว่างกันกับประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ

อย่างน้อยก็ 8 ประเทศที่ได้แสดงความพร้อมที่จะยอมรับเงินหยวนสำหรับการซื้อขายน้ำมัน, ก๊าซ และโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์

ประเทศที่ว่านี้รวมถึงรัสเซีย, บราซิล, อาร์เจนตินา, ซาอุดีอาระเบีย และไทย

และจะเกิดแรงกระตุ้นมากขึ้นอีกภายใต้ข้อตกลงทางการค้าที่สำคัญและการมีส่วนร่วมของจีนใน BRICS กลุ่มที่ประกอบด้วย บราซิล, รัสเซีย, อินเดีย และแอฟริกาใต้

ขณะเดียวกันต้องไม่ลืมว่า หากจีนเพิ่มความเป็นสากลของเงินหยวน ปักกิ่งก็จะลดการเก็บเงินสำรองเป็นดอลลาร์สหรัฐฯ ในเวลาเดียวกันเช่นกัน

ต้องไม่ลืมว่าปักกิ่งยังเป็นหัวหอกในโครงการก่อสร้างในต่างประเทศ เช่น ถนน ทางรถไฟ และสนามบิน ภายใต้โครงการ Belt and Road Initiative ที่ดำเนินมาเป็นเวลา 10 ปี

เท่ากับเป็นการผลักดันให้การค้าและการลงทุนเป็นไปอย่างราบรื่น

อีกทั้งยังเร่งการไหลเวียนของเงินหยวนไปยังกว่า 60 ประเทศในเอเชีย แอฟริกา ตะวันออกและภาคกลางของยุโรป และอเมริกาใต้

ผู้เฝ้าสังเกตการณ์ความเคลื่อนไหวของจีนด้านนี้ ยืนยันว่าจีนต้องการกระจายความเสี่ยงอย่างแน่นอน

               และถ้าเกาะติดกิจกรรมของจีนในทุกๆ ด้านก็จะเห็นว่า จีนกำลังเดินไปในทิศทางนี้อย่างมั่นคงและรอจังหวะ ไม่ทำอะไรผลีผลาม

นั่นหมายความว่า จีนอาจพิจารณาเพิ่มสัดส่วนของสินทรัพย์สกุลเงินยูโร หรือเยนญี่ปุ่นในการถือครองอัตราแลกเปลี่ยน ในขณะที่พันธบัตรลักษณะที่เรียกว่า “auction rate bonds” ซึ่งหมายถึงตราสารหนี้ที่มีอัตราดอกเบี้ยที่ปรับขึ้นลงได้ ก็อาจถูกนำมาใช้ทดแทนพันธบัตรกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ ที่จีนถืออยู่เป็นจำนวนไม่น้อยในขณะนี้

นั่นหมายความว่า สำหรับจีนแล้วการจะซื้อพันธบัตรสหรัฐฯ มากน้อยเพียงใดนั้นจะปรับขึ้นลงตามการเปลี่ยนแปลงของภูมิรัฐศาสตร์และรูปแบบเศรษฐกิจและการค้าได้

หรือพูดอีกอย่างก็คือ การเมืองและความมั่นคงอาจจะกลายเป็นปัจจัยในการกำหนดทิศทางเศรษฐกิจในเวทีระหว่างประเทศของจีนอย่างปฏิเสธไม่ได้

ขึ้นอยู่กับความน่าสนใจของพันธบัตรรัฐบาลอื่นๆ ที่สามารถแทนที่หนี้สหรัฐฯ ในตลาดการเงินระหว่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพสำหรับจีนมากน้อยเพียงใดด้วย

จีนเป็นผู้ถือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ มากเป็นอันดับสองรองจากญี่ปุ่น

พูดง่ายๆ คือจีนเป็นเจ้าหนี้อันดับสองของสหรัฐฯ รองจากญี่ปุ่น

ดังนั้นการจะทำหรือไม่อะไรทั้งจากมุมมองของปักกิ่งและวอชิงตันจึงต้องพิจารณาประเด็นนี้เสมอ แม้จะไม่ค่อยเป็นข่าวเท่าใดนักก็ตาม

ตัวเลขล่าสุดชี้ว่า จีนถือครองตราสารหนี้สหรัฐฯ มูลค่า 869.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในเดือนมีนาคม เพิ่มขึ้นจาก 848.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในเดือนกุมภาพันธ์

โดยพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 27% ของทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของจีน

เดือนมีนาคมถือเป็นครั้งแรกที่จีนเพิ่มการถือครองหนี้ของสหรัฐฯ หลังจากลดหนี้ 7 เดือน ซึ่งทำให้ความเสี่ยงลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 13 ปี

การลงทุนของจีนในตราสารหนี้สหรัฐฯ ถึงจุดสูงสุดในปี 2557 และลดลงอย่างช้าๆ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ไม่ต้องสงสัยว่าผู้เชี่ยวชาญหลายสำนักเชื่อว่า “ระบบสกุลเงินหลายขั้ว” จะเกิดขึ้นในอนาคต

แต่จะต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไหร่ นั่นเป็นประเด็นที่ยังอยู่ในขั้นตอนการถกแถลงกันในหลายๆ วงการ

แต่ประเด็นที่จะถูกนำมาพิจารณาในการประเมินสถานการณ์การเงินและเศรษฐกิจนั้น หนีไม่พ้นว่าจะต้องมีเรื่องภูมิรัฐศาสตร์และการเผชิญหน้าระหว่างสองยักษ์ใหญ่ในทุกเวทีของโลก

ปัจจัยไม่แน่นอนมีมากขึ้นตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นสงครามยูเครน ความขัดแย้งในทะเลจีนใต้ ความบาดหมางเรื่องไต้หวัน หรือแม้แต่ความตึงเครียดระหว่างเกาหลีเหนือกับสหรัฐฯ และญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้

ดังนั้น เราจะได้ยินคำกล่าวจากนักวิเคราะห์เสมอในภาวะที่ทุกอย่างตกอยู่ในความผันผวนปรวนแปรว่า

มุมมองและแนววิเคราะห์อาจเปลี่ยนแปลงได้เสมอ

ทั้งนี้ทั้งนั้นอยู่ที่ระดับความเชื่อมั่นในสถาบันต่างๆ ของสหรัฐฯ จะปรับเปลี่ยนไปอย่งไร

หรือจะมีการประกาศมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจระหว่างค่ายการเมืองต่างๆ ในระดับโลกหรือไม่

และสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะที่นโยบายการค้าปกป้องตนเองทำให้กีดกันการค้าคนอื่นมากขึ้นหรือไม่

สรุปว่าสูตรตายตัวไม่มี...เพราะไม่มีปัจจัยไหนที่นิ่งได้นานอีกต่อไป!

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน

นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ

เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนที่กลายเป็น ที่ซ่องสุมของอาชญากรรมข้ามชาติ

เมื่อวานเขียนถึงรายงานในสำนักข่าวชายขอบที่สำนักจะได้รับความสนใจของรัฐบาลไทยว่าด้วยกิจกรรมอาชญากรรมข้ามชาติในบริเวณ “เขตเศรษฐกิจพิเศษ” ที่สามเหลี่ยมทองคำ

แหล่งค้ามนุษย์ใน 3 เหลี่ยมทองคำ

เขตเศรษฐกิจพิเศษหรือ SEZ บริเวณสามเหลี่ยมทองคำที่โยงกับไทยนั้นกลายเป็นประเด็นเรื่องอาชญกรรมข้ามชาติที่สมควรจะได้รับความสนใจของรัฐบาลไทยอย่างจริงจัง

พรุ่งนี้ ลุ้นดีเบตรอบแรก โจ ไบเดนกับโดนัลด์ ทรัมป์

ผมลุ้นการโต้วาทีระหว่างโจ ไบเดน กับโดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้ (27 มิถุนายน) เพราะอยากรู้ว่า “ผู้เฒ่า” สองคนนี้จะมีความแหลมคมว่องไวในการแลกหมัดกันมากน้อยเพียงใด

เธอคือ ‘สหายร่วมรบ’ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรค NLD คนสุดท้าย!

อองซาน ซูจีมีอายุ 79 ปีเมื่อวันที่ 19 มิถุนายนที่ผ่านมา...และยังถูกจำขังในฐานะจำเลยของกองทัพพม่าที่ก่อรัฐประหารเมื่อกว่า 3 ปีที่แล้ว